ห้องของเธอ
เด็กเมื่อวานซืน
แต่ความผิดหนึ่งที่โตระแวงเป็นพิเศษ เค้าเพิ่งจะก่อมันขึ้น ราวๆสองคืนที่ผ่านมา โตไปที่บ้านของเพื่อนซึ่งเป็นคอนโดแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิท โตรับบุหรี่ของเพื่อนมาสูบอย่างที่เคยทำตามปกติ แต่คราวนั้นเค้ารู้สึกว่าบุหรี่มวนที่อยู่ในมือมันทำให้เค้ามึนกว่าปกติ และเห็นโลกในด้านที่ประหลาดกว่าเดิม โตไม่แน่ใจนักว่าบุหรี่มวนนั้นจะเป็นบุหรี่ธรรมดา แล้วเค้าก็ได้คำตอบจากเพื่อนเจ้าของบุหรี่ว่ามันคือ บุหรี่ไส้กัญชา หรือที่เรียกกันว่าบิ๊ก แต่นั่นมันก็เกิดขึ้นหลังจากที่เค้าสูบเข้าไปแล้วถึง สามมวน ว่าง่ายๆ ก็คือโตติดมันเข้าแล้ว แต่เพื่อนของเค้าก็นำมันมาให้ฟรีๆถึงสิบมวน โตใส่มันไว้ในลิ้นชักล่างสุดของตู้เสื้อผ้า
ซึ่งตอนนี้โตลุกไปไขกุญแจที่ลิ้นชักนั้น แล้วเปิดออกดู มันก็ยังคงวางในอยู่ในที่ที่เค้าวางเอาไว้ตอนแรกอย่างสงบ โตมองมันแล้วหยิบมาใส่กระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะล็อคกุญแจลิ้นชักไว้เหมือนเดิม
" ก๊อกๆๆๆ " เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆอย่างสุภาพ หากแต่ฟังดูจงใจเหลือเกิน
โต สะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเสียอาการ เค้าหันไปมองที่ประตู ก่อนจะผละจากลิ้นชักแล้วเดินไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน
ผู้เคาะประตู คือ ต้อง น้องชายคนสุดท้องของบ้าน อายุสิบหก ปีเค้าโครงหน้าตาก็เหมือนกับคนอื่นๆในบ้าน ที่ต่างออกไปก็เห็นจะเป็นรูปร่างที่จัดอยู่ในเกณฑ์ผอมสูงแลดูไม่แข็งแรง ไม่ค่อนไปทางสูงใหญ่ และสมบูรณ์เหมือนพี่ๆ
แต่จุดที่น่าจะส่งให้ ต้อง ดูผิดแผกจากพี่ๆที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นแววตาที่ดูฉลาดปราดเปรื่อง แต่ฉลาดแบบแกมโกง ขณะที่พวกพี่ๆมีแววตาเด็ดเดี่ยวและฉายแววความซื่อสัตย์คมลึกอยู่ข้างใน ไม่ใช่แวววาวแบบเจ้าเล่ห์
สายตาของ ต้อง จบจ้องสิ่งของต่างๆในห้องอย่างละโมบ ก่อนจะสอดสายสายตาไปทั่วห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น
" ว่าไง ต้อง เข้ามามีอะไร " โตถามเพื่อทำลายความเงียบ เค้ากำลังใช้ความพยายามเป็นอย่างสูงที่จะกลบเกลื่อนสายตาไม่ไว้วางใจที่เค้ามองน้องชายอยู่ขณะนี้
" ก็ " ต้องลากเสียงก่อนจะหันมามองหน้าพี่ชาย
" แค่จะเข้ามาดู ว่าเฮีย ทำอะไรเงียบๆอยู่คนเดียว " ต้องชี้แจง แต่สายตายังคงสอดส่าย นั่นทำให้โตกำหมัดแน่น พยายามอดทนต่อสายตาอยากรู้อยากเห็นของต้อง
" ก็กำลังจะอาบน้ำ " โตพูดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้
" แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่อง ที่แกจะมานั่งในห้องตอนที่เฮียกำลังอาบน้ำ " เค้าผลักร่างผอมสูงที่เตี้ยกว่าเค้าอยู่เล็กน้อยเบาๆ แต่ร่างนั้นก็โงนเงนด้วยความไม่มีเรี่ยวแรง
โตดันน้องชายตัวยุ่งออกไปนอกห้องได้ในที่สุด ก่อนจะปิดประตูล็อคห้องและหันหลังพิงอย่างเหนื่อยล้า ซึ่งไม่ได้เกิดจากความเหน็ดเหนื่อยทางกายเพราะต้องก็ไม่ได้มีเรี่ยวแรงอะไรมากนัก หากแต่เป็นความเหน็ดเหนื่อยทางใจ กี่ครั้งกี่คราแล้วที่เค้าต้องอดทนต่อความเจ้าเล่ห์ของน้องชายโดยไม่มีทางเลือกอื่นๆเลย นอกจากทนๆๆแล้วก็ทน ถ้าหากเปลี่ยนจากต้องเป็นคนอื่น
รับรอง โตคงจะจัดการดัดสันดานคนๆนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่าโตจะทำอะไร ที่ไหน ยังไง ต้องจะพยายามพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ
ทั้งที่บางเรื่องมันไม่น่าจะมีส่วนที่ต้องควรจะเข้าไปยุ่งเลยแม้แต่นิดเดียว
โตนั่งเครียดอยู่สักพักก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่ออาบน้ำชำระคราบขี้ไคลที่หมักหมม
อยู่หลายชั่วโมง ก่อนจะออกมายืนที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
เค้าส่องกระจก หันไปทางซ้ายทีขวาที ทำท่าขมวดคิ้ว เบะปาก ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง หรือไม่ก็ทำแก้มป่องๆใส่กระจก คล้ายกับจะมองหาความผิดปกติที่อาจปรากฏบนใบหน้า เมื่อไม่เจอ ก็หยิบสำลีชุบโทนเนอร์เช็ดหน้าช้าๆ ตามด้วยมอยส์เจอร์ไรส์เซอร์สำหรับใบหน้าและโลชั่นบำรุงผิวกายต่างนานาอีกเป็นกระบุง
หลังจากละเลงสารพัดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเสร็จแล้ว โตก็คว้าน้ำหอมกลิ่นโปรดมาฉีดตามจุดชีพจร ก่อนจะหวีผมให้เข้ารูปเข้ารอย
" ก๊อกๆๆๆ " เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้ง แต่ฟังดูหนักแน่นกว่าครั้งแรก
" ครับ เปิดเดี๋ยวนี้แหละครับ " โตพูดพลางเดินไปเปิดประตู
ผู้ที่อยู่หน้าประตูในครั้งนี้ คือ ป๊า ม๊า เตย ตั้มและต้อง
" ว่าไงครับ เอ่อ " โตถามหลังจากเชิญป๊ากับม๊าให้นั่งบนเก้าอี้นวมสองตัวในชุดรับแขกเล็กๆตรงมุมห้อง ต้องยืนพิงผนังในอีกมุมหนึ่ง เตยและตั้มนั่งอยู่คนละฝั่งบนเตียง ส่วนตัวเค้านั่งอยู่ที่ปลายเตียง
" เรื่องที่ป๊าว่าจะคุยกับผม " โตถามขึ้น เค้าบีบมือแน่นราวกับจำเลยที่กำลังจะถูกไต่สวน
" งั้นก็ดี " เฮียโต๊ะขยับตัวเล็กน้อย ดูเหมือนเก้าอี้นวมตัวที่นั่งอยู่คงจะทำให้อึดอัด
" ว่ากันตรงๆนะ ตี๋เอ๊ย " เค้าลุกขึ้นยืนในที่สุด
" ลื้อขโมยเงินป๊าทำไม " เฮียโต๊ะถามพลางจ้องหน้าลูกชายด้วยสายตาคาดคั้น
" ผมเนี่ยนะป๊า " โตทะลึ่งพรวด ลุกขึ้นจากเตียงพลางชี้หน้าตัวเอง
" ใช่ ลื้อขโมยเงินไปจากลิ้นชักของป๊า สี่พัน " เฮียโต๊ะยืนยัน
" ผมจะขโมยได้ยังไงล่ะ ลิ้นชักเก็บเงินของป๊าล็อคกุญแจตลอด แล้วกุญแจก็อยู่กับเจ๊เตยด้วย " โตบอกเหตุผล คิดในใจว่า จะไม่มีทางยอมรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้นโดยเด็ดขาด
" แต่โต หลังจากเงินหายไปเจ็ก็ไม่เห็นกุญแจนั่นแล้วนะ " เจ๊เตยบอกเสียงอ่อยๆ ตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าโตจะขโมยเงินไป
" และถ้าเฮียโตเป็นขโมย กุญแจก็จะต้องอยู่กับเฮีย ตรงไหนซักที่ ในห้องนี้ " ต้องพูดพลางก้าวออกมาจากมุมห้อง ราวกับว่าบทบาทสำคัญของเค้ามาถึงแล้ว
" ถ้าเฮียจะยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ ก็ต้องยอมให้พวกเราค้นห้อง " ต้องยืนยัน รอยยิ้มเหยียดหยันนิดๆปรากฏที่มุมปาก ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็น
แล้วทุกคนก็เริ่มมองหากุญแจที่ว่านั่น เด็กในร้านสองคนถูกเรียกเข้ามาช่วย โตทิ้งตัวลงบนเตียงโดยมีเตยนั่งอยู่ข้างๆ ตั้มตบบ่าเค้า ทั้งคู่มองหน้าโตเป็นเชิงให้กำลังใจ ขณะที่ต้องช่วยมองหาอย่างกระตือรือล้น
การค้นหาดำเนินไปซักพัก เด็กในร้านคนหนึ่งก้มลงดูที่ใต้เตียง แล้วหยิบกุญแจดอกเล็กๆดอกหนึ่งขึ้นมา
" ใช่ดอกนี้รึเปล่าครับ " เด็กคนนั้นพูดพลางส่งกุญแจให้เตย
" ใช่ " เตยยอมรับอย่างกล้ำกลืนที่สุด ก่อนจะหันไปมองหน้าตั้มและโตด้วยสายตาสิ้นหวัง
" กุญแจอยู่ในห้องเฮีย " ต้องพูดพลางกอดอก
" ก็คือเฮียขโมยกุญแจ และคนที่ขโมยกุญแจ ก็ต้องขโมยเงินของป๊า " ต้องสรุปเสร็จสรรพ
โตตะลึงงัน เค้าไม่รู้ว่ากุญแจดอกนั้นมาอยู่ใต้เตียงของเค้าได้ยังไง เค้าไม่รู้ที่ซ่อนกุญแจของเตย และไม่เห็นมันด้วยซ้ำ
โตกวาดสายตาไปทั่วห้อง มองหน้าแต่ละคนตั้งแต่ ป๊า ม๊า ตั้ม เตย เด็กในร้านทั้งสองคนก่อนจะหันมาสบตาต้องเป็นคนสุดท้าย แววตาเจ้าเล่ห์ของต้องส่องมากระทบตาคมกริบของเค้า โตจ้องหน้าต้องอย่างคาดคั้น ชนิดที่ใครเห็นก็ต้องสะดุ้ง ต้องถึงกับขนลุก แต่ยังมองกลับมาด้วยสายตาเย้ยหยัน
แล้วโตก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ แต่มันก็ดูจะสายเกินแก้ มันคือฝีมือของต้องนั่นเอง ต้องเข้ามาในห้องของเค้าตอนแรกเพื่อจะหาโอกาสซ่อนกุญแจ แต่เพราะเค้ารีบไล่ต้องออกไป ต้องจึงได้แต่โยนกุญแจเข้าไปที่ใต้เตียง ในจังหวะที่เค้าไม่ทันสังเกต
แต่เค้าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างกับทุกคนได้เล่า ในเมื่อหลักฐานชิ้นเดียวที่พอจะมัดตัวหัวขโมยได้ มันก็ดันมาอยู่ในห้องของเค้า
ที่สำคัญความเป็นเด็กเรียนเก่ง แสนจะเรียบร้อย และความเป็นน้องคนสุดท้องของต้อง ก็มีน้ำหนักพอจะทำให้ต้องดูเป็นผู้บริสุทธิ์ในทุกๆกรณี
ขณะที่ ความเป็นเด็กเกเร และหัวดื้อของเค้า ก็มีน้ำหนักพอจะกดดันให้เค้าอยู่ในสถานะผู้ร้ายได้เสมอ
แล้วผลก็เป็นดังคาด ป๊าเชื่อถือคำพูดของต้องและแน่ใจกับหลักฐานที่ค้นหามาได้
" เอาละ ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้วนะตี๋เอ๊ย " ป๊าพูดพลางเอามือไขว้หลัง และหันหน้าออกไปทางผนังกระจก
" สิ่งที่ป๊าต้องการก็คือให้ลื้อยอมรับผิด และก็ขอโทษอย่างลูกผู้ชายเท่านั้นเอง "ป๊าพยายามบีบคั้นให้โตยอมรับความผิด
" ไม่ครับป๊า " โตตอบอย่างหนักแน่น
" ผมแน่ใจว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชาย แต่ยังไม่ประสาทพอที่จะยอมรับความผิดที่ไม่ใช่ของตัวเอง " โตยืนกราน น้ำเสียงแข็งกร้าว
" ผัวะ " ฝ่ามือของเฮียโต๊ะปะทะกับใบหน้าของโตอย่างแรง บรรยากาศในห้องนิ่งสงัด
โตมองหน้าบิดาบังเกิดเกล้าด้วยสายตาปวดร้าว ก่อนจะหยิบกุญแจรถ โทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ แล้ววิ่งลงบันไดไป ตั้มส่ายหน้าช้าๆแล้วหันไปวิ่งตามโต เด็กในร้านทั้งสองคนเดินเข้ามาประคองเฮียโต๊ะ เตยกอดเจ๊ศรีที่กำลังจะร้องไห้ ขณะที่ต้องมองตามหลังโตและตั้มไปด้วยสายตาเย้ยหยันของผู้กำชัยชนะ
" โต " ตั้มตะโกนไล่หลังโต ต้นตามมาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
" เอานี่ไป " ตั้มพูดพลางส่งกุญแจสำรองคอนโดของตนให้
" แต่ " โตทำท่าจะปฏิเสธ แต่ตั้มคะยั้นคะยอเหลือเกิน
" เอาเหอะน่า เผื่อไม่มีที่ไป " ตั้มพูดแล้วตบบ่า มืออีกข้างยัดเยียดกุญแจให้โต
โตรับกุญแจมาใส่กระเป๋ากางเกง ไหว้ตั้มกับต้น ก่อนจะวิ่งขึ้นรถ โตสตาร์ทเครื่อง หันมามองบ้านแวบหนึ่ง ก่อนจะเร่งความเร็ว บึ่งรถออกไป
โตพยายามอย่างยิ่งที่จะมองตรงไปข้างหน้าโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองที่ตามทางที่จากมา ตาเค้าจ้องไปที่ทางข้างหน้า คิดหาที่ที่จะไป แต่ก็คิดไม่ออก รู้สึกว่าสมองตีบตันเหลือเกิน
" ตอนนี้ เรามีอะไรบ้างนะ " โตถามตัวเองในใจ ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างจากการบังคับพวงมาลัย คลำหาสิ่งของที่นำติดตัวมา พบ กระเป๋าสตางค์ที่มีเงินอยู่ ห้าพันเศษๆ กับบัตรเครดิตและเอทีเอ็มอีกอย่างละสามใบ โทรศัพท์มือถือ ในกระเป๋ากางเกงข้างขวามีกุญแจคอนโดของตั้มแต่กระเป๋าสตางค์ข้างซ้าย เค้าพบกุญแจลิ้นชักกับบุหรี่มวนใหญ่ๆห้ามวน โตแปลกใจเล็กน้อยกับ " สิ่งของพิเศษ " บางอย่างที่เค้าพกมาด้วย แต่ก็รู้สึกยินดีที่ไม่ได้ทิ้งมันไว้ในห้องทั้งหมด
โตตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าบ้านเพื่อนสนิทคนหนึ่งในที่สุด เค้ามีธุระบางอย่างต้องทำ โตหยิบมือถือขึ้นมาหาเบอร์ที่เมมโมรีไว้ในชื่อ " หนึ่ง " ก่อนจะ กดปุ่มต่อสาย
" ฮัลโหล หนึ่งเหรอ นี่โตนะ " เค้ากรอกเสียงลงไปทันทีที่มีคนรับ
" เออ มีอะไรวะ " คนชื่อหนึ่งตอบกลับมา
" ตอนนี้กูขับรถจะถึงหน้าบ้านมึงแล้ว ออกมาหากูที " โตพูด ก่อนจะกดปุ่มวางสายแล้วชะลอรถเตรียมที่จะจอดยังเป้าหมาย คือ หน้าบ้านของหนึ่ง
ซึ่งตอนนี้เจ้าของบ้านก็ออกมายืนต้อนรับโตเรียบร้อยแล้ว หนึ่งชะโงกคอมอง รถยนต์บีเอ็มดับบลิวสีดำเงางาม ชะลอลงช้าๆแล้วจอดสนิทตรงหน้าหนึ่ง เพื่อนรักของเค้าก้าวลงจากรถทั้งคู่สวมกอดทักทายกันพอเป็นพิธี
" แล้วมึงมีอะไร ทำไมมาป่านนี้ " หนึ่งถามเข้าเรื่อง
" กูทะเลาะกับป๊า กะจะออกมาข้างนอกซักอาทิตย์สองอาทิตย์ แล้วกูก็ไม่อยากให้เค้าตามเจอ " โตบอกเหตุผลกับเพื่อนรัก
" ถ้าให้กูเดา " หนึ่งพูดด้วยท่าทางครุ่นคิด
" มึงต้องมาขอเปลี่ยนรถไปใช้ซักอาทิตย์สองอาทิตย์ แล้วก็ต้องมาถามหาชุดนักเรียนกับชุดพละของมึงที่มาทิ้งไว้บ้านกู ใช่ไหม " หนึ่งตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
" เออ มึงเดาถูก ถูกทั้งหมดเลย " โตพูดด้วยท่าทางคล้ายกับพยายามจะอำใครแล้วถูกจับได้
" งั้นรอแป๊บ " หนึ่งว่าพลางหันไปบอกคนขับรถให้เอารถออกมาให้
" พ่อกับแม่กูอยู่ลอนดอน รถก็เลยอยู่ครบทั้งห้าคัน แต่กูว่าคันนี้น่าจะเหมาะ " หลังจากหนึ่งพูดจบซักพัก คนขับรถก็ขับรถสปอร์ตของมาสด้าสีดำเงาคันหนึ่งออกมา ก่อนจะก้าวลงจากรถแล้วส่งกุญแจให้โต
" แล้วก็นี่ " หนึ่งบอกแล้วหันไปรับถุงใส่เสื้อผ้าทั้งชุดนักเรียนและพละของโตที่ซักรีดเรียบร้อยแล้วจากคนรับใช้
" ของมึง " หนึ่งส่งมันให้โต
" ขอบใจมากนะโว้ย " โตพูดก่อนจะส่งกุญแจรถของตัวเองให้หนึ่ง
" เดี๋ยวกูเอามาคืน " โตบอก แล้วเดินขึ้นรถ โบกมือลาก่อนจะขับรถจากไป
.
อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร
เด็กสาวอายุราวๆ สิบแปดปี เธออยู่ในชุดสายเดี่ยวสีดำซึ่งยาวถึงต้นขา ปิดกางเกงยีนส์ขาสั้นรัดรูปเอาเกือบมิด สะพายกระเป๋าแฟชั่นแบรนด์ดัง เครื่องประดับทุกชิ้นบนเรือนร่างล้วนราคาหูฉี่ ทั้งนาฬิกาข้อมือฟิลิปราคากว่าสองหมื่นบาท แหวนสวยในนิ้วเรียวงาม สร้อยคอดีไซน์เฉี่ยวที่ยาวถึงกลางอก ทั้งต่างหูคู่แวววาว ในกระเป๋าสะพายก็ยังมี โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด กับกระเป๋าสตางค์ใบหรู
มูลค่าทั้งตัวเฉียดแสน
ใครเลยจะรู้ว่า ยามที่เธอลำบาก ร้อนเงินขึ้นมาจริงๆ ข้าวของพวกนี้ก็พร้อมจะถูกขายให้กับเพื่อนฝูงที่หลงใหลสินค้าแฟชั่นมือสองหรือกระเด็นเข้าไปอยู่ในโรงจำนำโดยไม่มีกำหนดไถ่ถอนได้ทันที
แต่ เด็กสาวเจ้าของดวงตากลมโตล้อมรอบด้วยขนตางอนงาม จมูกโด่งเป็นสันพอเหมาะริมฝีปากอวบอิ่มพองาม ผมหยิกเป็นลอน สวยหวานคนนี้ก็สามารถจะหาเงินไปซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้มาใช้ได้ใหม่อยู่เรื่อยๆ
แทบไม่ต้องเดาเลยว่าเธอได้เงินมาอย่างไร
เพราะอาชีพที่สามารถ ทำให้นักศึกษาปี1 สาวสวย บ้านแตกสาแหรกขาด เหยียบขี้ไก่ก็แทบจะไม่ฝ่อ แต่ดันติดหรูชอบใช้ของแพง พอจะหาเงินได้ครั้งละมากๆ ก็มีอยู่ไม่กี่งาน
ที่สำคัญงานแบบนี้ โดยมากต้องทำตอนกลางคืน และก็มีนักศึกษาอีกหลายๆคนใช้หาเลี้ยงชีพ ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาหญิง นักศึกษาชายก็เริ่มมีบ้างเหมือนกัน แต่ก็ยังน้อยกว่า
ไม่ต้องอธิบายอะไรต่อให้ยืดยาว ก็เชื่อว่าคงจะพอเข้าใจ
ส้ม คือชื่อของเด็กสาวคนนี้ ตอนนี้เธอหยุดเดิน ยืนนิ่งอยู่ที่ริมฟุตบาท สายตาทอดออกไปยังฝั่งตรงข้าม เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย ตากลมโตกำลังชุมฉ่ำด้วยน้ำหยดใสๆ คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อซักครู่
" ตกลงหนูเป็นอะไรแน่คะอาหมอ " สีหน้าของผู้ถามมีแววกังวล แต่ถูกกลบด้วยเสียงถามที่ใสแจ๋ว
" ก่อนอื่นๆ หนูต้องทำใจให้ดีๆ โรคนี้อาจะหายยากแต่มันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวหนูเป็นส่วนใหญ่ อีกอย่างอายุของหนูยังน้อย หมอเชื่อว่าจะรักษาให้หนูหายได้ ถ้าหนูให้ความร่วมมือ " นายแพทย์วัยกลางคนท่าทางใจดี ตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่ยังพยายามปลอบโยนคนไข้วัยคราวลูกที่นั่งอยู่ตรงหน้า
" แล้วหนูเป็นโรคอะไรคะ " เธอถามขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงปลงๆคล้ายจะยอมรับได้แต่ในใจยังคงร้อนรน
" มะเร็งลำไส้จ้ะ " หมอตอบ ก่อนจะพูดต่อถึงสิ่งที่เชื่อว่าคนไข้จะต้องถาม
" ระยะสุดท้ายแล้ว แต่ยังพอจะรักษาได้อยู่นะ เพราะหนูยังเด็กยังแข็งแรง ถ้าทำคีโมแล้วบำบัดต่ออีกซักหน่อย จากนั้นหนูก็เลิกเที่ยว เลิกดื่มเหล้า ดูแลสุขภาพให้ดีๆ อาหมอเชื่อว่าหนูจะหายขาดแล้วก็อยู่ได้อีกนานเชียวล่ะ " หมอพูดอย่างให้ความหวัง ถ้าคนไข้ยังมีกำลังใจการรักษาก็จะเป็นไปได้ง่าย และถ้าส้มทำตามที่เค้าแนะนำ เธอก็จะหายขาดจากโรคนี้ได้จริงตามที่หมอบอก
แต่ส้มยังเงียบก้มหน้านิ่ง มือนุ่มทั้งสองข้างบีบกันไว้แน่น ก่อนจะยกขึ้นมาไหว้หมอ แล้ววิ่งออกออกจากห้องตรวจไปในที่สุด
เธอเดินออกจากโรงพยาบาลมาด้วยอาการจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส้มเดินไปได้ซักพักก่อนจะตัดสินใจนั่งลงที่ม้านั่งก่อนจะถึงสถานีรถไฟฟ้า เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเลือกเบอร์ที่เมมโมรีไว้ในชื่อ " น๊อต " แล้วโทรไปทันที
" ฮัลโหล ส้มเหรอจ๊ะ " น๊อตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
" ใช่ส้มเอง น๊อต ส้มมีเรื่องจะคุยด้วย ออกมาหาหน่อยได้ไหม " ส้มถาม พยายามกลบเกลื่อนน้ำเสียงสั่นเครือของตัวเอง
" อืม ได้จ้ะส้ม น๊อตก็มีเรื่องจะคุยกับส้มเหมือนกัน แล้วส้มอยู่ที่ไหนล่ะ อืมงั้นรออยู่ตรงนั้นล่ะเดี๋ยวน๊อตออกไป " น๊อตตอบอย่างรวบรัด
ซักพัก รถของน๊อตก็มาถึง ส้มเดินไปขึ้นรถ บรรยากาศภายในรถดูเงียบงันแล้วก็แสนจะอึดอัด ถึงแม้เจ้าของรถจะเปิดเพลงอันเดอร์กราวน์อัลบั้มโปรดซะจนเสียงดังไปถึงข้างนอก
" เอาล่ะ ส้มมีอะไร น๊อตให้ส้มพูดก่อน " ฝ่ายชายพูดน้ำเสียงสบายๆ ผิดกับฝ่ายหญิงที่ได้แต่ก้มหน้าเงียบ
" วันนี้ส้มไปตรวจสุขภาพมา " ส้มเกริ่น น๊อตหันมามองส้มทันที
" ส้มท้องเหรอ " น๊อตถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
" เปล่าไม่ได้ท้อง " ส้มตอบด้วยอารมณ์รำคาญเล็กน้อยแต่พยายามจะพูดต่อ
" แต่ส้มเป็น " เธอพยายามจะพูดต่อ แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก
" เป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายแล้ว " ส้มกลั้นใจพูดออกมาในที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้แฟนหนุ่มคิดจินตนาการไปไกล ถึงโรคร้ายโรคอื่นๆ เช่นโรคเอดส์
น๊อตเบรกรถทันทีที่ส้มพูดจบ
" มะเร็ง ไม่ใช่โรคติดต่อ ใช่ไหมส้ม " น๊อตถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
" อือฮึ " ส้มตอบแต่ยังก้มหน้า น๊อตจึงขับรถต่อไปอย่างโล่งอก
" ได้ยินว่า โรคนี้หายได้นี่ " น็อตบอกพลางหักพวงมาลัยให้เลี้ยวไปทางซ้าย
" ส้มอายุยังน้อย ก็ทำตามที่หมอเค้าสั่ง ดูแลร่างกายดีๆ ก็ยังอยูได้ " น๊อตพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย
ส้มได้ฟัง ก็ใจชื้นขึ้นมา ด้วยเชื่อว่า ถึงแม้ตนจะต้องรักษาแบบเคมีบำบัดจนผมร่วง ต้องโกนหมดหัวแล้ว แฟนหนุ่มก็คงจะรับได้ และก็ช่วยเป็นกำลังใจให้เธอจนหายดี
" ที่นี้ มาถึงเรื่องของน๊อตแล้วนะ " น๊อตพูดขึ้นบ้าง ส้มหันมามองน๊อต เลิกก้มหน้า เพราะสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว
" ส้มจำได้ใช่ไหม ว่าแม่น๊อตไม่ค่อยชอบส้มเท่าไหร่ " ฝ่ายชายเริ่มเกริ่น ขณะที่ฝ่ายหญิงเริ่มรู้สึกว่าเรื่องที่เค้าจะพูดมีกลิ่นไม่ค่อยดี
" แล้วเค้าก็อยากให้น๊อตคบกับพลอย ลูกสาวของหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทมากกว่า " น๊อตพูดออกมาในที่สุด ส้มกลับมาก้มหน้าอีกครั้ง
" คือ เราต้องเลิกคบกัน ส้มเข้าใจน๊อตใช่ไหม " น๊อตพูดจนจบ เค้าหยุดรถ มองหน้าส้ม แต่ก็ต้องหันกลับมาด้วยความละอายใจและรู้สึกผิด ส้มไม่ตอบแต่ปลดล็อคแล้วเดินลงจากรถไป
โปรดติดตามตอนต่อไปนะค้า-.....