ประกายชล - ไอตะวัน 3
TANOI_ZA
ตอนที่สาม เริ่มรัก
หลังจากนั้น ฉันกับคุณไอและตาเค้กก็กลับบ้านด้วยกันเป็นประจำทุกวัน แต่จะมีในบางคืนที่ฉันจะพาเขาไปเที่ยวสถานที่เที่ยวยามกลางคืน เช่น ผับหรือตลาดกลางคืน โดยปราศจากเงาตาเค้กค่อยติดตาม เพราะตาเค้กจะต้องนอนแต่หัวค่ำทุกคืน (อันที่จริงแล้ว ที่พาไปเที่ยวกลางคืน เพราะอยากไปไหนมาไหนกันแค่สองคนด้วยนั่นแหละค่ะ)
วันนี้ก็เช่นกัน เราก็มาผับเดิมที่เรามักจะมาเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ เนื่องจากว่าร้านนี้เป็นร้านประจำของฉันกับยัยกลอน หรือ ร้อยกรอง ทองประพันธ์ ซึ่งวันนี้ฉันได้นัดยัยกลอนมาด้วย เพราะตั้งใจอยากจะให้ไอ (แน่ะๆ! เริ่มไม่เรียกคุณแล้วนะยัยชล) มีเพื่อนคนอื่นนอกจากฉันบ้าง ในตอนที่เราสองคนไปถึงกลอนได้นั่งรอเราสองคนอยู่แล้ว ฉันจึงรีบจูงมือไอเข้าไปทัก
"มานานหรือยังกลอน รอนานหรือเปล่าวะ ก็ตาเค้กหลานรักเธอน่ะสิ กว่าจะทำการบ้านเสร็จ กินอิ่ม นอนหลับได้ ก็ปาไป 3 ทุ่มครึ่งแล้ว กลอนเงยหน้ามองแล้วตอบว่า
ไม่นานเลยย่ะ แค่เกือบชั่วโมงเอ....เอง ยัยกลอนชะงักไปนิดนึง คงเพราะตกใจไม่คิดว่าฉันจะพาคนอื่นมาด้วย ฉันจึงเริ่มแนะนำตัวทั้งสองคนให้รู้จักกัน
อ้อ! นี่คุณไอตะวัน ประทานชล ประธานบริษัทของเรา แต่ตอนนี้เวลาเลิกงาน ตำแหน่งเลยเท่ากันแล้ว เลยเรียกไอเฉยๆได้ และฉันก็แนะนำกลอนให้ไอรู้จักต่อทันที
ส่วนนี่ ยัยกลอน เพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมค่ะ
ทั้งคู่เงียบไปสักพักหนึ่ง จึงเริ่มกล่าวคำทักทายซึ่งกันและกัน วันนี้ทั้งกลอนและไอเงียบผิดปกติ เหมือนกับว่ากำลังคิดถึงอะไรบางอย่างกันอยู่ ซึ่งฉันน่าจะสังเกตได้ไม่ยากนัก แต่ดูเหมือนว่าใจจริงของฉัน ก็กลัวจนไม่กล้าพอที่จะสังเกตพฤติกรรมนั้น
ช่วงเวลาหลังจากวันนั้น ยัยกลอนก็เข้ามาร่วมก๊วนบ่อยขึ้น แต่ถ้าฉันเข้าใจสีหน้าและท่าทางของไอไม่ผิด ฉันว่าเขาไม่ชอบให้ยัยกลอนเขาไปยุ่งเกี่ยวกับเขามากนัก
อย่างเช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งเรา 4 คนไปเดินซื้อของกัน แล้วฉันก็มองเห็นเสื้อตัวหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่าทั้งแบบทั้งสีต้องถูกใจคุณไอแน่ๆเลย จึงชวนทุกคนให้หยุดมอง
"นี่ เสื้อตัวนั้นสวยจัง ไอฉันว่าคุณต้องชอบแน่ๆเลย เราแวะดูกันก่อนเถอะ พวกเราจึงพากันเดินไปที่ร้านเสื้อร้านนั้น
คุณไอตะวันชอบสีไหนคะ ชอบสีฟ้าหรือสีแดง แต่กลอนว่า คุณไอตะวันต้องชอบสีฟ้าแน่เลย ใช่ไหมค....
ไม่ใช่! สีแดง เขาสวนขึ้นมาทันควัน ทั้งๆที่ยัยกลอนยังพูดไม่จบดีด้วยซ้ำ น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจและแฝงความหมายอะไรบางอย่างซึ่งฉันก็ไม่สามารถเข้าใจเขาได้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเขายังไม่เคยแสดงกริยาแบบนี้กับฉันเลยสักครั้ง
ผมชอบสีแดง แล้วก็ไม่ได้ชอบสีฟ้าอีกต่อไปแล้ว โปรดเข้าใจไว้ด้วย
เขาหันไปหาพนักงานและบอกให้จัดเสื้อตัวสีแดงใส่ถุงให้ด้วย ทั้งคู่อาจจะไม่ทันสังเกตุถึงรอยแตกแยกที่แสดงออกมา เพราะ ณ เวลานั้น ดูเหมือนว่าเขาสองคนจะลืมไปแล้วด้วยซํ้า ว่าฉันเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน ซึ่งมันก็ทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่ตอนนี้ฉันเองก็ยังอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
ฉันในตอนนี้รู้แต่ว่า คุณไอยังชอบสีฟ้าอยู่แน่ๆ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ฉันเคยชี้ให้เขาดูเสื้อสีแดงตัวหนึ่ง แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะเอาเสื้อตัวสีฟ้าอีกตัว ทั้งๆที่แบบเสื้อมันแก่เกินวัยเขาไปมาก
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่ร้านเสื้อในวันนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่มากไปกว่านั้นอีก แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆทุกครั้งที่เขาสองคนพบกัน จนกระทั่งวันหนึ่งไอก็บอกกับฉันว่า
"คุณชล คือ...วันนี้เราไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลงกันโดยที่ไม่กลอนได้ไหม
ฉันอยากจะถามเหตุผลเขาใจจะขาดว่า ทำไมเขาถึงรังเกียจกลอน ถึงขนาดที่ไม่อยากให้ไปไหนมาไหนด้วย จะเป็นเพราะว่ากลอนเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราสองคนก็ไม่น่าจะใช่ (เอาเข้าไปคนเราเวลาอย่างนี้ยังจะมีอารมณ์มาเข้าข้างตัวเองอีก) แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ถามเขาออกไป เพราะฉันคิดว่าเขาต้องมีเหตุผลของเขา ที่ยังไม่พร้อมจะบอกฉัน
แต่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของฉัน มันถามเขาแทนคำพูดของฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว จนกระทั่งเขาส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ฉันพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันหวั่นไหว
"ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่..วันนี้ผมอยากอยู่กับคุณแค่สองคน ก็เท่านั้นเอง
หลังจากที่เราดูหนัง กินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขับรถไปส่งตาเค้กที่บ้านก่อนตามปกติ แต่วันนี้ใจฉันที่มันสั่นไปด้วยความหวั่นไหว อันเกิดจากสายตาเขาที่ส่งมาให้ฉันเมื่อเย็น จนฉันอยากจะให้ตาเค้กนอนดึกสักวันเพื่อไปเป็นเพื่อนฉันเอาซะดื่อๆ แต่ฉันก็เข้าใจต้องยอมปล่อยตาเค้กไปนอนตามปกติ
แต่กว่าฉันจะยอมออกจากบ้านได้ ก็โอ้เอ้อยู่นานจน 4 ทุ่มครึ่งได้ เราสองคนถึงเริ่มเดินทางออกจากบ้านของฉัน
ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างทาง ต่างคนต่างนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่บ้าง ฉันรู้แต่ว่าฉันอยากจะรู้ความหมายของสายตาที่เขาส่งมาให้เมื่อเย็นนี้ ว่ามันจะใช่อย่างที่ฉันเข้าใจหรือเปล่า ในเมื่อเขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ใครจะกล้าสรุปอะไรเข้าข้างตัวเองล่ะ ไม่นานนักเราสองคนมาถึงที่ร้าน เมื่อเรานั่งที่โต๊ะและสั่งเครื่อง ดื่มเบาๆกันเรียบร้อยเขาก็พูดออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมสายตาที่ชวนฉันรู้สึกจั๊กจี้ใจ
"วันนี้ผมดีใจนะที่ทั้งคุณกลอนและเค้กไม่ได้มาด้วย เขาเริ่มพูดอะไรที่ทำให้ใจฉันสั่นและเริ่มกลัวเขาขึ้นมาเล็กน้อย
คือผมมีอะไรอยากจะบอกคุณให้รู้เอาไว้ รับฟังผมด้วยแล้วกัน ถึงแม้ว่ามันออกจะกระทันกันไปหน่อย แต่ผมก็คิดดีแล้วล่ะ ว่าผมรักคุณ และอยากให้คุณเท่านั้นมาเป็นแฟนผม
คะ! ว่าไงนะคะ! ฉันตะโกนพร้อมกับทำตาโตด้วยความตกใจ
แต่สักพักก็รู้สึกถึงความร้อนจากจุดต่างๆของร่างกายที่เริ่มพุ่งขึ้นสู่ใบหน้าเป็นจุดเดียว ใจสั้นไม่เป็นจังหวะ มือไม้อ่อนแรงแถมยังเกะกะจนไม่รู้จะจับไปวางไว้ที่ไหน และใบหน้าก็ยังหนักจนไม่มีแรงจะยกขึ้นมาสบตาคนพูดด้วยซํ้า สักพักเครื่องดื่มที่เราสั่งไปเมื่อกี้ก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าเราสองคน ฉันไม่รออะไรแล้วล่ะค่ะ มือที่รู้สึกเกะกะเมื่อกี้เหมือนเจอที่พักพิง รีบดิ่งไปหยิบนํ้าส้มขึ้นเทลงคอแบบรวดเดียวจบ
'เอ้ะ! แต่ว่าทำไมนํ้าส้มมันรสชาติแปลกๆนะ เอ้า! แล้วทำไมนํ้าส้มมันถึงมีสองแก้วได้ล่ะ ก็เมื่อกี้..คุณไอสั่งบรั่นดีไปไม่ใช่เหรอ
คุณไอ ทำไมมองชลแปลกๆล่ะคะ
ก็ตั้งแต่รู้จักคุณมา ผมไม่เคยเห็นคุณดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์เลยนี่ครับ เรื่องที่ผมบอกรักคุณมันทำให้คุณกลุ้มใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ
คำพูดที่เหมือนจะห่วงใยและสำนึกผิดที่บอกรักฉันกระทัน แต่ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆหรอก เขาต้องการจะแซวที่ฉันหยิบแก้วผิด เพราะเขินที่เขาบอกรักฉัน ก็เขาอมยิ้มที่แสนจะน่ารักไว้จนแก้มปริเลย ฉันจึงแกล้งทำเป็นงอนแก้มป่องให้เขาง้อเล่น แต่เขาไม่ยอมง้อ กลับถามฉันต่อว่า
"แล้วคุณรักผมหรือเปล่า เรื่องอะไรจะตอบ ก็ฉันยังเขินยังงอนอยู่เลยนิ
งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ผมชวนคุณออกไปเต้นรำเพลงต่อไปดีกว่า ถ้าคุณออกไปเต้นกับผมแสดงว่าคุณเองก็รักผมด้วยเหมือนกัน ตกลงเอาอย่างนี้นะครับ
สักพักเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ก็จบลง และเพลงใหม่ก็เริ่มบรรเลงอินโทรไปพร้อมกับหัวใจฉันที่เริ่มสั่นแรงยิ่งกว่าเดิมอีกครั้ง เขาออกไปยืนรออยู่ที่ลานเต้นรำ แต่ฉันก็ยังไม่ยอมลุกตามเขาออกไป เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอย่างเดียว เพราะว่าฉันยังเขินอยู่เลยนี่นา
ครู่ต่อมาเมื่อฉันก็รวบรวมความกล้าได้ ก็ลุกขึ้นเอามือโอบรอบเอวเขาไว้พร้อมกับซุกหน้าลงที่อกของเขาทันที
ยอมเต้นรำได้ด้วยก็ได้ เพราะเห็นว่าใจกล้าบอกรักคนอย่างเราหรอกนะ แต่ฉันก็ต้องรู้สึกแปลก เพราะว่าเขากลับไม่ยอมขยับตัวเลยสักนิดเดียว ออกจะแข็งๆด้วยซ้ำไป ก็คงตลึงนั่นแหละคงไม่คิดว่าฉันจะกล้าขนาดนี้ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ตาฝาดหรือฉันไม่เป็นบ้าไป แต่ฉันก็ต้องตกใจสุดขีด (เน้นอีกครั้งนะคะว่า สุดขีด จริงๆ) เมื่อพบว่าคนที่ฉันเอาหน้าไปซบอกเมื่อกี้เป็นหนุ่มหล่อที่ไหนก็ไม่ทราบ
ไม่จริ๊ง......ใครว่ะเนี้ย โคตรหล่อเลย เอ้ย!! ไม่ใช่ ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เวลามาเหล่หนุ่มหล่อนะยัยบ๊อง ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า
ฉันอยากจะเป็นลมให้มันรู้แล้วรู้รอดไปตอนนั้นเลย แต่ว่ายังทำไม่ได้ เพราะหนึ่งหนุ่มหล่อผู้นี้ จะต้องไม่รับตัวฉันที่กำลังจะล้มลงไปแน่ๆเลย (แถมยังจะมีเตะซ้ำอีกด้วย ข้อหาหน้าตายังไม่สวยเข้าขั้น แต่ดันถือโอกาสลวนลามคนหล่อ) และสองไอตะวันอยู่ไหนล่ะ ก็เมื่อกี้ฉันฉันยังเห็นเขาอยู่ตรงนี้อยู่เลยนี่นา ฉันจึงหันหลังเพื่อมองหาเขา ปรากฎว่าเขายืนทำหน้าเหวอเหมือนเห็นผียังไงยังงั้นเลย เขาคงคิดว่าฉันปฏิเสธเขาละมั้ง แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็จะทำร้ายจิตใจเขาเกินไปแล้ว ซึ่งฉันจะไม่มีทางทำแน่ๆ
แล้วเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร (ซึ่งใครที่ว่าก็คือ ฉันนั่นแหละ) และถ้าฉันเดาไม่ผิด คงจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นสีหน้าที่เหวอกว่าของฉัน แบบที่ไม่สามารถสรรหาคำใดๆในโลกนี้มาอธิบายได้เลย
ตอนนี้เขาก็คงจะรู้แล้วว่าฉันไม่ได้จะปฏิเสธเขา แต่มันเป็นเพราะว่าฉันเขินมากจนซุ่มซ่ามเซ่อซ่าทำให้สารภาพรักผิดคน ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่แสนจะโรแมนติคและน่าประทับใจ (คืออันนี้มันก็ประทับใจนั่นแหละ แต่ฉันไม่อยากให้เราประทับใจกันแบบนี้นี่) แล้วเขาก็รีบพาฉันออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งพ่อหนุ่มรูปหล่อยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อเราสองคนเข้ามานั่งในรถและหันมาสบตากัน เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งแถมยังดังกว่าเดิมอีกด้วย
"โอ๊ย!! ให้ตายเหอะผมไม่อยากจะเชื่อเลย โอ๊ย!! ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะขนาดนี้ แต่ผมกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆนะคุณ
ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนที่จะเสียมารยาทกับใครได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะกับคนที่เขาพึ่งจะสารภาพรักไป แต่เขาก็เสียมารยาทกับฉัน เพราะฉันดันทำตัวซุ่มซ่ามน่าหัวเราะเยาะเองนี่นา เป็นใครเขาก็ต้องหัวเราะลืมตายกันทั้งนั้นแหละ
'แต่เขาก็ไม่ควรจะหัวเราะขนาดนี้นี่'
ฉันเลยไม่คิดจะพูดอะไรเพื่อเป็นการแก้ตัว แต่มันก็ทำให้เขาค่อยๆเบาเสียงหัวเราะลงอย่างเกรงใจฉัน เราสองคนนั่งเงียบมาตลอดทางฉันเองก็เอาแต่นั่งนึกว่า
'ฉันยังไม่ได้บอกรักเขาเลย อุตส่าห์จะบอกก็ดันทำแผนเสีย โอ๊ยนึกทีไรอยากจะเอาหัววิ่งชนนุ่นให้ตายไปเลยจริงๆเชียว
เราเงียบกันจนกระทั่งตอนเขาก็ขับรถผ่านทุ่งหญ้ากว้าง ติดริมแม่น้ำ ทำให้ฉันนึกอะไรดีๆออก และหวังว่าคราวนี้คงไม่เกิดอะไรที่น่าประทับใจมากไปกว่าตอนที่อยู่ในผับอีกแล้ว ฉันจึงรวบรวมความกล้าพูดออกมาว่า
"อยากนั่งดูดาวริมแม่น้ำจังเลยค่ะ
ไม่มีคำตอบจากเขา แต่เส้นทางเดินรถได้เปลี่ยนจากที่ขับอยู่บนถนน ไปเป็นขับฝ่าทุ่งหญ้าและจอดที่ริมแม่น้ำ ฉันเปิดเพลงช้าให้เข้ากับบรรยากาศรอบๆตัวเรา แล้วจึงเปิดประตูเดินลงจากรถ ไปนั่งกอดเข่ารอเขาด้วยใจที่แทบจะออกมาเต้นแร็พอยู่ข้างนอกตัวอยู่แล้วที่ริมแม่น้ำ (แถวบ้านชลและท่านผู้อ่านหลายๆท่านอาจจะเรียกมารยาหญิงชนิดนี้ว่า อ่อย ก็ได้นะคะ แล้วเหยื่อจะติดเบ็ดหรือเปล่าลองอ่านกันต่อค่ะ) แล้วเขาก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ
'นั่นไง! ติดกับแล้ว เอ้ย!!ไม่ใช่ มาอ้อนเราแล้ว' (อาการอาจจะนอกหน้านอกตาไปบ้าง แต่ก็อย่างว่า นานจะหลงมา ก็ต้องรีบ รวบหัวรวบหางไว้ คุณคนโสดเช่นดิฉันคงเข้าใจดี) สักพักหนึ่งฉันก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่แสนอบอุ่น เพราะเสื้อคลุมไหล่ที่มาพร้อมกับกลิ่นนํ้าหอมจางๆและสัมผัสที่เขาวางลงบนไหล่ของฉัน
คลุมไว้ดีกว่า อากาศเย็นๆแบบนี้ ถ้าคุณไม่สบายผมคงไม่เป็นอันทำอะไรพอดี เขาหน้าแดงแป๊ดเลย คงรวบรวมความกล้าที่จะพูดอะไรทำนองนี้อยู่นานเลยสินะ แต่ฉันยังไม่ยอมพูดขอบคุณเขาหรอกนะ เพราะว่าฉันเองก็กำลังรวบรวมความกล้าที่จะบอกรักเขาอยู่
ตอนนี้ก็เลยได้แต่มองไปที่ประกายของแม่นํ้าที่เกิดจากแสงจันทร์และแสงดาวที่กระทบกับคลื่นแม่นํ้าจนกลายเป็นประกายแวววาว เพื่อรวบรวมความกล้า (เกี่ยวกันไหมเนี้ยที่มองดูประกายของแม่นํ้าแล้วมีความกล้าเพิ่มขึ้นได้เนี้ย พูดเหมือนกับเรื่องรักโรแมนติคจะกลายเป็นหนังแปลงร่างอย่างนั้นแหละ แต่ว่ามันทำให้ใจฉันที่สั่นอยู่สงบลงไปเยอะเลยล่ะ)
"ไอ เราอยากเต้นรำกับไอ....ได้ไหม!? สายไปหรือเปล่า"
พูดจบฉันก็ร้องไห้ออกมา ทั้งๆที่มันก็แค่ขอเขาเต้นรำเพื่อแทนคำตอบที่เขาถามฉันที่ผับ แต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกตื้นตันขนาดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่า ฉันเคยคิดว่าระหว่างฉันกับเขามันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฐานะเราต่างกันมากเหลือเกิน หรือไม่ ความรู้สึกลึกๆในใจ ฉันรู้สึกว่าไขว่คว้าใจเขาไม่ได้เลย ในใจลึกๆของฉันที่ไม่กล้ายอมรับว่า เขาได้ให้ใจใครคนหนึ่งไปแล้วตลอดกาล ฉันตอนนี้เหมือนฝันอยู่ กลัวว่าอีกประเดี๋ยวก็อาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้ กลัวความไม่มั่นคง และอีกหลายๆความรู้สึกที่มันเต็มอยู่ข้างในใจ
"เป็นอะไรชล อยากเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ ผมยินดีอยู่แล้ว ผมกลัวแต่ว่าคุณจะไม่ยอมเต้นกับผมซะอีก ฉันสวนขึ้นมาทันทีว่า
เต้นซิเต้น เราจะเต้นกับไอคนเดียวเลยทั้งชีวิตนี้ ห้ามไอเผลอใจไปเต้นกับใครแล้วด้วยนะ เขาเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับนํ้าตาฉันเบาๆ และโอบกอดฉันไว้อย่างอ่อนโยน
จะเต้นเลยไหม ผมอยากเต้นรำกับคุณแล้ว เขาประคองฉันขึ้นมา แล้วเราก็กอดกันพร้อมกับยํ่าเท้าไปตามจังหวะดนตรีที่ผสมผสานกับเสียงจิ้งหรีดเรไร ฉันคิดได้อย่างเดียวว่าตั้งแต่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ เพลงนี้เป็นเพลงที่เพราะที่สุดในชีวิตฉันแล้ว
"เรารักไอนะ....รักมานาน แต่รู้ว่าไม่ควรไขว่คว้า รู้ว่าไม่เคยอยู่ในฐานะอื่น นอกจากคนที่ไออยากเป็นเพื่อนด้วย ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา เหมือนมีเส้นบางๆที่เรามองไม่เห็นมากั้นกลางระหว่างเราไว้ แต่ตอนนี้เรากลับกลัวมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
กลัวอะไรหือ!? ไม่เห็นมีอะไรที่น่ากลัวเลย จริงอยู่ว่าตอนแรกผมก็แค่ประทับใจชล อยากได้เพื่อนอย่างชล แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้ชลเป็นแค่เพื่อนแล้วนะ
เรากลัวความไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าสักวันหนึ่ง จะมีใครเข้ามาทำให้ไอกลับไปหาหรือเปลี่ยนใจไปจากเราหรือเปล่า เรากลัวจะเสียไอไป แต่ถ้ามันถึงวันนั้นจริงๆละก็ เราอยากให้ไอบอกเราตรงนะ ไม่ต้องทนฝืนอยู่กับคนที่ไอไม่ได้รักหรอก
พอเหอะชลยิ่งพูดยิ่งใจหาย อย่าพูดอีกเลยนะ ผมจะหายไปไหนได้ยังกัน ผมไม่ไปไหนหรอกจะอยู่กับชลนี่แหละ ผมสัญ.... ฉันเอื้อมมือไปปิดปากเขาเบาๆ ก่อนที่เขาจะหลุดคำที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาทำมันไม่ได้หรอกออกมา
อย่าสัญญาเลย มันไม่แน่นอนหรอก เราเองก็แค่พูดเผื่อๆไว้เท่านั้นเอง ถ้ามันจะมีวันนั้นเราก็แค่อยากให้ไอได้อยู่กับคนที่ไอรักจริงๆมากกว่าทนอยู่กับเรา แต่ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เราจะทำใจปล่อยไอไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
ไม่มีคำพูดใดๆจากเขา ฉันเองก็กำลังงงกับสิ่งต่างๆที่ฉันเพิ่งพูดออกไป ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมถึงแช่งตัวเองแบบนั้น แต่มันเหมือนอะไรบางอย่างบอกให้ฉันพูดออกไปเช่นนั้น
"เอ่อ.....ชลผม..มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกชล..
ตู๊ดๆ...ตู๊ดๆ... เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นมา เขาจึงขอตัวไปคุยโทรศัพท์ก่อน สักพักเขาก็วิ่งกลับมา ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
ผมมีธุระด่วน!! ต้องรีบไปจัดการ เดี๋ยวผมไปส่งชลที่บ้านก่อนแล้วกันนะ
เฮ้อ...ฉันจะโล่งอกหรือกลุ้มใจต่อดีละเนี้ย ที่เขายังไม่ได้พูดสิ่งที่ส่วนลึกในใจฉันสงสัยและรํ่าร้องอยากที่จะรู้ความจริงอยู่
ตลอดทางกลับบ้านสีหน้าเขาดูเคร่งเครียดมาก จนฉันไม่อยากจะถามอะไร เพราะแค่นี้เขาก็เครียดกับงานจะแย่อยู่แล้ว เมื่อถึงบ้าน ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไร เขาก็ชิงพูดตัดหน้าฉันว่า
"โชคดีนะครับ ราตรีสวัสดิ์ แล้วพรุ่งนี้ผมจะมารับ ฉันจึงรีบหันไปเปิดประตูรถและเดินลงไปอย่างสนับสนุนอาการเร่งรีบของเขา แต่พอเขาลับตาไป ฉันก็เดินยิ้มอย่างมีความสุขเข้าบ้าน
จะขี้โกงเกินไปหรือเปล่านะที่มีความสุขจนล้นใจขนาดนี้ในขณะที่เขากำลังเคร่งเครียดกับเรื่องงาน แต่มันก็คนละส่วนนี่นา มีความสุขก็มี เป็นห่วงก็เป็นห่วงไง ไม่เรียกว่าขี้โกงหรอก (แบบนี้แถวบ้านเขาเรียกว่า แก้ตัวเข้าข้างตัวเองแล้ว)
ฟ้าสวยสดใสมักน่ากลัวกว่าฟ้าที่หม่นหมอง เพราะอะไรที่มองแล้วถูกใจ มองแล้วมีความสุข เรามักไม่อยากให้มันจากเราไปเร็ว ทั้งๆที่เราทุกคนก็รู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่า เราจะได้มองเห็นฟ้าสวยสดใสนี้ไม่ได้นานนักหรอก สักวันก็ต้องมีวันที่ฟ้าหม่นหมองเข้ามาแทนที่ ดังนั้นทุกครั้งที่เรามองท้องฟ้าที่สวยสดใสก็จะมีความรู้สึกกลัวไปด้วยพร้อมกัน และตอนนี้ประกายชลก็ได้มีโอกาสเห็นฟ้าที่สวยสดใสสมใจเธอ ก่อนที่ฝนจะเข้ามาสร้างความเปียกปอนหัวใจที่อัดแน่ไปด้วยความกลัวสิ่งที่เธอคิดว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น
TANOI_ZA