วันนี้ฉันตื่นเช้ามาพร้อมกับแผลในปากสองสามแผล รู้ว่าร่างกายกำลังแย่ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีแผลในปากเกิดขึ้น มันเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจน ว่าฉันกำลังอยู่ในสภาวะเครียด หรือไม่ก็พักผ่อนไม่พอ แต่โดยรวมๆแล้วมันก็เกิดจากสองสาเหตุนี้ร่วมกันนั่นแหละ หลายคนบอกว่าอาการเจ็บป่วยทางร่างกายก็เหมือนกับสัญญาณบอกเตือนเราให้ดูแลร่างกายให้ดีกว่านี้ แผลในปากฉันคงเป็นการบอกว่า สมควรนอนให้เยอะขึ้น เครียดและคิดอะไรต่อมิอะไรให้น้อยลงนะ แต่มันจะทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกัน ไหนจะงานที่ต้องเร่งทำ ไหนจะเรื่องส่วนตัวที่ต้องคิด วันนี้ฟ้าใส มีเมฆบางๆเป็นปุยขาวอยู่ตรงโน้นตรงนี้เล็กๆ ลมเย็นพัด เย็นจนเกือบจะหนาว หากแต่ยังไม่ถึงกับหนาว ฉันไม่มีเวลาชื่นชมกับอะไรต่อมิอะไรรอบตัวนัก ต้องมานั่งอยู่หน้าจอคอมพ์ ห่วง..ว่างานจะไม่เสร็จทันกำหนด ตกบ่ายแผลในปากเจ็บขึ้นมาอีกจนทนแทบไม่ไหว จากที่เคยกินกาแฟช่วงบ่ายในทุกบ่ายเลยต้องงด ฝืนใจนั่งทำงานต่อ งานก็ค่อยๆคืบไปเรื่อยๆ แต่ก็เหมือนกับว่ายังไม่ได้ดังใจเสียทีเดียว รู้ทั้งรู้ว่างานบางอย่างต้องใช้เวลา แต่ฉันก็มักที่จะคาดหวังสิ่งที่มากกว่า ดีกว่าจากตัวเองเสมอ มันอาจเป็นข้อดีที่ทำให้ได้พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อทำสิ่งที่ดีกว่าแค่ที่เคย หรือที่ควรทำได้ แต่บางครั้งฉันก็เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป อาจเป็นความพึงพอใจและความนับถือตัวเอง บ่อยครั้งที่เวลาเครียด เบื่อกับอะไรต่อมิอะไรต่างๆในชีวิต การฟังเพลงจะเป็นทางออกหนึ่ง หลายแบบ หลายแนว ขึ้นกับอารมณ์ในยามนั้น บางครั้งจะเป็นเพลงป็อพที่หม่นๆมืดๆ อย่าง อัลบั้ม Ultra ของ Depeche Mode บางทีก็ปล่อยใจให้ลอยไปกับเพลง One ของU2 และบางอารมณ์ก็โยกหัวไปกับจังหวังโจ๊ะๆของเพลง Bitter Sweet-heart ของSoul Asylum ในช่วงเวลานั้นฉันดูเหมือนหลุดไปจากโลกของความเป็นจริงแล้วดื่มด่ำอยู่กับเสียงเพลง แต่ในเวลาที่ใจสงบ ก็อดนึกถามตัวเองไม่ได้ ว่าโลกในความเป็นจริงของฉัน มันไม่น่าอยู่จนถึงกับต้องหลบหนีออกไปทีเดียวหรือ ความคาดหวังของคนรอบข้าง ที่เรียกร้องให้ทำในสิ่งที่สังคมว่าควรว่าดี เมื่อไม่ทำตาม บทลงโทษกลายๆก็จะตามมา ไม่ว่าด้วยทางสายตา คำพูด หรือการกระทำ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตัดสินใครสักคนหนึ่งโดยที่ไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมรับรู้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกและปัญหาของเขา เพียงตัดสินถูกผิดตามจารีตที่สอนมา ตามตำราที่เขียนไว้ ยังไงเสียมันก็ง่ายกว่าการเข้าไปรับรู้และร่วมแก้อยู่แล้ว มันทำให้ฉันนึกถึงคำพูดหนึ่งซึ่งถ้าจำไม่ผิด ฉันอ่านมันมาจากหนังสือ พระจันทร์เสี้ยวของ รพินนาถ ฐากูร ที่ว่า ..เธอไม่มีสิทธ์ใดๆที่จะลงโทษหรือดุว่าเขา หากว่าเธอไม่เคยร่วมเสียน้ำตา เสียใจในสิ่งที่เขากระทำผิดพลั้ง.. วันนั้นที่อ่าน ฉันคิดว่าฉันเข้าใจ แต่จริงๆแล้วฉันเพิ่งเข้าใจมันแท้จริงก็ตอนนี้เอง หลังเสร็จงานในวันนี้ ฉันเข้า Internet อ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย สะดุดเข้ากับบทความหนึ่ง สิ่งที่สะดุดใจในบทความนี้ไม่ใช่เนื้อหาหลักที่เจ้าของเรื่องต้องการสื่อ หากเป็นฉากเล็กๆฉากหนึ่งในนั้น การได้ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มบนเตียงนอนนุ่มๆ หนังสือสักเล่มในมือ เพลงจากวิทยุที่ไม่อาจเดาได้ว่าเพลงต่อไปคืออะไร ในยามสายของวันที่ดูแสนจะขี้เกียจวันหนึ่ง ครั้งหนึ่งฉันก็เคยเป็นอย่างนั้น..ครั้งหนึ่ง นี่นานเท่าไรแล้วนะ ที่ฉันไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้น หยุดอยู่กลับตัวเอง ปล่อยโลกให้มันเดินผ่านไป เร็วเท่าที่ใจใครอยากให้เดิน หากช้าเท่าที่ใจฉันอยากให้ช้า นิ่งคิดและทบทวน กับบางสิ่งที่รอได้ บางครั้งฉันก็ไม่เคยที่จะหยุดรอ เพียรจะเร่งให้เร็วเพียงเพื่อที่จะได้รู้ บางสิ่งที่ดูเหมือนจะรอไม่ได้ แต่ที่สุดแล้ว เมื่อจำเป็นจริงๆก็ยังรอ ยังเลื่อนได้เสมอ จะมีสิ่งที่รอไม่ได้จริงๆอยู่สักกี่อย่างกันนะในชีวิตเรา กับบางสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะสำคัญและขาดไปเสียไม่ได้ บางครั้งเมื่อเราจำเป็นต้องขาดไป เรากลับพบว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นในชีวิต บางสิ่งที่เป็นเสมือนความคุ้นเคยที่ต้องมีและเราก็ไม่อาจนึกภาพได้เลยว่าจะอยู่ได้อย่างไรเมื่อไม่มีมัน แต่เมื่อต้องขาดไปจริงๆความคุ้นเคยในการไม่มีก็กลับค่อยๆก่อตัวขึ้นมา บางสิ่งที่ดูเหมือนผิดและไม่อาจอภัย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะกระทำโดยผู้อื่นหรือตัวเอง หากแท้จริงแล้ว มีสักกี่อย่างที่ไม่อาจอภัย? หากเราละความกลัวลงนิด ละความยึดมั่นในหัวใจลงบ้าง ให้ความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจมีส่วนร่วมในการตัดสินสิ่งต่างๆ เราอาจจะพบว่ามันเป็นเรื่องยาก ในการที่จะหาการกระทำสักอย่างที่เรียกว่า การกระทำที่ไม่อาจให้อภัย.. วันนี้ในยามพลบค่ำที่บ้าน ฉันมีเพียงเบียร์ขวดเล็กอยู่ในมือ ครึ่งนอนครึ่งนั่งอยู่หน้าบ้าน คลี่เสื้อแจ็กเก็ตคลุมทับหน้าอกให้อุ่นจากอากาศที่เริ่มเย็น ไม่มีเสียงเพลงดังออกมาจากลำโพง มองฟ้าที่ค่อยๆมืดลง ปล่อยงานให้อยู่อย่างนั้นก่อน อยู่ในฐานะสิ่งที่รอได้ ปล่อยความวุ่นวายและความคาดหวังรอบๆตัวให้มันเดินไปมาตามสบาย ฉันถอนตัวออกมาเงียบๆจากโลกใบที่วุ่นวายใบนั้น โลกที่มีแต่สิ่งสำคัญที่ไม่อาจรอ โลกที่ตัดสินคนจากการก้มหัวทำตามความคาดหวังของสังคม โลกที่มีกฎเกณฑ์แบ่งแยกความดีกับความชั่วอย่างเด่นชัด ฉันถอนตัวออกมาอยู่ในโลกของฉัน โลกใบที่ค่อยๆหมุนช้าๆ โลกที่สามารถหยุดเพื่อที่จะรอคอย โลกที่สามารถให้อภัยและเข้าใจได้กับบางสิ่งที่ผิดที่พลั้ง โลกที่ความชั่วและความดีเป็นดั่งใบไม้เปียกน้ำ ที่เมื่อแห้งก็ยังสามารถกลับคืนเป็นใบไม้ใบเดิม.. ฉันกลับเข้าห้องนอน เปิดบานเกล็ดออก เปิดประตูห้องจนกว้าง เปิดไฟสว่างทิ้งไว้อย่างนั้น หลับไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ห่างหายไปนาน รู้สึกได้ถึงโลกที่ค่อยๆหมุนช้าลง..
16 ตุลาคม 2546 18:59 น. - comment id 69872
ส อ บ เ ส ร็ จ แ ล้ ว . . . เ ย้ ! ! คื น นี้ ค ง ไ ด้ น อ น อ ยู่ บ น โ ล ก ที่ ห มุ น ช้ า - ช้ า ก ะ เ ค้ า ไ ด้ ซ ะ ที ถ้ า โ ล ก ห มุ น ช้ า ล ง ก็ ดี ซิ เ น๊ อ ะ. . . . . .อ า ยุ จ ะ ไ ด้ ค่ อ ย ๆ เ ดิ น ไ ป ด้ ว ย . . .อิ อิ ป ล . เ พ่ ห ม อ ก ดื่ ม เ บี ย ร์ ร ะ วั ง . . . ล ง พุ ง น ะ ก๊ ะ ( ไ ม่ ห ล่ อ ไ ม่ รู้ ด้ ว ย. . .) =^_________^=
17 ตุลาคม 2546 00:28 น. - comment id 69878
เพราะเรื่องนี้ทำให้พี่พุดสะดุดใจโดนใจจนต้องกลับไปตามอ่านทุกเรื่องของหมอกจาง ที่นะบัดนี้มาพร่างงามในพรายตาพราวใจของพี่พุด..จนสุดจะบอกใคร
17 ตุลาคม 2546 09:11 น. - comment id 69879
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2380 คือรัก พุดพัดชา คือดอกไม้สยายกลีบรับน้ำค้าง คือดาวพร่างพริบพราวเคล้าคลึงไหว คือตะวันอันเจิดจ้ากระจ่างใจ คือสว่างไสวใจไม่ท้อพ้อเพียงรัก...... คือเกสรอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง คือความซึ้งความเศร้าได้ประจักษ์ คือสายธารหวานดวงใจเป็นยิ่งนัก คือนวลตักน่านอนแนบแอบฝันไป.. คือกลีบดอกไม้ไหวละมุนอุ่นแก้มหอม คือพะยอมหลอมละลายให้ใจสั่น คือพลังหยินหยางยามห่างกัน คือสวรรค์คือนรกตกบ่วงใจ..... คือสายรุ้งรุ่งเรียวฟ้าคราหลับฝัน คือหวานจันทร์หยาดสายร่ายมนต์ไหว คือทะเลเทกระแทกแทบขาดใจ คือคลื่นใสคลอทรายซัดส่ายเบา.... คือความหวังพลังใจไม่รู้จบ คือสงบเงียบงามแม้ยามเหงา คือหอมหวานปานดอกไม้ทั้งโลกมอบให้เรา คือนานเนา นิรันดร์คือฝันดี..แค่มั่นคง!
17 ตุลาคม 2546 16:15 น. - comment id 69881
555 ไม่ต้องกลัวเรื่องลงพุงแล้วจะไม่หล่อหรอก แม่มดน้อย.. มันคงเลวร้ายไปกว่านี้ไม่ได้แล้วหละ..ฮือๆ :) ขอบคุณมากครับพุด สำหรับทั้งคอมเม้นท์และบทกลอน.. ชื่นใจจริงๆ...
21 ตุลาคม 2546 09:58 น. - comment id 69902
หวังว่าคืนนั้นคงไม่หลับคาที่อยู่ที่เดิมนะ ดูจากประโยคที่ว่า รู้สึกได้ถึงโลกที่ค่อยๆหมุนช้าลง.. อ่านแล้วเหมือน ...ตา ค่อยๆปิดลง... ยังไงไม่รู้เนอะ