แดนพิศวง ๒๐ (เดชสุริยันต์จันทรา) ริมหน้าผาลานกว้างหน้าบริเวณถ้ำ อากาศตอนเช้ายังสลัวแต่เต็มไป ด้วยหมอกไหวเลี่ยรายทางไปตามต้นหญ้ายามที่สายลมพัดผ่าน ค่อนข้างรุนแรง ดวงอาทิตย์โผล่ยังริมซอกเขาที่ตัดกันไปๆมาแสง อ่อนสีแดงกระจายไปทั่วบริเวณนั้น อากาศบริสุทธิ์ นัก...... ชายหนุ่มยืนสงบนิ่งมองชมทิวทัศน์ที่งามตระการตา เบื้องหน้าอัน ไกลลิบหมอกควันปลิวไปตามกระแสลมของภูเขาไฟ เป็นทางวกลง เบื้องต่ำล้วนมวลแมกไม้ทั้งสูงใหญ่และเตี้ยตัดกัน สลับไปมาลมพัด ทำให้ชายเสื้อของชายหนุ่มปลิวพลิ้วไสว กลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ ป่าล่องลอยมาตามลม เป็นระยะๆ บรรยากาศสร้างความสดชื่นรื่นรมย์แก่ชายหนุ่ม ความคิดในเรื่องของคางคกประหลาดวกกลับมาสู่ในห้วงอีกครั้ง หนึ่ง ใช่แล้วเขาจะวางแผนจัดการกับพวกมันอย่างไรดี หากความคิด ที่วางไว้ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ในความเชื่อมั่นนั่นเองทำให้ชาย หนุ่มผายลมออกทางปาก ครั้งแล้วครั้งเล่า แน่ละมันเป็นการต่อลอง ระหว่างชีวิตต่อชีวิต ลำพังเขาเองย่อมจะเอาตัวรอดได้แต่ชาวบ้าน ล่ะ??...จะมีทางป้องกันได้อย่างไร เนื่องจากพวกสัตว์เหล่านี้ทั้งใหญ่ โตและมีพิษจำนวนมากมาย เพียงคำนวนเท่านั้นคงไม่ต่ำกว่าพันขึ้น ไป นี่ซิทำให้เขาลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง เอาเถอะนะอย่างไรก็ต้องทดลองดู แต่หากการต่อสู้ของชาวบ้านนั้น หากไม่ได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติมคิดว่าคงจะรักษาตัวได้ยาก แล้วจะทำ อย่างไรดีล่ะชายหนุ่มยืนคิดอย่างกลัดกลุ้ม แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งตื่น จากความคิดอ่านนั้นทันที เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่ง แว่วเข้ามา ดังนั้นจึงหันหลังไปมอง ก็แลเห็นสองสาวกับสองหนุ่ม กำลังทะยานร่างมาทางเขาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่ช้าก็มาถึงร่างเขาเสียแล้ว เสียงหนึ่งพลันเอ่ยถาม “นายพวกข้าตื่นมาไม่แลเห็นนายก็ตกใจ จึงได้ชวนกันออกตามหา ก็พบว่านายมายืนชมวิวภูมิประเทศที่นี่ วันนี้ใช่ไหม???ที่นายจะออก เดินทางไปปราบเจ้าสัตว์ร้าย????” ชายกลางคนเอ่ยถาม “สินธุอันที่จริงข้าก็คิดว่าจะออกเดินทางไปวันนี้แต่แล้ว มาคิดว่า เราต้องมาวางแผนการไว้ก่อนเห็นจะดี” “แล้วนายจะให้พวกเราจัดการอย่างไรล่ะบอกมาได้เลย พวกเรารอ ฟังอยู่แล้วล่ะ” ดังนั้นชายหนุ่มจึงบอกให้ทั้งหมดนั่งลง พลางนำเศษไม้แห้งหักที่ กระจายเอามาเขียนแผนการต่อสู้ให้แก่ทั้งหมดทราบ “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องจัดกำลังออกเป็นสี่หน่วยนะซิ” เจ้ากุลาถาม “ถูกต้องแล้วกุลา ข้าคิดว่าลำพังพวกเจ้าข้าไม่ห่วงเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ห่วงพวกชาวบ้านเท่านั้นเอง จึงจัดไว้หน่วยล่ะ 10 คน” “นายจะให้ทำอย่างไรบอกได้เลยทางเราพร้อมแล้ว” สินธุเสนอ ในฐานะเป็นหัวหน้าของชนชาวนี้ “ข้าคิดว่าจะให้ สินธุ กุลา คียะ ภาคี ต่างคัดเลือกชายฉกรรจ์ที่พอมี ฝีมือแล้วมาฝึกหัดตามแต่ละท่านจะถนัดในการใช้อาวุธ” “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นปัญหาหรอกนาย เรายังมีชายฉกรรจ์ที่รู้เรื่อง การต่อสู้อยู่แล้ว เพราะผ่านการออกล่าสัตว์มาเป็นอาหารอยู่” “แต่การครั้งนี้หาใช่การล่าสัตว์ธรรมดาไม่ ต้องมีความเชี่ยวชาญใน อาวุธอย่างแท้จริงไว้คอยช่วยเหลือกันและกัน ส่วนการวางแผนใน การเข้าโจมตีข้าจะกล่าวให้ฟังภายหลัง” “อ้อๆอีกอย่างหนึ่งข้าจะแนะนำการต่อสู้ให้ทุกๆคนตามตำราวิชา ที่ข้าร่ำเรียนมาอีกทางหนึงด้วย ฉะนั้นตอนสายวันนี้ขอให้พวกเจ้า ทุกๆคนต่างไปคัดเลือกชายฉกรรจ์ดังกล่าว ไว้ตอนบ่ายๆข้าจะออก มาแนะนำเพิ่มเติมให้ คิดว่าคงจะใช้เวลาไม่เกิน 3 วันหวังว่าพวกเจ้า คงจะถ่ายทอดวิชาการต่างๆให้แก่พวกเขา พอต่อสู้ไว้ป้องกันตัวได้ บ้างนะ ส่วนข้านั้นจะแนะนำเสริมให้ควบคู่กันไป” “ถ้าอย่างนั้นตามใจนายเถอะ พวกข้าจะรีบไปคัดเลือกบุคคล ดังกล่าวไว้รอนายก็แล้วกัน คิดว่าพวกนี้มีฝีมือและต่างร่ำเรียนมาจาก ที่เดียวกัน คงจะไม่สร้างความผิดหวังให้แก่นายหรอก” สาวคียะและภาคีกล่าวตอบ พร้อมยิ้มแย้มให้ด้วยอย่างชะมดชะม้อย “แล้วสินธุเห็นเป็นประการใดอีกเล่า???” “ไม่หรอกนาย คงเป็นไปตามนายสั่งนั่นแหละ ข้าคิดว่าคงไม่เป็น ปัญหาแก่นายอย่างแน่นอน” “เอาล่ะ???...ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับถ้ำเถอะ ข้าจะได้วางแผนอีก” “จ๊ะนายทั้งหมดรับคำ” แล้วทั้งหมดเดินตามหลังชายหนุ่มกลับเข้าไปยังถ้ำ และต่างแยก ย้ายกันไปเที่ยวค้นหาชายฉกรรจ์ที่มีฝือมือจัดการให้ได้ครบ ดังนั้นในช่วงบ่ายนั้นเองทั้งหมดก็มาพร้อมกันหน้าลานถ้ำ ชาย หนุ่มก็ให้ สินธุ กุลา คียะและภาคี ต่างไปฝึกวิชาที่แต่ละคนถนัด อันประกอบด้วย ดาบ หน้าไม้ ธนู ตลอดจนหอกและหลาว เมื่อทั้งหมดนำชายฉกรรจ์อย่างล่ะ 10 ออกไปฝึก ชายหนุ่มก็คอย ออกไปตามกลุ่มต่างพลางแนะนำวิชาที่จดบันทึกไว้ในตำราทั้งสาม ตลอดจนวิชาทางโลกปัจจุบันเสริมให้อีกทางหนึ่ง สองวันผ่านไปทุกๆคนต่างขมักเขม้นฝึกปรือเนื่องจากพวกนี้มี วิชาที่ถ่ายทอดมาจากชนรุ่นก่อนอยู่แล้วจึงไม่ยากที่จะหาความ เชี่ยวชาญ ชำนาญในวิชาเคล็ดลับต่างๆจากคนทั้งสี่ จนเกิด ความเชี่ยวชาญชำนาญ ดังนั้นในวันที่สามถัดมาชายหนุ่มก็เริ่ม ฝึกสอนในเรื่องพลังโทรจิตแก่คนทั้งหมดอีกด้วย จนคนทั้งหมด เกือบทุกๆคนสามารถเรียกพลังในอากาศมาใช้งานได้อีกทางหนึ่ง อีกด้วย แต่คนทั้งสี่กลับรุดก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่พอใจ ของชายหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในเวลากลางคืนชายหนุ่มจะเรียก คนทั้งสี่เข้ามารับการถ่ายทอดพลังแห่งจักรวาลและพลังงานไฟฟ้า จากเขาเพิ่มเติมอีกด้านหนึ่ง เมื่อถ่ายทอดวิชากฏแห่งพลังงานต่างๆ ให้ทั้งสี่คนไปดำเนินการฝึกให้ชำนาญ และสามารถแสดงพลังงาน ต่างๆได้จนเป็นที่พอใจแก่ชายหนุ่มยิ่งนัก ในคืนวันที่สามนั่นเอง ชายหนุ่มได้เรียกทั้งสี่มาปรึกษากันและ ได้วางแผนให้ เขาจะเป็นหน่วยหน้า คียะเป็นหน่วยซ้าย ภาคีเป็น หน่วยขวา ส่วนสินธุและกุลาเป็นหน่วยป้องกันหลัง โดยเดินทัพแบบรูปดาวห้าแฉก หมุนเวียนไปตามวงกลมภายในและ ให้สลับสับเปลี่ยนไปทุกๆครั้งที่มีการต่อสู้ ดาวจะหมุนไปรอบๆ วงกลม ส่วนเขาจะทำหน้าที่เป็นวงกลมอีกทางหนึ่งด้วย ด้วยคนน้อย จึงจัดทัพไว้แบบนี้ และใน10คนให้แต่งตั้งรองหัวหน้าหน่วยไว้คอย เป็นตัวหลักส่วนหัวหน้าหน่วยก็ต้องหมุนเวียนไปตามวงกลมอีกทาง หนึ่งด้วย โดยขีดลากการเดินหมุนของดวงดาวพุ่งทะยานใส่ข้าศึก ซึ่ง เขากล่าวว่าไม่ใช่เฉพาะต่อสู้กับสัตว์ร้ายนี้เท่านั้น ในอนาคตต่อไปใช้ สำหรับป้องกันชุมชนหมู่บ้านได้อีกทางหนึ่งด้วย ทั้งหมดรับทราบแล้วรีบออกไปจัดตั้งรองหัวหน้าหน่วยทันที ใน คืนนั้นเองทั้งหมดก็ออกไปที่หน้าลาน ทำการฝึกการเดินทางของดวง ดาวที่หมุนเวียนไปรอบตัวเอง จนสร้างความพึงพอใจแก่ชายหนุ่มจน กระทั้งผ่านเที่ยงคืนไป จึงให้ทั้งหมดไปพักผ่อนกล่าวว่าจะออกเดิน ทางไปปราบสัตว์ร้ายในเพลาพลบค่ำ เขาคำนวณดินฟ้าอากาศแล้ว เห็นว่าตกค่ำๆคงจะมีฝนตกลงมา เป็นเวลาที่เจ้าคางคกประหลาดนั้น ชอบออกล่าเหยื่อ เมื่อจัดการเป็นที่พอใจเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็ขอ ลาไปพักผ่อน ดังนั้นทั้งหมดจึงไม่ได้กล่าวล้อเล่นอะไรเพราะเห็น ชายหนุ่มหน้าเคร่งขรึมอย่างเอาจริงเอาจังในงานนี้ ครั้นเวลาบ่ายแก่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างหนักพร้อมด้วยเสียงคำราม ของสายฟ้าอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มและคนทั้งหมดต่างเตรียมตัวใน การเดินทาง ชายหนุ่มสั่งสินธุงานด้านรักษาความปลอดภัยนี้มอบ ให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคอยป้องกันโดยใช้เพลิงเป็นหลักตามวิธีที่ใช้ มาก่อน จนกว่าพวกเขาจะกลับมา กลัวจะถูกย้อนรอยเหมือนคราว ที่แล้ว ครั้นได้เวลาทั้งหมดก็ออกเดินทางเป็นขบวนยาว ลัดเลาะไป ตามแมกไม้ที่ปกคลุมหนทางทำให้อากาศมึดคลื้ม ดังนั้นไต้ชุดไฟ จึงถูกจุดขึ้นส่องนำทาง ขึ้นเนินเขาลูกแล้วลูกเล่าอ้อมไปตามไหล่ เขาจนกระทั่งมาถึงบึงสระใหญ่ ชายหนุ่มจึงสั่งให้ทั้งหมดหยุดและ คอยอยู่ ส่วนเขาก็เดินทางออกไปคนเดียวลอยเลี่ยๆไปตามทางค้นหา ภูมิประเทศในการทำการครั้งนี้ จนเขาล่องลอยไปใกล้ๆโพรงหินที่ เป็นถ้ำที่เสียงร้องของเจ้าสัตว์ประหลาดดังก้องในโพรงหินระงมไป ทั่ว บางตัวและจำนวนไม่ต้องออกจากโพรงถ้ำและมีบ้างกระโดดลง ไปยังบึงสระใหญ่มุดดำว่าย บางกลุ่มชะงักมองไปทางกลุ่มของเขา แต่เนื่องจากชายหนุ่มได้วางกลุ่มอยู่ใต้ลม กลิ่นจึงไม่สร้างความสนใจ แก่พวกมันมากนัก เว้นแต่กระแสลมจะพัดย้อนไปๆมาๆ จึงทำให้มัน เกิดความสงสัย ต่างชะงักและหันมาทางเขาและทางกลุ่มของเขาทันที ชายหนุ่มรีบออกหันหลังกลับมายังกลุ่มเขา เมื่อเห็นเสียงร้องของ พวกมันเงียบ และก็ดังเซ็งแซ่ร่างพวกมันทั้งหมดต่างกระโดดทะยาน มาทางใต้ลมไปยังกลุ่มพวกเขาทันที เมื่อชายหนุ่มกลับมายังกลุ่ม แล้วก็สั่งให้กระจายกำลังออกในรูปลักษณะดวงดาวทันที บอกทุกๆ คนให้เตรียมตัวไว้พวกมันรู้แล้วว่าพวกเราอยู่ทิศทางใด ทันใดนั้นใน สภาพแห่งความมืดนอกจากอาศัยแสงดาวที่ระยิบระยับพอเห็นทาง อยู่บ้าง แต่บัดนี้รอบๆเรียงรายไปด้วยดวงตากลมโตสีเขียวปัด พร้อมกับส่งเสียงร้องระงมไปทั่ว ชายหนุ่มกะประมาณไม่ต่ำกว่า หลายร้อยตัวเป็นแน่ หากอาศัยความมืดเข้าต่อสู้แล้วเห็นทีคนของ เขาจะต้องถึงกาลอวสานเป็นแน่ จึงบอกให้ทุกๆคนเปลี่ยนวิธีใหม่ ให้ทุกๆคนมารวมตัวอยู่ทางเบื้องหลังของเขา มิรอช้าชายหนุ่มรีบ ชักดาบแก้วกริชออกมาเพิ่มพลังงานลงไปในตัวแก้วดาบกริชบังเกิด เป็นสีฟ้าอมส้มพลางกรีดเข้าใส่ยังดวงตาของเข้าสัตว์ร้าย เสียงร้อง อย่างเจ็บปวดดังขึ้นและแล้วทุกๆดวงตาต่างพุ่งมาทางเขา การต่อสู้ ก็เริ่มต้น เสียงร้องเสียงดาบเสียงหน้าไม้และลูกธนูดังหวิวๆถูกระดม ออกเข้าไปยังเหล่าสัตว์ร้ายแต่หาได้ทำอะไรมันได้ไม้ เสียงร้องของ มันกลับได้รับการขานรับจากพวกมันที่อยู่ในโพรงและบึงน้ำต่างออก มาช่วยพวกมันที่ต่างกระจัดกระจายล้อมรอบเข้ามา การต่อสู้ผ่านไปแม้จะไม่สามารถทำให้มันตายแล้วแต่บรรดา อาวุธก็ทำให้มันเจ็บปวดชะงักไปได้ ชายหนุ่มเห็นไม่ได้การหาก ปล่อยเป็นเช่นนี้เวลาผ่านไป พวกเขาต้องเสียชีวิตหมดสิ้นดังนั้นชาย หนุ่มนึกถึงแผนการณ์สุดท้าย พลางเก็บดาบกริชไว้แต่ก็ยังผลักพลัง งานและกระแสไฟฟ้าไปรอบๆป้องกันพวกพ้องของตนไว้ แต่เพียง แค่หยุดยั้งได้ไม่นาน แม้มันจะเสียชีวิตไปแต่มากเสียจนกลุ่มพลังงาน ไม่สามารถจะจัดการให้เสร็จเด็ดขาด ดังนั้นชายหนุ่มจึงร้องบอกให้ ทุกๆคนต่างรีบมาอยู่เบื้องหลังเขา พร้อมเอื้อมมือไปด้านหลังที่ไหล่ ซ้ายและขวา นำลูกแก้วที่ส่องแสงกระจายไปทั่วจนสว่างสามารถแล เห็นบรรดาสัตว์ร้าย ร่างทะมึนเรียงรายล้อมรอบกลิ่นคาวเหม็นฟุ้งไป ทั่วบริเวณ จนคนของเขาต่างพากันปิดจมูกด้วยทนกลิ่นคาวเหม็นไม่ ไหว ชายหนุ่มรีบสั่งคนทั้งสี่ทันที “สินธุ กุลาภาคี คียะ ให้คุมพรรคพวกอย่าไปออกไปไกลจาก บริเวณเบื้องหลังข้านะ ข้าจะเร่งพลังงานไฟฟ้าปราบมันเดี๋ยวนี้” “แล้วนายเอาอะไรไปปราบมันล่ะ????” “นี่ยังไง แก้วสุริยันต์จันทรานี้แหละ จึงบอกให้เจ้าพวกอยู่ข้างหลัง ของข้า อำนาจของแก้วสุริยันต์มีฤทธิ์เดชเปรียบดังดวงอาทิตย์ ส่วน แก้วจันทรามีความเย็นดุจหิมะน้ำแข็ง ข้าจะให้แก้วจันทราส่ง ประกายไปป้องกันแสงแห่งความร้อนจากแก้วสุริยันต์ ฉะนั้นอย่าให้ ใครออกไปให้รวมตัวอยู่ภายในความเย็นจะมีหิมะโปรยมาช่วยมิให้ เกิดการเผาไหม้จากดวงแก้วสุริยันต์ อย่าลืมล่ะ” ดังนั้นคนที่สี่เมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างสั่งลูกน้องทั้งหมดให้จับกลุ่ม รวมตัวหันหน้าออกสู่สัตว์ร้ายเพื่อป้องกันอีกทางหนึ่งด้วย ครั้นเมื่อ เห็นคนทั้งหมดทำตามที่เขาสั่งแล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบดวงแก้วสอง ดวงชูขึ้นเหนือหัวพลางเร่งพลังความร้อนและเย็นประสานกับดวง แก้วทั้งสองทันที ทันใดนั้นดวงแก้วสุริยันต์กับดวงแก้วจันทราก็ ส่งประกายเจิดจ้า ชายหนุ่มเร่งเร้าพลังงานแก้วจันทราให้มาปกป้อง คนด้านหลังเขาและตัวเขาบัดดลอากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงทันทีพลัง แห่งไอเย็นจากน้อยก็มาสู่มาก ทำให้พลพรรคพวกถึงกับปากสั่นขา สั่นด้วยความหนาวเหน็บด้วยมีหิมะโปรยเป็นละอองฝอยโปรยลง มาจากอากาศทางด้านหลังชายหนุ่ม ทางด้านชายหนุ่มก็รีบโยนแก้วสุริยันต์ขึ้นไปในอากาศบัดดล แก้วสุริยันต์ก็เปล่งประกายความร้อนแดงฉานดุจไฟลาวามวลเพลิง พุ่งเข้าไปยังเหล่าสัตว์ร้ายความร้อนที่พวยพุ่งออกมาดุจแสงอาทิตย์ ที่ขยายตัวใหญ่โตของดวงแก้วแสงต่างพุ่งไปยังบริเวณนั้นจนทั่ว ทำให้ต้นไม้บางต้นเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมา บรรดาสัตว์คางคก ประหลาดที่กำลังกระโดดเข้าใส่ยังตัวเขาและพรรคพวกต่างมอดไหม้ ดำเกรียม แสงแห่งดวงแก้วประดุจพระอาทิตย์ดวงโตได้แผ่แยกตัว ออกล่องลอยไปเผาไหมบรรดาสัตว์ร้ายต่างกระโดดหนีจ้าละหวัน บ้างก็พุ่งร่างลงไปยังบึงสระใหญ่ที่ไหลไปยังที่ต่ำ ส่วนดวงไฟอีก ดวงได้ลอยไปยังโพรงอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ร้ายหายเข้าไปในโพรง เสียงร้องอย่างโหยหวนของบรรดาสัตว์ที่อาศัยในโพรงต่างพรวด ออกมาจนหมดสิ้น ที่หนีไฟได้ก็รีบทะยานลงสู่บึงน้ำใหญ่ทันทีหวัง อาศัยความเย็นของน้ำช่วยบรรเทา จนหมดสิ้นไม่เหลือสักตัวเดียว บ้างก็เสียชีวิตมอดไหมเกรียมไปมากมาย ที่หนีได้ก็ต่างลงน้ำหมด สิ้น แม้แต่ที่ออกมาก่อนก็ต่างพาตกตายในไฟแห่งดวงแก้วและหนีพุ่ง ตัวไปอาศัยความเย็นในน้ำหมดทุกตัว ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นพลางนึกสั่งดวงแก้วให้เพิ่มพลังงานความร้อน พุ่งเข้าสู่บึงใหญ่ทันที บัดดลน้ำในบึงก็เกิดควันพวยพุ่งลอยตัวขึ้นมา แรงน้ำพุ่งเป็นลำสูง แสงแห่งอาทิตย์ของดวงแก้วก็เปล่งประกายเจิด จ้ายิ่งขึ้น น้ำในสระก็พลันเดือดพล่าน บรรดาสัตว์คางคกก็ต่างพากัน กระโดดขึ้นจากสระแต่ถูกเพลิงความร้อนมอดไหม้ตกตายลงไปใน สระอีก เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่บรรดาสัตว์ร้ายเหมือนกับถูกต้มด้วย น้ำร้อนเดือดพล่าน ต่างหงายท้องตกตายกันเป็นแถวไม่เหลือแม้แต่ สักตัวเดียว ชายหนุ่มปล่อยให้เวลาผ่านไปจนแน่แก่ใจแล้วจึงเรียก ดวงแก้วสุริยันต์กลับคืนสู่อุ้งมืออีกครั้ง แล้วชายหนุ่มก็โยนดวงแก้ว จันทราขึ้นไปในอากาศ แสงสีนวลเย็นก็แผ่กระจายรังสีแห่งแสงก็ ส่งประกายความเยือกเย็นแผ่ไปทั่วบริเวณเกิดหิมะโปรยปรายไปตาม ต้นไม้ต่างๆที่ถูกไฟเผาไหม้ก็ดับสิ้น แสงแห่งแก้วจันทราก็พุ่งแผ่ไป ยังสระน้ำเกิดประกายเย็นแผ่ไปยังบริเวณสระเกิดน้ำแข็งจับเป็นฝ้า แล้วก็พวยพุ่งเป็นลำใหญ่โตกระจายแตกออกเป็นน้ำอันเยือกเย็นเข้า เติมยังน้ำในสระที่แห้งขอดลงมาก เกิดแรงไหลของน้ำลงยังเบื้องต่ำ นำเอาซากของสัตว์คางคกประหลาดหล่นไหลไปตามกระแสน้ำลง ไปยังที่ราบต่ำเบื้องล่าง เพียงไม่นานทุกอย่างก็คืนเข้าสู่ปกติ ชายหนุ่มจึงนำแก้วสองดวงที่บัดนี้กลับกลายเท่าเดิมนำไปวางยัง ที่อยู่บนไหล่เบื้องหลังเขาจมหายไปกับเนื้อประสานกันเป็นอย่างเก่า แล้วหันหลังกลับไปมองยังบุคคลทั้งหลายต่างยังไม่หายหนาวสั่น ด้วยกระแสลมพัดเอาความเย็นของหิมะที่ละลายจนหายไปแต่ความ เย็นยังแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ พลางเอ่ยขึ้น “หากข้าไม่วางแผนไว้ก่อนเห็นทีพวกเราจะต้องตกตายไปหมดสิ้น แน่เชียว แม้จะฝึกปรือมาอย่างดีก็จะไร้ประโยชน์ ไว้สำหรับป้องกัน ภัยในคราวต่อไปก็แล้วกัน” “โอ๊ะๆๆ!!!!....น่ากลัวมากจริงๆนาย หากไม่ได้แก้วไฟและแก้ว หิมะเห็นทีพวกเราจะต้องตกตายแทบหมดสิ้นแน่นาย” เสียงกล่าวของกุลาและพวกต่างกล่าวอย่างเซ็งแซ่ไปทั่ว” “ข้าเองไม่คิดว่านายจะมีอาวุธร้ายกาจเช่นนี้ก่อนข้าก็ไม่เคยเห็น” สินธุเอ่ยขึ้นบ้าง “แล้วดวงแก้วสองดวงหายไปไหนหรือ ข้ามัวหนาวไม่ได้มอง???” เสียภาคี คียะ ถามขึ้นบ้าง พลางหันมองอย่างสงสัยเพราะไม่เห็นชาย หนุ่มถือดวงแก้วแต่อย่างใด “นั่นนะซิข้าก็ไม่เห็นมัวตะลึงต่อแสงอาทิตย์และพวกสัตว์ร้ายอยู่” เสียงสินธุและกุลาเอ่ยเช่นเดียวกัน “เขาเสร็จหน้าที่ก็กลับไปที่อยู่เขานะซิ” แล้วชายหนุ่มหัวร่อ พลางตัดบทว่าเมื่อเสร็จสิ้นทางนี้ก็เห็จะกลับกัน ได้แล้วนะ ที่ข้านำพวกเรามาเพื่อจะฝึกกำลังจิตใจแก่พวกมันนั่นเอง ให้รับรู้การต่อสู้ที่ร้ายกาจ และต่อไปข้าคิดว่าไม่เพียงเท่านี้คงจะมีอีก มากมายนักในดินแดนแถบนี้” “ปกติแล้วดินแดนแถบนี้ ไม่มีอะไรน่าแปลกหรอกนาย ตั้งแต่มี ภูเขาไฟผุดขึ้นมา ส่วนข้าก็ไปคอยรับนายอยู่จึงไม่รู้ถามผู้เฒ่าที่อยู่ บอกว่าก่อนเกิดภูเขาไฟโผล่ขึ้นมา เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงแทบ จะเอาชีวิตไม่รอดแล้วอากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลง สัตว์ต่างๆทำไมมัน เกิดใหญ่โตขึ้นมาได้ก็ไม่รู้นะ” สินธุรายงานให้ชายหนุ่มทราบ “นั่นซินะตอนที่สดายุพามานั้นข้าก็แปลกใจเหมือนกัน ที่ไม่ให้เจ้า สดายุออกมาช่วยเพราะไม่มีประโยชน์พวกมันมากเหลือเกิน สู้ให้ สดายุเก็บรักษาพลังไว้ดีกว่า” “อะไรหรือเจ้าสดายุ นายสินธุเป็นอะไรหรือ?????...????..” “อ้อเจ้าสดายุก็คือ??!!!???....” แต่แล้วมันต้องชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มมองมาเหมือนจะไม่ให้เขาตอบสิ่งที่กุลา คียะและภาคีต้องการรู้.......................... * แก้วประเสริฐ. *
16 พฤศจิกายน 2555 13:42 น. - comment id 131030
อ่านอุ่นเครื่องก่อนดูเจ้าหญิงแตงอ่อนค่ะคุณลุง
16 พฤศจิกายน 2555 16:09 น. - comment id 131042
คุณ เพียงพลิ้ว ชื่่อไม่ถูกใจผมนะ เอาเจ้าหญิงเพียงพลิ้วไหม ผมจะได้จองเอาไว้ให้นะ อิอิ รักหลานเรามากเสมอ แก้วประเสริฐ.
19 พฤศจิกายน 2555 17:04 น. - comment id 131060
สนธยาสวัสดิ์ ครับ เข้ามาก้อเย็นยำ..ด้วยความฉ่ำชื่น ที่ได้ อ่าน แดนพิศวง 20 สมกับการรอคอย บางที่ลือนไปบ้างก้อต้องไปเปิดอ่านตอนที่ ผ่านมาเปนแนว..แล้วก้อสนุกต่อ.. ขอบคุณและขอบคุณ สำหรับความสำราญที่มอบให้ครับ ด้วยจิตคารวะ
19 พฤศจิกายน 2555 19:19 น. - comment id 131062
คุณ เอื้องอังกูร ครับผมเองก็สร้างจินตนาการไว้คอยท่า อยู่เสมอๆเมื่อเวลาแต่งจบตอนๆหนึ่ง เอาล่ะ ครับขอบใจที่แวะมาอ่านครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.