ความเหมือน

สมภพ แจ่มจันทร์

ย่างเข้าขวบปีที่สองแล้วสำหรับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ผมจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้ว ผมกระเสือกกระสนตัวเองจากเมืองหลวง และถีบตัวเองออกมา ปลายทางแม้ตอนแรกผมจะยังระบุไม่ได้ แต่วันหนึ่งผมก็รู้ได้ว่าสถานที่แห่งใด ที่ผมต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ แรกๆ ในการมาอยู่ในเมืองนี้ มันค่อนข้างสมใจนะครับ เมืองมันเงียบดี โดยเฉพาะ วันพุธ ตอนบ่าย มันเหมือนกับว่าถนนทั้งเส้นมีผมอยู่แค่คนเดียว เดิมทีเมืองนี้ เคยเป็นเมืองท่าที่เจริญมาก แต่เพราะอะไรก็ไม่รุ้นะครับ ทำให้การค้ามันซบเซาลง เมืองมันก็เลยเงียบๆ อย่างนี้แหละครับ 
ผมมาอยู่กับครอบครัวของเพื่อน ที่เปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์ และร้านอาหาร สนุกดีครับ ถึงแม้ว่าคนจะไม่พลุกพล่าน แต่ก็ยังพอมีนักเดินทางแวะเวียนมาเรื่อยๆ แต่เมืองมันก็ยังคงเงียบอยู่ดี ผมพอใจครับ มากเลยทีเดียว เพราะการที่ผมเลือกมาอยู่เมืองนี้ก็เพราะว่ามันเงียบ ไอ้ส่วนจะทำมาหากินอะไรนั้น เอาไว้คิดทีหลัง เพราะผมไม่มีภาระอะไร แบบว่าตัวคนเดียวครับ 
แต่ความพึงพอใจนั้นอยู่กับผมได้ไม่นาน พอย่างเข้าเดือนที่สี่ เมืองก็เริ่มมีผู้คนพลุกพล่านขึ้น จะขอบคุณหรือด่าทอหน่วยงานของรัฐดีละครับ ที่โปรโมทเมืองจนทำให้ผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลกันมา จากเหนือสุด ไปถึงใต้สุดก็แห่กันมาครับ ผมเคยถามนักท่องเที่ยวว่า มาทำอะไรกันที่นี่ บางคนก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน มาตามกระแสว่างั้นเถอะ
ผมเริ่มอยากจะหาที่อยู่ใหม่ เพราะมันช่างไม่ต่างอะไรกับชีวิตของผมในเมืองหลวง แต่ละวันมีผู้คนมากหน้าหลายตา เข้ามาในบ้าน จะโดยเพราะบ้านเป็นที่สาธารณะหรือเปล่า ที่ผมใช้คำว่าสาธารณะก็เพราะว่า เป็นร้านอาหารไงครับ คือใครจะมาก็ได้ ส่วนที่พักไม่ต้องพูดถึง มากหน้าหลายตา จนบางครั้งทำให้ผมไม่อยากจะนอนที่บ้านด้วยซ้ำ แต่ทำอย่างไรได้ ก็ผมมาอาศัยเขาอยู่นี่ครับ ผมพยายามมองโลกในแง่บวก คือว่ามันก็เป็นการดีที่เราได้เจอผู้คนเยอะแยะ ได้พูดคุย และแลกเปลี่ยนแนวคิด ความรู้ในเรื่องต่างๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้รู้จักผู้คนมากขึ้นจริงๆ ครับ ตั้งแต่ระดับด็อกเตอร์ ครู อาจารย์ ข้าราชการ พ่อค้า ผู้ประกอบการจากที่อื่น นักศึกษา หรือคุณตา คุณยาย เยอะแยะครับ
แต่ก็เหมือนการหลอกตัวเอง ผมทนอยู่ในสภาวะนั้นได้ไม่นานหรอกครับ เออลืมเล่าไป ในเมืองนี้มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่อพยพมาเปิดกิจการต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ที่พัก แยะมากครับ เยอะจนอยากจะแบ่งไปที่อื่นบ้าง ในตอนแรกการสนทนาในวงน้ำจันทน์ ใครบางคนเผยมาว่า ถ้าต้องการอยากให้คนมาที่นี่เยอะๆ ต้องจัดกิจกรรมขึ้น เช่น คอนเสริต งานประเพณี หรืองานบุญต่างๆ แล้วประชาสัมพันธ์ให้คนได้รู้ แล้วเขาจะได้มากัน ซึ่งมันก็จะทำให้เงินสะพัด 
ใครบางคนเอ่ยขึ้นมาว่าต้องจัดงานวัดขึ้น มีมหรสพต่างๆ พวก หนัง ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน งานออกร้าน ฯลฯ ผมแย้งในใจว่า ห่าเอ้ยคนที่นี่เขาไม่เคยมีวัฒนธรรมการจัดงานวัดอย่างนั้นมาก่อน มันไม่เหมือนกันผู้คนภาคกลาง ถ้าจะทำก็ทำได้ แต่มันไม่ได้ฟิวของเมือง มันก็เหมือนโกหกนักท่องเที่ยวนั่นแหละ แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็คือขอตัวกลับไปนอน เพราะผมไม่อยากจะยุ่งกับพวกเขา ก็การที่ผมเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อปลีกวิเวกไม่ใช่หรือ แล้วผมจะไปสนใจคนอื่นทำไมหล่ะ หาที่เงียบๆ อ่านหนึ่งสือดีกว่า
หนึ่งปีที่ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผมกิน ดื่ม เที่ยว ทำทุกอย่างที่ผมอยากทำ และไม่เดือดร้อนใคร เวลาว่างผมก็ช่วยงานทางครอบครัวเพือน ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้จักชาวบ้านเกือบทั้งเมืองแล้ว แต่ช่วงเวลาแห่งความสุข มันติดจรวดครับ เผลอแผล็บเดียวมันก็หมดลงแล้ว และก็ก้าวย่างเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการทำมาหากิน เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาผมใช้เงินเก็บไปเกือบหมดแล้ว
ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี สิ่งที่ผมคุ้นเคยและทำได้ดีก็คือการเขียนหนึงสือ และการค้าขายน้ำเมา ผมคิดอยู่นานสองนาน จนในที่สุดผมเลือกอย่างหลังเป็นงานหลัก และอย่างแรกเป็นงานรอง ผมตัดสินใจลงหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านกินดื่ม ก็มีกลุ่มผู้ประกอบการบางรายก่นด่าผมว่าผมเป็นพวกมนุษย์ทำลายวัฒนธรรม ผมไม่อยากแย้งหรอกครับ มันป่วยการมากกว่า ผมอยากจะย้อนถามว่าการทำลายวัฒนธรรมนั้น คือการที่ผมขายน้ำเมานั่นหรือ แต่ถ้าถามเขาต่อไปว่าการดื่มน้ำเมา หรือการค้าขายน้ำเมานั้นมันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันมีมานานแล้ว แล้วมันก็ไม่แปลกอะไรเลยที่ผมจะทำบ้าง
ร้านผมเปิด ห้าโมงเย็นปิดตีสอง บางทีดื่มเพลินไปหน่อยก็ยิงยาวไปตีสี่ตีห้า กลับบ้าน นอน ตื่นมาก็ทำกิจกรรมส่วนตัว แล้วก็นอนต่อ ตกเย็นผมก็ไปที่ร้าน แต่ช่วงนี้เป็นฤดูฝน หรือหน้าโลว์ ผู้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ซึ่งผมกับเพื่อนๆ ก็ระดมสมองกันคิดวิธีการดึงดูดลูกค้าไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น หาเด็กสวยๆ มานั่ง หรือกิจกรรมพวกเปิดแผ่น ดนตรีสด 
สามวันมานี้ ผมไม่สบายเพราะตากฝน วันนี้เป็นวันที่สาม อาการผมดีขึ้นมาก ผมนั่งดูบัญชีของร้าน พยายามคิดค้นวิธีทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อดึงลูกค้า แต่ระหว่างที่ผมกำลังคิดๆอยู่นั้น แม่ของเพื่อนก็เรียกผมไปทานข้าว และจับเนื้อจับตัวผมดูว่าหายไข้ดีแล้วหรือยัง แล้วท่านก็บอกว่า ทำอะไรก็ช่างขอให้ดูแลตัวเองบ้าง แล้วท่านถามต่อว่า แล้วเมื่อก่อนตอนอยู่คนเดียวถ้าไม่สบายอย่างนี้ทำอย่างไร ใครมาดูแล
หลังจากผมทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ผมปลีกตัวมานั่งรับลมเงียบๆ อยู่คนเดียว ผมกำลังย้อนมองดูตัวเอง จุดประสงค์ที่ผมมาอยู่ที่เมืองนี้ ก็เพราะต้องการความสงบ ผมเบื่อสังคมเมืองใช่ไหม ผมเบื่อความเห็นแก่ตัวของคนในเมืองใช่ไหม ผมระอากับการแข่งขันในสังคมใช่หรือเปล่า แต่คำตอบทุกอย่างมันก็คือ มันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ผมยังคงมีชีวิตแบบเดิม แต่ละวันมันเหมือนทำตามตารางเหมือนตอนอยู่ในเมืองใหญ่ ผมยังต้องเหนื่อยสมองเพื่อจะถีบตัวเองให้สูงขึ้นไปอีก ผมยังคงมีเพื่อนหรือไปสมาคมกับคนที่มีาจากเมืองใหญ่ และที่สำคัญ การแสวงหาผลกำไร มันช่างไม่มีอะไรต่างกันเสียเลย ผมกับคนพวกนั้นมันช่างไม่มีต่างกันเลย				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน