อทิสมานกาย ๙๑ ชายหนุ่มโชติหลังจากทราบเรื่องต่างๆจากท่านรองผู้บัญชาการแล้ว ก็รีบเดินออกมาผ่านบรรดาตำรวจทั้งหลายซึ่งต่างมองมาเป็นจุดเดียวกัน เนื่องจากชายหนุ่มนั้นเป็นคนแปลกหน้าการแต่งกายก็ออกไปทางลูกทุ่ง เป็นส่วนใหญ่ แต่ชายหนุ่มทำเป็นไม่รู้เรื่อง แม่นางรัตนาวดีซึ่งเดินเคียง ข้างมากล่าวกับชายหนุ่มให้รู้ตัว แต่ร่างของแม่นางอัปสรนั้นไม่มีใครแล เห็นว่าชายหนุ่มเดินเคียงคู่ของหนุ่มสาวทั้งสอง ครั้นชายหนุ่มเช็คเอ๊าท์ ออกจากโรงแรมแล้ว ก็ชักชวนกันเดินทางกลับบ้านโคกอีแร้งทันที ระหว่างการนั่งรถเล็กประจำทางออกจากตัวเมืองแล้ว รถวิ่งไปได้ ระยะหนึ่ง แม่นางเทพอัปสรก็พลันกล่าวขึ้นว่า “แล้วพี่โชติจะคิดการอย่างไรดีต่อไปล่ะ ด้วยเรื่องนี้สำคัญแก่งาน ของพี่เอามากเสียด้วยซิ จากการฟังการสนทนาไม่ใช่เรื่องเล็กธรรมดา น้องมองเห็นความวุ่นวายจะติดตามกันมาอย่างใหญ่หลวงด้วยล่ะ ทาง เราควรจะ ต้องปรับสภาพการทำงานเสียใหม่อีกด้วยล่ะ มิฉนั้นจะทำให้ เราต้องเข้าสู่วังวนในเหตุการณ์นี้แล้ว????....” “คงจะไม่หรอกแม่น้องนาง พี่เองได้วางแผนในใจไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ ในเมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ อีกประการเจ้าเปล่งมันก็ต้องรับหน้าที่ทางลับ ไปดำเนินแผนการณ์ในที่มืด ส่วนพี่เองก็จะแสร้งเป็นไม่รู้ไม่ชี้แต่จะ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดจ๊ะ ปล่อยให้เป็นไปตามกระแสสักระยะ หนึ่งเสียก่อน ในทำนองเดียวกันด้านปราบปรามนั้นจะจัดประชุมเรียก คนที่ไว้วางใจได้มาประชุมร่วมงานวางแผนการณ์ต่อไป” “ส่วนน้องคิดว่าบรรดาลูกน้องพี่ที่กระจายไปนั้นในที่ต่างๆกันควร ที่จะได้รับรู้เรื่องราวด้วยนะพี่” “พี่เองก็คิดเหมือนน้องแหละ เพียงแต่เห็นว่าไม่อยากจะทำอะไรให้ เป็นจุดเด่นมากนัก แต่จะจัดประชุมบรรดาหัวหน้าหน่วยเท่านั้นเอง หรือว่าน้องจะเห็นเป็นประการใดบ้างล่ะ” “เรื่องนี้ก็ดีเหมือนกันเราควรดำเนินการก่อนอะไรๆจะเกิดขึ้น นโยบายในโลกมนุษย์นี้มันสับสนมากด้วยซ่อนเล่ห์กลปากหนึ่งและ ใจจะไปอีกอย่างหนึ่งนะ กระแสทางโลกนี้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเสมอๆ” “ใช่แล้วล่ะจ๊ะ...มนุษย์นี้มันมีจิตใจไม่แน่นอนเสมอๆ น้องดูซิแม้แต่ การพูดจาอักษรเขียนยังวิบัติไป นับประสาอะไรกับจิตกับกายจะไม่ วิบัติตามไปด้วยล่ะ” แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อเบาๆ ทำเอาแม่นางอัปสรหัวร่อตามแล้วก็รีบ สะกิดชายหนุ่มทันที ด้วยบรรดาผู้โดยสารล้วนต่างหันมามองชายหนุ่ม กันเป็นทิวแถว ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งคิดได้ทันทีว่าการพูดจาของเขานั้น เป็นการพูดกับแม่นางรัตนาวดีก็จริง แต่บรรดาผู้โดยสารจะคิดว่าเขาพูด เพ้อเจ้อคนเดียว ด้วยบรรดาคนเหล่านั้นจะไม่เห็นร่างของแม่นางอัปเลย คงจะคิดว่าเขาเป็นบ้าไป จริงดังคาดไว้บรรดาผู้โดยสารต่างๆพากัน ขยับกายถอยออกห่างเขาทิ้งช่วงระยะไว้ ดังนั้นชายหนุ่มหันหน้าไปยิ้มกับหญิงสาวแล้วพยักหน้ากันไม่ สนทนากันอีกต่อไป หญิงสาวก็เอนร่างพิงไหล่ชายหนุ่มพลางหลับตา พริ้ง คราวนี้ชายหนุ่มพึ่งสังเกตุว่าที่นั่งข้างๆเขานั้นว่างเปล่าไม่มีคนมา นั่งเคียงข้างเขาเลยทั้งสองด้าน คนในรถอาจจะเป็นว่าข้างๆเขามีคนนั่ง อยู่หรือคิดว่าเขาเป็นคนบ้าไปแล้วด้วยกระมัง แต่เอ๊ะ!!!!!..... เวลาเขาพูดกันทำไมถึงได้มองโดยทำหน้าแปลกๆด้วย หรือว่าพวก เหล่านั้นจะเห็นร่างแม่นางเป็นในลักษณะอื่นไป คงจะเป็นเช่นนั้น เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆรถโดยสารก็ถึงที่หมายที่เขาบอกกับเด็ก ในรถว่าให้จอดทางเข้าหมู่บ้านโคกอีแร้ง เมื่อรถจอดเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ลงจากรถทันที เมื่อรถจอดลงในซอยทางเข้าหมู่บ้านโคกอีแร้ง ก็เป็นเวลาจวนใกล้ๆค่ำเหมือนครั้งที่เขามาครั้งแรก ซึ่งตอนมาครั้ง แรกนั้นเขาจะงงมาก ด้วยเพียงจำได้เพียงลางๆเพราะห่างเหินมานาน แต่คราวนี้ชายหนุ่มปราศซึ่งจากความกลัวใดๆอีกแล้ว ครั้นรถวิ่งลับ หายไปทางโค้งแล้ว ระหว่างทางจึงได้สนทนากันไปพลางๆก่อน ซึ่ง เป็นทางที่จะต้องผ่านหน้าวัด ชายหนุ่มก็เอ่ยกับแม่นางรัตนาวดีว่า “เดี๋ยวเราแวะที่วัดหน่อยนะน้องนาง ด้วยจะเข้าไปกราบหลวงพ่อ สักหน่อยได้ข่าวว่าป่วยมากเสียด้วยซิ???......” “จ๊ะพี่ท่านอายุใกล้คงจะไม่ช้านี้แหละคงจะไปสู่แดนสงบอันแท้จริง แล้วล่ะ” “ใช่ๆแล้วล่ะน้องด้วยพี่ทราบเรื่องนี้มาแล้วเหมือนกัน ก่อนที่ท่านจะ ไปก็ควรไปกราบนมัสการท่านนะ” “จ๊ะพี่ น้องก็จะตามไปกราบท่านด้วยเหมือนกัน” ครั้นผ่านต้นตะเคียนที่แม่นางรัตนาวดีอาศัยอยู่ทั้งสองก็เข้าไปใต้ ต้นไม้ตะเคียนทันที ปรากฏร่างนางไม้ที่อาศัยอยู่ก็ยืนรอรับพลาง แม่นางไม้ก็ยกมือขึ้นไหว้แม่นางอัปสรรัตนาวดีทันที พลางเอ่ยว่า “น้องขออาศัยที่อยู่ของพี่นางด้วยนะ เพราะเห็นแค่วิมานจางๆอยู่ แต่น้องไม่ได้อาศัยในนั้นจ๊ะพี่นาง” แม่นางรัตนาวดีก็แย้มยิ้มพลางเอ่ยตอบแก่แม่นางไม้นั้นว่า “ตามสบายเถอะจ้า อ้อๆๆๆ...แล้วเธอมีชื่ออะไรล่ะ????...” “น้องมีชื่อว่าเบญจมาศจ๊ะพี่นาง เมื่อผุดขึ้นมาหาที่อาศัยอยู่ไม่ได้ จึงได้เที่ยวค้นหาก็มีบรรดาผู้อาศัยอยู่ก่อนแล้ว จึงดั้นด้นไปเรื่อยๆจน เห็นตะเคียนนี้เพียงแค่มีวิมานแต่ปราศจากรังสีก็เข้าใจว่าเจ้าของเดิม คงจะไม่ได้ใช้ แต่ก็ได้กราบขออนุญาติไว้แล้วจ้า” “จ้าพี่เองชื่อรัตนาวดีจ๊ะแม่นางเบญจมาศ อยู่ไปเถอะด้วยบริวารฉัน บัดนี้ได้ติดตามฉันไปอยู่หมดแล้ว ส่วนวิมานนั้นเสด็จพ่อฉันยังไม่ได้ ล้างไปเสียด้วยอาจจะคิดการอะไรพี่เองก็ไม่ทราบเหมือนกันจ๊ะ” “น้องต้องขอขอบคุณแต่จะรักษาของดั่งเดิมไว้จ้า ส่วนน้องนั้นอยู่ตัว คนเดียวไม่มีแม้แต่บริวารจ๊ะพี่” “น้องพี่ก็หมั่นเจริญศีลสมาธิไว้ โดยไปฟังเทสน์ในทางวัดบ้างซิจ๊ะจะ ได้บังเกิดบุญก่อเกิดทำให้มีบริวารมาผุดขึ้นให้รับใช้จ๊ะ” “ขอบคุณพี่นางมากจ้า น้องจะถือปฏิบัติคำพี่นางนี้ต่อไปด้วยจ๊ะ” “นี่พี่ต้องรีบไปแล้วล่ะจ๊ะฝากวัดให้น้องช่วยดูแลให้ด้วยนะน้องพี่” “จ๊ะพี่น้องขอรับปากต่อไปจะคอยตรวจสอดส่องดูแลวัดให้จ๊ะ” “ดีแล้วล่ะน้องผลกุศลจะได้บังเกิดอาจจะทำให้น้องไปสู่ยังภูมิอันสูง ต่อไปอีกจ้า พี่ไปแล้วนะพี่เขาคอยอยู่โน่นแน๊ะ” “พี่โชคดีมากนะพี่นาง น้องมองดูแล้วยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆเขาเลย ด้วยเขามีพลังรังสีมากมายเจิดจ้าอีกเสียด้วยจ้า” แม่นางรัตนาวดีไม่ตอบนอกจากหัวร่อเบาๆแล้วก็ชักชวนชายหนุ่ม ออกเดินทางต่อไปเข้าสู่ภายในวัด ครั้นเข้าไปแล้วทั้งสองก็พบเจ้าจุก ซึ่งยืนคอยต้อนรับอยู่แล้ว บัดนี้ร่างเจ้าจุกเติบใหญ่เป็นหนุ่ม จุกที่เคย ปล่อยไว้ยาวๆบัดนี้มันเกล้าเป็นมุ่นผมไว้บนกลางศีรษะโดยมีเชือกรัด ไว้เท่านั้นเอง ครั้นแม่นางเห็นมันยกมือไหว้ต้อนรับและเห็นบนศีรษะ ปราศจากสิ่งใดๆ จึงถอดเอาปิ่นทองออกมายื่นให้แก่เจ้าจุกทันที เจ้าจุกก็น้อมยกมือไหว้กล่าวขอบคุณแม่นางรัตนาวดีทันที แล้วนำ ปิ่นทองมาเสียบยุ่งมุ่นผมที่มันเกล้ามัดไว้ ทำให้ภาพมันเกิดความ งามขึ้นในอีกลักษณะหนึ่งทันที ครั้นเรียบร้อยแล้วเจ้าจุกจึงมองแล้ว ไปทางชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงสังหรณ์ใจพลางถาม เจ้าจุกว่า “เจ้าสบายดีหรือแล้วหลวงพ่อล่ะตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างนะจุก” เจ้าจุกได้รับฟัง ฉับพลันใบหน้ามันก็หมองหม่นพร้อมทั้งมีหยาดน้ำ ไหลออกมาหยดทั้งสองแก้ม ตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ผมและพรรคพวกสบายดีครับ แต่ทว่าหลวงพ่อซิครับพี่” “หลวงพ่อป่วยมากหรือเจ้าจุก” “ท่านเรียกพวกผมไปหาแล้วแจ้งว่าท่านจะละสังขารภายในอาทิตย์ นี้แล้วครับพี่ แต่ท่านบอกว่าเรื่องพวกผมนั้นได้ฝากกับหลวงพ่อหวน จัดการไว้แล้วครับ หลวงพ่อหวนท่านพักที่ป่าช้าและได้เรียกพวกผม ไปอบรมสั่งสอนวิชาการต่างๆให้อีกมากมาย พวกผมก็หมั่นร่ำเรียนไว้ จนหลวงพ่อหวนท่านพอใจ แล้วกำชับไว้ให้ดูแลหลวงพ่อท่าน ตลอดจนวัดไว้แล้วครับ ท่านกล่าวว่าวิชาที่มอบให้นี้เพื่อใช้ป้องกันวัด ไว้แล้วอย่าได้นำเอาวิชาไปใช้ในทางที่ผิดด้วยครับพี่” ชายหนุ่มรับฟังเช่นนั้นก็ถึงกับอ่ำอึ้งไปทันที แต่เขาล่วงรู้เหตุการณ์ นี้มาบ้างแล้ว จึงไม่กล่าวอะไรอีก พลางเอ่ยขึ้นว่า “เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปเยี่ยมหลวงพ่อทองและหลวงพ่อหวนหน่อยนะ แล้วค่อยไปทำธุระของข้าด้วย” “ถ้าอย่างนั้นผมจะนำทางให้ครับพี่ พลางออกเดินนำหน้าไป” “ไม่ต้องหรอกจุก พี่ทั้งสองไปเองก็ได้ จุกไปดูและพรรคพวกเฝ้า วัดเถอะนะ และสั่งสอนพรรคพวกที่รับไว้ใหม่ๆให้ดีๆด้วยล่ะ” “ครับพี่พวกเด็กรับใหม่นั้นต่างไม่กล้าเกะกะอะไรอีกแล้วล่ะอยู่ ในโอวาทจุกหมดแล้วล่ะ งั้นจุกไปก่อนนะ” “ตามสบายเถอะจุกพี่ก็จะรีบไปเยี่ยมแล้วรีบกลับเหมือนกัน” แล้วทั้งสองก็เดินไปยังกุฎีหลวงพ่อทองหน้าห้องมีศิษย์พระบางรูป คอยนั่งเฝ้าปรนนิบัติ ครั้นพระสองรูปเห็นเป็นชายหนุ่มซึ่งจำได้ด้วย เคยมาหาหลวงพ่อบ่อยๆ ชายหนุ่มถามอาการหลวงพ่อได้รับการตอบ ว่าตอนนี้หลวงพ่อท่านไม่ได้พูดจาอะไรแล้ว ฉันทอาหารก็น้อย เช้านี้ ยังไม่ยอมฉันท์อะไรเลยได้แต่นอนอยู่ท่านคงจะกำลังเข้าฌานสมาธิ และตอนนี้กำลังเจริญสมาธิอยู่โยม แล้วท่านทั้งสองรูปก็ถอยออกมา ชายหนุ่มยิ้มแล้วก้าวล่วงเข้าไปในห้องพร้อมทั้งมองไปรอบๆแล เห็นร่างหลวงพ่อซึ่งกำลังอยู่ในท่านอน แต่มือท่านทั้งสองพนมมือ ระหว่างทรวงอก ชายหนุ่มก็ทราบโดยวิถีฌานว่าท่านกำลังเจริญสมาธิ อยู่ จึงก้มลงกราบท่าน แล้วถอยหลังออกมาเข้าสมาธิตรวจดูก็ทราบว่า หลวงพ่อได้ละสังขารไปแล้ว แต่ที่เห็นว่าร่างกายกำลังทำงานอยู่นั้นด้วย แรงอำนาจของฌานสมาบัติที่รอคอยเวลากาลมาถึง แล้วธาตุต่างๆก็จะ ค่อยๆแยกออกจากกัน ดังนั้นร่างกายยังทำงานอยู่ หากมองตาเปล่าก็ จะไม่ทราบได้ ด้วยร่างกายหลวงพ่อทองท่านยังมีลมหายใจอยู่ จะแล เห็นแต่เพียงร่างกายท่านที่กำลังพักผ่อน ด้วยทรวงอกยังไหวเล็กๆน้อยๆ และจะมองเห็นว่า ร่างกำลังเจริญฌานสมาธิอยู่โดยการนอนทำหรือว่า หลวงพ่อยังนอนพักผ่อนอยู่ ส่วนวิญญาณท่านนั้นได้ออกจากร่างไป นานแล้ว จึงออกจากฌานสมาธิแล้วก็พบหลวงพ่อหวนกำลังก้าวเข้ามา ชายหนุ่มพลางก้มลงกราบ หลวงพ่อหวนก็ยกมือรับการกราบของเขา พร้อมลงมานั่งใกล้ๆชายหนุ่มทันที “หลวงพ่อท่านได้ละสังขารแล้วล่ะลูกโชติ ท่านละไปเมื่อคืนนี้ตอน เที่ยงคืน สังขารเพียงรอกาลแห่งอายุเท่านั้น” “ครับหลวงพ่อ ผมพึ่งกลับจากราชการมาในเมืองหลวงและพึ่งทราบ เมื่อกี้นี้เองว่าท่านละสังขารเรียบร้อยแล้วครับ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมนึกชมหลวงพ่อหวนไม่ธรรมดาเสียแล้วผิดกัน คนละคนทีเดียว ด้วยบัดนี้ฌานสมาธิท่านก้าวหน้าไปมากผิดกับเก่าคน ละคนกับก่อนทีเดียว ทั้งการนั่งวางตัวในสมณะเพศได้อย่างงดงามยิ่ง เปี่ยมด้วยสง่าราศรีที่พราวกระจายออกจากร่างหลวงพ่อหวนอีกด้วย “แล้วจะทำการอย่างไรล่ะโยม ในฐานะโยมเป็นศิษย์เอกคนแรกของ ท่าน หากโยมประสงค์อย่างไรบอกอาตมาได้เลยนะ” “ผมว่าเรื่องนี้คงเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อเสียแล้ว ตามความเห็นผมว่า คงจะไม่เกินแปดโมงเช้าธาตุต่างๆก็จะแยกตัวกันและเป็นไปตามวัฏฏะ สังขารโลก เพียงให้หลวงพ่อแจ้งแก่พระหน้าห้องให้ไปรอคอยถ้าถึง เวลา แปดโมงเช้าให้ย่ำระฆังได้แล้วครับหลวงพ่อ” “อาตมาก็มีความเห็นเช่นเดียวกับโยมเหมือนกัน ส่วนเรื่องศพท่านล่ะ โยมมีความเห็นเป็นประการใดเล่า” “เรื่องนี้หลวงพ่อปรึกษากับท่านมัคทายกทั้งหมดจัดเรียกประชุม ดำเนินการตามเห็นสมควรเถอะขอรับ แต่ในความเห็นส่วนตัวผมนะ หลวงพ่อทองท่านอธิษฐานจิตเกี่ยวกับสังขารไว้ให้ทรงสภาพเดิมไว้จะ ไม่เน่าเปื่อยอย่างใดเพียงแค่เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติเท่านั้น ถึงแม้จะนำไปเผาไฟร่างท่านก็จะไม่ไหม้โดยเด็ดขาด ทำให้เสียสภาพ ดั่งเดิมไปเสียเปล่า คงเก็บไว้ในสภาพเช่นนี้จะดีกว่าขอรับ” “หากเป็นดังคำกล่าวของโยมที่อาตมาเชื่อถือมั่นนัก ฉนั้น เห็นสมควรสร้างโลงแก้วบรรจุหลวงพ่อเลยหลังจากอาบน้ำศพแล้ว ก็บรรจุในโลงแก้วเสียเลยนะโยม” “ดีเหมือนกันขอรับหลวงพ่อ จากการตรวจสอบแล้วผมทราบว่า สังขารท่านเพียงแค่ซูบแสดงถึงการเป็นอนิจจังเท่านั้น ส่วนอมตะธาตุ ท่านไปชั้นนิมมานแล้วขอรับหลวงพ่อ” “ท่านไปชั้นพรหมแล้วหรือโยม” “ขอรับหลวงพ่อหากฌานผมไม่เปลี่ยนแปลงขอรับ ท่านทราบเพียง ติดอยู่บางอย่างมิฉนั้นล่วงก้าวเข้าสู่นิพพานแล้วขอรับ แต่คงจะไป นิพพานในชั้นนี้แหละขอรับหลวงพ่อ” ครั้นหลวงพ่อหวนได้ยินเช่นนั้นถึงกลับอึ้งไป อาจารย์หนุ่มคนนี้ไม่ ธรรมดาจริงๆ พลางรำพึงเมื่อไหร่หนอเราถึงจะได้ก้าวล่วงฌานเช่นนี้ คงจะอีกนานแล้วล่ะ แล้วหันมากล่าวว่า “โยมจะเห็นเป็นประการใดหากอาตมาจะสร้างรูปหล่อท่านไว้หน้า โลงแก้วให้เป็นที่สักการะของพุทธสานิกชนไปพร้อมๆกันทีเดียวนะ” “ก็เป็นการดีครับหลวงพ่อผมอนุโมทนาด้วยครับ ส่วนรูปหล่อผม จะให้เด็กจัดการให้ครับด้วยทางกรุงเทพฯนั้นแถวๆธนบุรีล้วนมีช่าง ฝีมือที่เชียวชาญ หากเสร็จผมก็จะให้เด็กนำมาให้ท่าน หลวงพ่อก็เพียง ทำพิธีให้ถูกต้องส่วนอัฎฐบริขารของท่านก็ใส่ลงไว้ใต้ฐานรูปหลวงพ่อ ทองก็แล้วกัน แล้วหลวงพ่อนิมนต์พระเก้ารูปมาสวดมนต์และชยันโต นำไปวางที่หน้าพระประธานสักหนึ่งไตรมาสก็พอ วิชาการต่างๆที่ผม มอบให้หลวงพ่อเพียงหลวงพ่อองค์เดียวก็เหลือกินแล้ว หากผมว่างๆจะ นำทวยเทพมาร่วมเพื่อความเป็นมงคลด้วยขอรับหลวงพ่อ” “หากเป็นเช่นนี้นับว่าประเสริฐมากทีเดียว อ้อๆๆๆโยมลูกอมในกุฏี ท่านที่ยังเหลือตลอดจนพระนั้นล่ะใส่ลงไปใต้ฐานรูปหลวงพ่อจะดีหรือ ไม่ล่ะโยม” “หากเป็นเช่นนั้นก็ดีซิขอรับหลวงพ่อเพราะพระหรือลูกอมนั้นล้วน ศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์ในตัวอยู่แล้วเป็นของดีมากๆเสียด้วย ให้หลวงพ่อ แบ่งออกครึ่งหนึ่ง บรรจุครึ่งหนึ่งส่วนเหลือหลวงพ่อเก็บไว้ใช้ทำนุ บำรุงพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง เรื่องนี้ตามแต่หลวงพ่อจะ เห็นสมควรก็แล้วกันนะขอรับ จะทำให้รูปหลวงพ่อท่านเพิ่มความ ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นอีกขอรับ” “เป็นไปตามที่โยมกล่าวนี้ก็แล้วกันนะ อาตมาจะทำตามคำโยมที่ เป็นอาจารย์อาตมาทุกๆประการโยม” “อีกประการหนึ่งครับหลวงพ่อ ทุกๆวันพระให้นิมนต์พระมาสวด ที่หน้าศพท่านไปอย่าได้ขาดนะขอรับหลวงพ่อ” “อาตมาจะทำตามคำแนะนำโยมทุกประการไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แล้วโยมจะอยู่จนกว่างานจะเรียบร้อยหรือเปล่าล่ะโยม” “ผมอาจจะมาคืนเว้นคืนขอรับ ด้วยมีงานเร่งด่วนซึ่งกำลังมีการ เปลี่ยนแปลงอย่างมากในเมืองเราขอรับ ทางนี้เห็นทีจะต้องเป็นหน้าที่ ของหลวงพ่อแล้วล่ะขอรับ เดี๋ยวผมก็จะไปบอกคุณพ่อคุณแม่ให้ทราบ ไว้ ส่วนผมต้องทำงานทั้งสองด้านจะว่าสามด้านก็ได้ขอรับหลวงพ่อ” “ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เชิญโยมตามสบายเถอะนะ แล้วหมั่นมาก็แล้วกัน” “ขอรับหลวงพ่อ ผมจะสลับกันมาขอรับ” แล้วชายหนุ่มก็ก้มลงกราบหลวงพ่อทองซึ่งปราศจากวิญญาณและ หลวงพ่อหวน พลางถอยหลังออกมา หันไปมองร่างหลวงพ่อทองร่าง ก็ยังทำงานอยู่ แล้วชักชวนแม่นางรัตนาวดีออกเดินทางกลับบ้านทันที โดยไม่รอช้า ด้วยยังมีภาระที่เร่งด่วนอยู่รอคอยเขา............ แก้วประเสริฐ.
26 พฤษภาคม 2554 10:08 น. - comment id 124036
หวัดครับ เสร็จจากการประชุม..เครียดๆก็เลยเข้ามา บ้านกลอน..เห็นอภิสมานกาย91 เข้ามาอ่าน โดยพลัน..หายเครียดเลยครับ..ขอบคุณครับ
26 พฤษภาคม 2554 15:29 น. - comment id 124050
คุณ เอื้องอังกูร สำหรับอทิสมานกายนั้นผมจะดำเนินเรื่อง ไปเรื่อยๆมานั่งคิดดูหากจะสรุปเกินไปก็จะ ทำให้เรื่องเสียอรรถรสไปเสียดายอุตส่าห์ เขียนมาจนถึงนี้ก็ย่างเข้าหลักร้อยไปแล้วล่ะ ส่วนเรื่องที่ผมหนักใจที่สุดคือ แดนพิศวง ปกติผมจะเขียนเรื่องต่อเนื่องแบบสดๆกัน แต่เรื่องแดนพิศวงมันสลับซับซ้อนมากมาย นัก จึงจำต้องเขียนล่วงหน้าไว้แต่งไปได้ แล้วสี่ตอนครับ ส่วนผมนะว่าสนุกสนาน แน่ๆครับ รอเวลาเรื่องอทิสมานกายจบ ก่อนจะเอามาลงไว้ให้อ่านครับ ขอบคุณ ที่ให้กำลังใจติดตามชมด้วยดีเสมอมา แก้วประเสริฐ.
27 พฤษภาคม 2554 09:23 น. - comment id 124059
มาติดตามอ่านครับครู และก็รออ่านแดนพิศวง ครับ รักษาสุขภาพด้วยครับครู
27 พฤษภาคม 2554 14:00 น. - comment id 124063
คุณ กิ่งโศก ศิืษย์รักเราเรื่อง แดนพิศวง นี้ครูหนัก ใจจริงๆเฮ่อตอนแรกนี้ว่าจะเขียนแค่ผจญภัย ในป่าเท่านั้น แต่เริ่มต้นไหงดันนึกพาไปยัง อีกแดนหนึ่งก็ไม่รู้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ๆ ไปเสียแล้วล่ะจ้า เรื่องอทิสมานกายนั้นคง อีกไม่นานนักหรอกด้วยเรื่องงวดเข้ามามาก แล้วล่ะจ้า รักศิษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.