เราไม่ควรลอกแบบการกระทำภายนอกของอาจารย์...
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai, สวนสายรุ้ง, ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา
๒๒ กุมภาพันธ์ ๑๙๙๖ (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
อาจารย์อยู่ท่านหนึ่งซึ่งฝึกลูกศิษย์ของเขาให้มีปัญญา ใช้ปัญญา มีบางคนมาหาอาจารย์ท่านนี้ และอยากจะฝึกเรื่องปัญญา ดังนั้นเขาจึงบอกว่า “แน่นอนแล้ว, การที่จะเป็นอาจารย์ในอนาคต เป็นพุทธะในอนาคต เราต้องมีพรสวรรค์หรือมีคุณสมบัติประจำตัวอย่างน้อยสองอย่าง คุณสมบัติสำคัญที่จะเป็นพุทธะในอนาคตมีอยู่หลายอย่าง แต่มีคุณสมบัติที่สำคัญอยู่สองอย่างที่เราจะต้องมีเพื่อจะได้บำเพ็ญได้ก้าวหน้าเร็วๆ”
ลูกศิษย์ทั้งหลายจึงถามเขาว่า “มันคืออะไรหรือ? อะไรคือคุณสมบัติสองข้อนี้?”
อาจารย์ก็บอกว่า “ข้อแรกคืออำนาจในการอดทน การอดทนหมายถึงเธอทนได้ทุกอย่างที่คนอื่นทนไม่ได้ ไม่ว่าอะไร ข้อที่สองคืออำนาจในการสังเกต...ดู, ดู, ดู”
เพื่อเป็นการสาธิต อาจารย์คนนั้นจึงบอกให้คนใกล้ชิดไปนำชามที่ใส่ของสกปรกโสโครกหลายอย่างมาให้ทันที เป็นของที่แค่ได้กลิ่นเธอก็อยากจะอาเจียนแล้ว แต่ว่าอาจารย์คนนั้นไม่หวั่นไหวเลย เขาจุ่มนิ้วของเขาลงในชามที่ใส่ของโสโครก น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงมากมายที่เธอไม่อยากจะมองดูด้วยซ้ำไป.... บางทีอาจจะเพิ่งเอามาจากห้องส้วมก็ได้ เขาจุ่มนิ้วของเขาลงไป แล้วก็เอามือออกมาแล้วก็เอานิ้วใส่ปาก ใบหน้าของเขาไม่ได้มีความหวั่นไหวอะไรเลยสักนิด นิ่งเฉยเหมือนกับฝาผนังข้างหน้าเธอหรือฉันนี้
เหล่าพุทธะในอนาคตทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ตัวเขาก็อยากจะพยายามแสดงให้อาจารย์เห็นว่าพวกเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นลูกศิษย์ของเขา ทุกคนจึงเข้ามาแล้วก็เอานิ้วจุ่มลงไปในชามแล้วก็เอาใส่ปาก และก็สามารถทำหน้าตาไร้ความรู้สึกได้ ไม่แสดงอาการรังเกียจขยะแขยงหรืออะไรเลย
อาจารย์คนนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ขอแสดงความยินดีด้วย พวกเธอผ่านการทดสอบได้อย่างหนึ่งแต่ว่าไม่ใช่ทั้งสองข้อ การทดสอบที่เธอผ่านจริงๆ ก็คือการทดสอบเรื่องความอดทน แต่การทดสอบข้อที่สองพวกเธอสอบตกเพราะว่า พวกเธอไม่มีอำนาจในการสังเกต ไม่รู้จักสังเกต”
ลูกศิษย์ก็ถามว่า “ทำไมล่ะ?”
อาจารย์ก็บอกว่า “ฉันจุ่มนิ้วนี้ลงในชาม แต่ว่าฉันเอานิ้วอีกนิ้วใส่ปาก”
เขาเอานิ้วชี้จุ่มลงในชามของโสโครกนั้น แต่เอานิ้วกลางยัดใส่ปาก (คนหัวเราะ) ลูกศิษย์มองไม่เห็น พวกเขาเอานิ้วเดียวกันที่จุ่มในชามนั้นใส่ปาก
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วนะว่ามันเป็นอย่างไร พวกนี้เป็นลูกศิษย์ที่โง่ ลูกศิษย์หลายๆ คนเป็นแบบนี้ พวกเขาได้แต่ลอกเลียนแบบอาจารย์ ลอกเลียนหมดทุกอย่างไม่ว่าอะไร แล้วก็ทำให้ตัวเองเป็นตัวตลก นั่นคือเรื่องลำบาก เพราะฉะนั้นเราอย่าลอกเลียนแบบใคร แม้แต่ผู้เป็นอาจารย์ก็จะไม่ลอกแบบใคร ถ้าเราอยากจะเป็นเหมือนผู้เป็นอาจารย์ เราก็อย่าลอกเลียนแบบใคร ทุกสิ่งเป็นของแท้ดั้งเดิมไม่เหมือนใคร เพราะว่าแต่ละคนก็มีพลังของความสามารถสร้างสรรค์ ทุกคนสามารถสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างไปตามความสามารถและความโน้มเอียงทางศิลปะของเขาหรือหล่อน
เราไม่ต้องลอกแบบใคร รวมทั้งพระพุทธเจ้า, อาจารย์หรือสังฆปรินายกของทั้งโลก เธอจึงเห็นว่าอาจารย์หลายท่านดูไม่เหมือนคนอื่นๆ ท่านสังฆปรินายกฮุ่ยเหนิงดูไม่เหมือนพระพุทธเจ้า และไม่ได้ทำตนเหมือนพระพุทธเจ้า พระเยซูไม่ได้ทำตัวเหมือนเหลาจื้อ เหลาจื้อก็ไม่ได้ทำอะไรคล้ายกฤษณะ ฯลฯ เพราะฉะนั้นถ้าเราลอกเลียนแบบผู้เป็นอาจารย์หรือเราคาดหวังว่าอาจารย์จะดูเหมือนผู้ที่เราเคยอ่านมาในไบเบิล หรือผู้ที่เรานึกภาพเอาไว้แล้วในหัว เราก็ไม่มีทางจะหาอาจารย์พบ เราไม่ควรหาของที่เลียนแบบ เราต้องหาของแท้ดั้งเดิม ผู้เป็นอาจารย์จะเป็นสิ่งที่เป็นของแท้ดั้งเดิมเสมอ เราไม่อยากได้ของเลียนแบบ ไม่ใช่หรือ?
เพราะฉะนั้นในการบำเพ็ญของเรา เราต้องรอบคอบระมัดระวังเสมอ ผู้เป็นอาจารย์จะทำอะไรต่างๆ ผิดแผกออกไป บางครั้งก็ต่างออกไปมากๆ เราเพียงแต่มองดูเห็นอย่างนั้น แล้วเราก็คิดว่า เราสามารถทำอย่างนั้นก็ได้ เช่นแตะศีรษะ, แตะทั่วร่าง เหมือนอย่างที่ฉันบอกเธอไปเมื่อวานนี้ มองดูตา, ให้ขนมลูกอม....ลูกอมนั้นเราสามารถซื้อเพิ่มขึ้นเยอะกว่านี้ก็ยังได้ อะไรทำนองนั้น มันไม่ใช่การแสดงออกภายนอกที่เราจะดูจากสิ่งนั้นแล้วมาตัดสินว่า บุคคลนั้นเป็นอาจารย์หรือไม่ มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายใน...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet