ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai ที่สมาธิกลุ่มในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ๑๓ มีนาคม ๑๙๙๓ (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) ตอนที่หนึ่ง มีชายคนหนึ่งชื่อว่า ฉันคิดว่า กฤษณะ เขามีลูกศิษย์มากมาย โดยเฉพาะลูกศิษย์ผู้หญิง เขางดงามมากจริงๆ และดำขำ—ดำและงดงาม ใบหน้าของเขามีสีผิวค่อนข้างเข้ม ดังนั้นผู้คนจคงเรียกเขาว่า คนดำผู้งดงาม และใครก็ตามเพียงได้เห็นเขาสักครั้งเดียว ก็ทำให้ตกหลุมรักเขา—ผู้ชาย ผู้หญิงก็เหมือนกัน แต่อย่าคิดว่านั่นเป็นการติดอกติดใจทางกายเนื้อนะ นั่นเป็นความรักทางวิญญาณต่างหาก ทุกคนที่เห็นเขาต่างก็หลงรักเขา ดังนั้นเขาจึงมีลูกศิษย์มากมายและลูกศิษย์ผู้ชายก็มีมาก แน่นอน ผู้หญิงอื่นๆ พวกเขาก็ไม่ลืมความอิจฉาริษยาของพวกเขาเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาได้ติดตามอาจารย์ท่านใดก็ตามที พวกเขาก็เก็บความอิจฉาริษยาของตนไว้ในกระเป๋าเสื้อ ดังนั้นบางครั้งพวกเขาก็แข่งขันชิงดีชิงเด่นกันเองเพื่อเรียกความสนใจพิเศษจากเขา แต่ท่ามกลางบรรดาลูกศิษย์ผู้หญิงทั้งหลายเหล่านี้ เขารักผู้หญิงคนหนึ่งเป็นพิเศษซึ่งมีชื่อว่าราดา แน่นอนเธอสวยมากแต่นอกเหนือไปจากนั้น เธอยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งบางทีคนอื่นๆ ไม่มี ไม่แต่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ฉันหมายถึงรวมทั้งผู้ชายด้วยเช่นกัน บางทีเธอมีความรักมาก สนอกสนใจและรู้จิตใจเขาก่อนที่เขาจะต้องเอ่ยปากพูดเสียอีก ดังนั้นเขาจึงรักเธอมาก และเธอก็ดูแลเอาใจใส่เขาในทุกๆ ทาง และเธอก็รักเขามากเช่นกัน ทุกคนต่างก็รักเขา นั่นเป็นเรื่องแน่นอน แต่คนทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่พิเศษ ใช่แล้ว รักกันมากและมีความรักซึ่งกันและกันมากมาย บางทีพวกเขาทั้งคู่ประเสริฐมากและรู้ใจกันและกัน ดังนั้นขณะนี้บรรดาผู้หญิงทั้งหลาย นอกจากการรู้แจ้งในทันทีของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็มีความอิจฉาเล็กๆ น้อยๆ ในซอกมุมกระเป๋าเสื้อของพวกเขา ตอนนี้พวกเขากำลังคิดว่า “มีอะไรกันนักหนาเชียวหรือเกี่ยวกับราดา เธออาจจะสวย แต่ฉันก็สวยเหมือนกัน อาจารย์รักฉันที่สุด” ทุกคนคิดว่าอาจารย์รักตนมากที่สุด..... แต่แล้วเมื่อพวกเขาเห็นกฤษณะมักจะแสดงความสนใจพิเศษเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าต่อราดา ผู้หญิงที่ติดตามรับใช้ ความริษยาที่พวกเขากำลังหลบซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื่อของตน ก็เด้งผุดขึ้นมาในขณะนี้และอีกครั้ง แล้วพวกเขาก็รู้สึก “เธอมีอะไรนักหนางั้นหรือ? อะไรที่เธอสามารถทำได้ ฉันก็ทำได้เช่นกัน” แต่บางครั้งพวกเขาไม่สามารถทำได้หรอกเพราะว่าแต่ละคนก็มีบุญสัมพันธ์กับอาจารย์ที่แตกต่างกันไปและบางทีแต่ละคนก็มีบุคลิกและความสามารถที่แตกต่างกันด้วย เธอก็รู้อาจารย์ใช้ผู้คนต่างๆ กันในวิถีทางที่แตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเราดีกว่าคนอื่นหรือคนอื่นดีกว่าพวกเรา แต่ทุกคนไม่สามารถดูแลอาจารย์ได้ อาจารย์คงอึดอัดหายใจไม่ออกจนตาย ดังนั้นจึงมีเพียงคนเดียวที่ดูแลเขาและคนอื่นๆ ก็ริษยา อยู่มาวันหนึ่งกฤษณะไม่สามารถทนกับบรรยากาศเช่นนี้ได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะแสดงอะไรบางอย่าง เขาเรียกบรรดาศิษย์ผู้หญิงผู้ติดตามทั้งหลาย ก็เหมือนแบบนี้ที่พวกเรากำลังชุมนุมกันอยู่ที่นี่ แล้วเขาก็แกล้งปวดศีรษะอย่างรุนแรง แล้วเขาก็พูดว่า “โอย หัวของฉัน! โอย มันกำลังจะแตกออกเป็นสองเสี่ยงแล้ว! โอย ฉันทนไม่ไหวแล้ว! โอย โอย! “ เขาปวดศีรษะแต่บางครั้งเขาก็ลืมไป เขากุมมือที่ท้อง “ โอย ฉันเจ็บปวด” เพราะว่าเขาเพียงแต่แกล้งปวดศีรษะเท่านั้น (เสียงหัวเราะ) บางครั้งอาจารย์ก็แสร้งทำเป็นบางสิ่งบางอย่างหรือถามคำถามบางอย่างเพื่อที่จะได้เข้าใกล้กับลูกศิษย์มากขึ้น หรือเพื่อทำให้พวกเขาไม่รู้สึกกลัวอาจารย์ หรือเพื่อส่งเสริมความสามารถพิเศษ หรือความสามารถที่แตกต่างออกไปของพวกเขา ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่รู้เรื่องนี้ หรือต้องการขอคำแนะนำของพวกเธอ ใช่แล้วเพียงแตกต่างกันออกไป ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ต้องใช้แปดหมื่นสี่พันวิธี” นี่มันคืออะไร ดังนั้น หนึ่งในบรรดาวิธีเหล่านั้น เรียกว่า “ธรรมวิถีปวดศีรษะ” พระกฤษณะใช้มัน “ โอย โอ๊ะ! ศีรษะของฉัน มันปวดตรงนี้ โอ้ย! เจ็บปวดมากเหลือเกิน!” แล้วทุกคนก็ตกใจหวาดกลัว พวกเขาถามอาจารย์ว่าพวกเขาจะสามารถทำอะไรเพื่อที่จะลดบรรเทาอาการทนทุกข์ของอาจารย์ได้บ้าง อาจารย์พูดว่า “โอย ถ้ามีใครสักคนจะมายืนบนหัวฉันของฉัน.....” ถ้าผู้หญิงวางเท้าบนศีรษะของอาจารย์เขาคงจะได้รับการรักษาให้หายในทันที “พวกเธอได้โปรดใครก็ได้มาที่นี่และช่วยฉันที?” พวกเขาดมเท้าของตนเอง “โอย ไม่หรอกนะ! ไม่ได้หรอกไม่” (เสียงหัวเราะ) บางทีก็ลืมล้างเท้าของตัวเองมาสามวันแล้ว เพราะว่ามัวแต่ยุ่งอยู่กับการวิ่งติดตามการเทศนาสั่งสอนของอาจารย์และกำลังยุ่งอยู่กับการแจกหนังสือตัวอย่างอยู่ “โอย ไม่ ไม่นะ! พวกเราจะกล้าไปเหยียบบนศีรษะของท่านได้อย่างไร ท่านก็คือบุคคลาธิษฐานของพระเจ้า (พระเจ้าในรูปแบบมนุษย์) ท่านคือพระเจ้าอวตารมาเกิด ท่านคืออาจารย์ของพวกเรา เป็นที่รักและเคารพยิ่งอย่างที่สุดของพวกเราบนโลกนี้ พวกเราจะกล้าเหยียบไปบนศีรษะของท่านได้อย่างไรกัน? ไม่มีทางไม่ได้! เราทำอะไรทุกอย่างให้ท่านก็ได้แต่ยกเว้นสิ่งนี้!” ดังนั้นกฤษณะจึงแกล้งปวดศีรษะอย่างรุนแรงเข้าไปอีก “โอยงั้นฉันคงจะตาย ฉันคงตาย จะตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ฉันอาจจะตายพรุ่งนี้ วันนี้ หรือคืนนี้ ฉันคงตายแล้วพวกเธอก็คงมีความสุข” เขาร้องคร่ำครวญและเขาก็สร้างความวุ่นวายต่างๆ มากมาย อา, ภาพยนตร์โรงใหญ่ที่เขาแสดงบรรดาศิษย์ผู้หญิงทั้งหลายได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น พูดไม่ออกทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่แล้วมีเพียงราดา ผู้ติดตามที่เป็นหญิง เมื่อเขาเห็นราดามา การแสดงของเขายิ่งแย่ลงไปอีกด้วยซ้ำ “โอย ฉันกำลังจะตาย! ฉันกำลังจะตาย! โอยหัวของฉัน โอยใครก็ได้ช่วย....! มันกำลังลงมาที่นี่ ที่นั่นโอย ทั่วไปหมด” เขาทำให้มีปัญหามากขึ้นไปอีก เขากำลังส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดมากและทำท่าทางวุ่นวายยิ่งนัก ทุกคนหันไปทางราดาเมื่อเธอเข้ามา ราดาก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีอะไรผิดปกติกับท่านคะ? ฉันทำอะไรเพื่อท่านได้บ้างคะ? แล้วกฤษณะก็ขอร้องแบบเดิมเช่นเดียวกับที่ขอจากทุกๆ คน “หัวของฉันกำลังจะแตกด้วยความเจ็บปวด ได้โปรดเหยียบลงบนศีรษะของฉันที แล้วฉันก็จะคลายความเจ็ปปวดได้” เพราะว่านั่นเป็นหนทางเดียว ดังนั้นราดาจึงเหยียบไปบนศีรษะของเขาในทันที เธอไม่ใส่ใจว่าเธอจะสวมรองเท้าหรือไม่ เธออาบน้ำมาหรือเปล่า เธอเหยียบไปบนศีรษะของเขา แล้วกฤษณะก็บรรเทาจากการเจ็บปวดในทันที ไม่มีความเจ็บปวดอีกเลย และก็หัวเราะ และรับประทานอาหารที่ได้รับการอำนวยพรไว้ ตอนนี้ราดาดูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วผู้หญิงทั้งหลายในที่ประชุมเริ่มมองมาที่ราดาด้วยสายตา.....แห่งไฟ ราวกับพวกเขาจะกลืนกินเธอลงไปในคำเดียว เอาเธอไปทำน้ำแกงดื่ม “เธอกล้าดีอย่างไร! คนเลว! เธอไม่เคารพอาจารย์เลยพวกเราจะ......” ราดาพูดว่า “อะไรกัน? อะไรกัน? พวกเธอเป็นอะไรกันจ๊ะ?” “พวกเราจะฆ่าเธอนะสิ!” แล้วราดาก็ถามพวกเขาว่า “มีอะไรผิดหรือ? ฉันไปทำอะไรเข้า? ทำไมพวกเธอต้องการที่จะฆ่าฉันเล่า?” สำหรับอาจารย์แล้ว พวกเขาพร้อมที่จะฆ่า แม้ในขณะที่อาจารย์บอกว่า “ห้ามฆ่า” แต่ในกรณีนี้พวกเขาลืมไป ความริษยาเลวร้ายมากและทำให้ผู้คนตาบอด แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนั้น ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นกับราดา แล้วคนอื่นก็พูดว่า “เธอกล้าดีอย่างไร ถึงมาเหยียบลงบนศีรษะของอาจารย์อันเป็นที่เคารพรักอย่างสูงสุดของพวกเรา เธอไม่รู้หรือไงว่าท่านคือพระผู้เป็นเจ้า? เธอกล้ามากที่ทำอย่างนั้นด้วยเท้าที่สกปรกของเธอได้อย่างไร? เธอช่างแย่ และเธอก็..... ด้วยเหตุนี้เธอจะตกลงไปสู่นรกขุมที่ลึกที่สุดและทนทุกข์อยู่ที่นั่นชั่วนิรันดร์...ฉันจะบอกเธอไว้” ราดาเพียงแต่ยิ้มและพูดว่า “แค่นั้นเองหรือ? ที่พวกเธอวิตกกังวลไป? ถ้างั้นแล้วอย่าได้กังวลไปเพราะว่าฉันคงจะยิ้มอยู่ในนรกอย่างมีความสุข ถ้าสามารถทำให้เขาดีขึ้นมาได้ ถ้าฉันสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้เพียงวินาทีเดียว ฉันก็คงไปลงนรกอย่างมีความสุข ดังนั้นพวกเธออย่าได้กังวลไปเลย ขณะนั้นผู้หญิงทั้งหลายต่างก็เข้าใจในบัดดลว่าเธอไร้อัตตาอย่างไร และเธออุทิศตนต่ออาจารย์มากขนาดไหน แม้แต่จะต้องแลกกับการบรรลุทางวิญญาณและความสุขของตนเองก็ตามที ดังนั้นพวกเขาจึงก้มลงกราบเธอและพูดว่า “ยกโทษให้พวกเราด้วย พวกเราขอโทษ” อะไรทำนองนั้น หลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีและโอเค ดังนั้นการทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออาจารย์ตามปรัชญาของชาวอินเดีย ก็คือการบรรลุถึงขั้นสูงสุด เป็นการอุทิศตนอย่างสูงสุด เพราะว่าบางครั้งพวกเราต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันว่าจะรับใช้อาจารย์อย่างไร พวกเราคิดว่าเราทำนี่ ทำนั่นและทั้งหมดนี้ แต่ที่จริงแล้วพวกเราไม่ได้ทำในสิ่งที่อาจารย์ขอร้องให้ทำ ปัญหาอยู่ที่ไหนในเรื่องนี้? มีอะไรผิดที่ตรงนี้ที่เราไม่ทำตามที่อาจารย์ขอให้ทำหรือ? เราจะลงนรกหรือไง? ไม่หรอก! เราทำให้อาจารย์โกรธรึเปล่า? ก็เปล่า! บางทีอาจารย์อาจแกล้งทำเป็นโกรธ ดุด่าเธอ หรืออะไรแบบนั้น อะไรก็ตามที่อาจารย์ใช้ ก็เพื่อที่จะเปิดความเข้าใจของเธอ ให้เธอได้รู้ว่าในสถานการณ์นี้ เธอผิดตรงไหน พยายามสอนพวกเธอให้เป็นคนดีขึ้นในคราวต่อไป แต่อาจารย์จะไม่โกรธเคืองจริงๆ ภายใน ก็เหมือนกับพ่อแม่ที่แสนรักลูกไม่เคยเกลียดลูกของตนจริงๆ หรอก พวกเขาเพียงแต่แกล้งตีก้นของลูกๆ ดุด่าพวกเขาหรือประณามพวกเขาเพื่อแก้ไขลูกๆ ให้เป็นคนดีขึ้นในอนาคต ก็เท่านั้น แต่พ่อแม่ก็ยังคงรักลูกอย่างแท้จริงอยู่ดีนั่นเอง ตอนที่สอง ราดาผู้อุทิศตนอย่างแท้จริงและไร้อัตตาต่ออาจารย์ แน่นอนได้รับความรักและความเอาใจใส่เป็นพิเศษจากอาจารย์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นบางครั้งเธอจึงหยิ่งทะนงและยโส เธอรู้สึกว่าตัวเองโอเค สูงส่ง เธอดีกว่าคนอื่น และอาจารย์ก็รักเธอมากเหลือเกิน ดังนั้นเธอจึงมีความสุขเพลิดเพลินไปกับความรักของอาจารย์ เธอเริ่มแสดงความเป็นเจ้าของ เธอคิดว่าอาจารย์เป็นของเธอเพียงคนเดียว เอาล่ะ ฉันก็มีประสบการณ์เช่นนี้กับลูกศิษย์ผู้ติดตามฉันบางคน ดังนั้นฉันจึงเรียนรู้ได้ดีกว่ากฤษณะ ฉันไม่ใช้ผู้ติดตามคนเดิมตลอดเวลาหรอก ฉันเปลี่ยนบ้าง อย่างไรก็ตาม ในกรณีของราดาบางทีอาจารย์ก็สุดทนกับราดาเข้าวันหนึ่ง เขาตัดสินใจให้บทเรียนกับเธอ วันหนึ่งเขาบอกกับเธออย่างเป็นความลับ อย่างรักใคร่ ในท่วงทำนองที่โรแมนติก “ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายกับคนเหล่านี้ ทำไมเราทั้งคู่ไม่ไปบางที่ด้วยกันตามลำพัง ฉันไว้ใจแต่เพียงเธอ” ดังนั้น ว้าว! เธอรู้สึกว่า “นั่นไง! นั่นแหละสิ่งที่ฉันอยากจะได้ยิน ท่านเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว แล้วเราก็จะมีเวลาแห่งความสุขด้วยกัน นั่นดีที่สุด” ดังนั้นเธอจึงติดตามเขาไปในทันที กฤษณะเอาแต่เดินและเดินตลอดเวลาในหุบเขาที่ลึกและสูง และแม่น้ำ และหนทางที่ยากแก่การเดินเป็นอย่างมากจริงๆ ราดารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่งและพูดว่า “ฉันไม่สามารถเดินต่อไปอีกแล้ว เหตุใดเราไม่หยุดกันล่ะ?” กฤษณะพูด “ไม่ ไม่ ไม่! เราเกือบจะไปถึงที่นั่นแล้ว เดินต่อไป” ในที่สุดราดาก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้อีก ดังนั้นกฤษณะจึงพูดว่า “โอย ถ้าเช่นนั้น เจ้าต้องการให้ฉันทำอะไร? แบกเจ้าหรือ?” เธอพูดว่า “ใช่ค่ะ แน่นอน! ท่านแบกฉัน” เธอเคยชินกับการทำให้เหลิง เธอคิดว่าอาจารย์เป็นของเธอ เฉกเช่นสามีทั่วๆ ไป ดังนั้นเธอจึงสามารถทำอะไรที่เธอต้องการจากเขาและหลีกหนีไปจากสิ่งนั้นได้ หรือใช้เขาเฉกเช่นคนธรรมดาคนหนึ่ง กฤษณะเสแสร้งตกลงกับเธอและพูดว่า “ตกลง มาสิ” และต้องการที่จะแบกเธอไว้บนหลังของเขา แต่ในทันทีที่เธอกระโจนขึ้นไปบนหลังของเขา เขาก็หายตัวไป เธอรู้สึกล้มแปะลงไปบนพื้น เลือดกำเดาไหลออกมา จมูกที่แบนอยู่แล้วของเธอก็ยิ่งแบนลงไปอีก (เสียงหัวเราะ) เธอนั่งลงอยู่ตรงนั้นและร้องไห้ แล้วเธอก็ตระหนักดีว่าเธอผิดพลาดไปแล้ว เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่กายเนื้อ เธอไม่ควรแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของและยึดติดกับร่างกายของเขาเช่นทรัพย์สินของเธอ เหมือนกับบางสิ่งบางอย่างที่เธอจะสามารถเป็นเจ้าของได้ ดังนั้นเธอจึงกล่าวขอโทษต่ออาจารย์และพูดว่า “ฉันผิดไปแล้ว โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ฉันไม่ควรแสดงความเป็นเจ้าของตัวท่าน ฉันควรเคารพนับถือท่าน ควรช่วยเหลือท่านโดยไม่มีเงื่อนไขโดยปราศจากการร้องขอรางวัลตอบแทนเพื่อตัวของฉันเอง” ถ้าเธอไม่ทำเช่นนั้น เธอก็จะทำให้อาจารย์ตกอยู่ในอันตราย เธอจะผูกมัดอาจารย์ให้ลงมาและจะส่งผลกระทบต่อสรรพสัตว์ที่ติดตามเขาอีกมากมาย เขาคงต้องใช้เวลาอยู่กับเธอตามลำพังเสมอ และทำตามความคิดเพ้อเจ้อชั่วแล่นของเธอทั้งหลายเพื่อเอาใจเธอ ก็เหมือนกับสามีธรรมดาทั่วไป แล้วเขาจะมีเวลาสำหรับคนอื่นได้อย่างไรกัน ดังนั้นเขาต้องควบคุมให้ได้ มิฉะนั้นแล้วเธอก็จะควบคุมเขา นั่นเองเป็นสาเหตุที่ผู้คนส่วนมากถูกผูกติดยึดให้อยู่ในโลกนี้และลืมความยิ่งใหญ่ของตนเองไป บางครั้งก็นักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าพวกเขาถูกผูกมัดกับอารมณ์และผูกมัดกับครอบครัว พวกเขากลับกลายเป็นความเคยชินกับมันและลืมหน้าที่ของตน ดังนั้นหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับประเทศชาติ และส่งผลเลวร้ายมากกับผู้คนของประเทศนั้นๆ กษัตนิย์มากมายล้มเหลวและพ่ายแพ้เพราะสาวงาม เจ้าพนักงานตำแหน่งสูงๆ ผู้ยิ่งใหญ่มากมายหรือวีรบุรุษขายตำแหน่งหน้าที่และประเทศชาติของตนเองก็เนื่องจากอารมณ์ที่เรียกว่า ตัณหา ดังนั้นถ้าหากว่าอาจารย์ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว อาจารย์ก็คงต้องเสร็จไปด้วยแน่นอน “เสร็จ Kaput” เป็นภาษาเยอรมันแปลว่าเสร็จ ไม่ดี ดังนั้นเธอคงเห็น ถึงแม้ว่าถ้าเธอบรรลุสิ่งนั้นครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม เธอก็ต้องขัดเกลามัน ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องนั่งสมาธิทุกวันเพราะว่านิสัยของเราที่ไม่ดี ได้สะสมมาชาติแล้วชาติเล่าหลายๆ ศตวรรษ หลายยุคหลายสมัย ตอนนี้ถ้าพวกเรามีเพียงชาติเดียวที่จะจัดการใหม่กับมัน เปลี่ยนแปลงมันเสีย ดังนั้นอาจารย์ต้องใช้พลังสูงสุดภายในเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนใหม่—ไม่ใช่วิถีทางธรรมดาๆ ดังนั้นปราศจากการประทับจิตแล้ว ปราศจากการใช้ความยิ่งใหญ่ของพวกเธอเองให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแล้ว พวกเธอก็ไม่สามารถจะออกไปจากความยุ่งยากวุ่นวายนี้ได้เลย ไม่ว่าพวกเธอจะใช้มากเท่าไรก็ตาม เพราะว่าอะไรก็ตามที่พวกเธอใช้ก็เป็นเพียงแค่มันสมอง เธอใช้มันสมองของตัวเองซึ่งได้บันทึกนิสัยที่ไม่ดีไว้มากมายอยู่แล้ว ขณะนี้พวกเธอไม่สามารถไล่ตามให้ทันได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ของชั่วชีวิตหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพวกเธอต้องการพลังของอาจารย์ภายในซึ่งพวกเธอมีอยู่แล้ว เธอเพียงแต่จำเป็นต้องการอาจารย์ที่จะมาสัมผัสมันให้กับเธอเพื่อเปิดมันให้เธอ ด้วยความจริงใจของตัวเธอเองเธอก็จะได้รับมันอีกครั้งและได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสูญสียไปกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง..... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet