วันวังเวง....
คีตากะ
“เขา” เป็นเด็กหนุ่มจากต่างจังหวัด ที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ประจำฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง ภายหลังจากถูกชักชวนหลายต่อหลายครั้งจากเพื่อนของเขาคนหนึ่งที่รู้จักกันมานาน ในที่สุดเมื่อเขาตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจซักเท่าไรนักเนื่องจากเหตุผลเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคล เขาก็จำต้องย้ายที่อยู่จากท้องทุ่งอันสงบเงียบ ที่ที่เขาเคยเที่ยวเล่นไปตามริมแม่น้ำลำคลองและคันนาเพื่อทักทายกับสายลมแห่งท้องทุ่งที่เป็นมิตรไม่ว่ายามใด ที่ที่เขามักกระซิบด้วยถ้อยคำแห่งความรักกับต้นข้าวที่กำลังพลิ้วไสวในท้องทุ่งที่ถูกลืม ที่ที่เขามักเจรจากับต้นตาลสูงลิบลิ่วที่ท้าทายแรงลมอย่างห้าวหาญมาชั่วนาตาปี ราวกับว่ามันจะเป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลาและความเสื่อมสลาย ที่ที่เขามักนั่งรำพึงรำพันกับเหล่าดอกบัวสีขาวที่กำลังเบ่งบานท่ามกลางบึงน้ำใสแจ๋วราวกระจก ที่ที่เขามองเห็นความงามของธรรมชาติดุจดังภาพวาด ที่ที่เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจของพระผู้เป็นเจ้าที่กำลังแย้มยิ้มให้แก่ทุกสรรพสิ่ง ที่ที่พระองค์โอบอุ้มชีวิตแม้ต่ำต้อยที่สุด เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่สูงค่าที่สุด ที่ที่เขากับท้องทุ่งหลอมหลวมกันจนแยกไม่ออก
อิสระภาพของเขาถูกแลกเปลี่ยนแทนที่ด้วยทุ่งป่าคอนกรีตที่ไร้ชีวิตชีวา การจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนในเมืองใหญ่ การแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นของผู้คนที่จิตวิญญาณกำลังตายลงทุกขณะ แลกเปลี่ยนกับเงินและผลประโยชน์ที่ตามหลอกหลอนผู้คนราวภูตผีก่อนที่พวกมันจะไร้ค่าลงไป เมื่อพวกเขากลับกลายเป็นภูติผีเสียเอง ความซับซ้อนของเมืองใหญ่ ตั้งแต่ถนนหนทาง ตรอกซอกซอยต่างๆ ไปจนถึงภาวะจิตใจของผู้คนทำให้เขารู้สึกถึงความทุกข์อย่างแสนสาหัส การที่เขาต้องเทียวไปในสถานที่อันน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้น เช่น ตลาด ห้าง ร้านรวงต่างๆ โรงแรม โรงพยาบาล แทบทุกแห่ง ทุกตรอกซอกซอยของกรุงเทพและปริมณฑลเพื่อนำเสนอขายสินค้าผลิตภัณฑ์ของบริษัท บางครั้งบริษัทก็ส่งเขาและเพื่อนของเขาไปทำการตลาดในต่างจังหวัด ช่วงเวลาที่เขาทำงานอยู่ในบริษัทแห่งนี้ เขาได้เดินทางไปจังหวัดต่างๆ ของประเทศเกินกว่าครึ่งหนึ่งและเป็นช่วงเดียวกันของชีวิตที่เขาเดินทางมากกว่าปกติ ถ้าหากเขาไม่ลาออกเสียก่อน คาดว่าเขาอาจได้เดินทางไปจนครบทุกจังหวัดของประเทศ
ในแง่ของประสบการณ์ เขาได้เรียนรู้มากมายจนเกินกว่าจะพร่ำพรรณา ความเป็นคนไม่ค่อยพูดของเขา เป็นอุปสรรคอย่างมากในการทำงานตอนเริ่มต้น เขาถูกฝึกฝนชั้นเชิงการเจรจาในทางธุรกิจและเพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆเมื่อวันเวลาผ่านไป เขาทราบดีว่านี่คือบทเรียนที่เขาจำเป็นต้องเรียน แต่สำหรับเขาแล้วค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไปมันสูงเกินกว่าจะประมาณค่าได้ ความทุกข์ที่เขาต้องประสบมันมากเกินกว่าสรวงสวรรค์ชั้นใดจะแบกรับเอาไว้ เงินนับแสนนับล้านหรือแม้แต่พระราชวังในสวรรค์สำหรับเขาแล้วมันไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับเวลาแม้เพียงเสี้ยวที่ได้อยู่ท่ามกลางท้องทุ่งอันกันดารและปราศจากมนุษย์ผู้ซับซ้อนเหล่านี้
เมื่อความอดทนมาถึงจุดสิ้นสุด หัวใจที่โหยหาธรรมชาติของเขาก็มีชัยชนะเหนือลาภยศตำแหน่งใดๆในโลก เขายินยอมที่จะตายเหมือนสุนัขเถื่อนในท้องทุ่งดีกว่าที่จะใส่สูทผูกเนคไท้นั่งอยู่บนตึกสูง รายล้อมด้วยกำแพงอิฐอันแข็งกระด้างที่ไม่ต่างอะไรกับคุกคุมขังนักโทษ ราวกับนกในกรงทองที่กำลังใกล้ตาย เขาตัดสินใจเขียนจดหมายลาออก แต่ก่อนที่เขาจะส่งมันให้กับผู้จัดการซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทและเป็นเสมือนญาติของเขาคนหนึ่ง เขาได้เดินทางเพื่อไปพักผ่อนตากอากาศในต่างจังหวัด เพื่อให้เขามีเวลามากขึ้นเพื่อพิจารณาและทบทวนเรื่องราวต่างๆ อีกสักครั้งหนึ่ง
เจ้าของบริษัทที่เป็นเหมือนญาติ และหัวหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดีของเขาทำให้เขาตัดสินใจลำบากในการลาออกจากงานที่วิเศษสุดนี้ เขาเดินทางมาถึงน้ำตกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีเวลาพลบค่ำพอดี มีเวลาเพียงน้อยนิดที่เขาจะนั่งเหม่อมองธารน้ำตกที่ไหลลงจากผาสูง ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปี ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมอาณาบริเวณป่าและเขตน้ำตก นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันกลับจนหลงเหลือเพียงตัวเขาและแม่ค้าขายของบางส่วนที่มีบ้านอยู่ระแวกแถวนี้ เขาลุกขึ้นและเดินสำรวจบริเวณแหล่งท่องเที่ยวจนทั่ว ค่ำคืนนั้นเขาพักค้างแรมที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับธารน้ำตกแห่งนั้น
มันเป็นห้องแถวที่เจ้าของสร้างไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อมาเช่าค้างคืน มันตั้งอยู่ริมเชิงเขา ท่ามกลางป่ารกทึบ อาคารมีสภาพเก่าและเริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เขาสังเกตเห็นว่าค่ำคืนนี้ห้องเช่าทุกห้องว่างเปล่า มีเพียงเขาคนเดียวที่มาเช่าในช่วงเวลาที่ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ห้องของเขาจึงเป็นเพียงห้องเดียวที่เปิดไฟ ปกติเขาเป็นคนรักสันโดษไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร บรรยากาศเงียบสงบแบบนี้น่าจะเหมาะกับเขาอย่างมาก แต่บางทีมันอาจจะเงียบเกินไปจนเข้าขั้น “วังเวง” ภายหลังจากที่เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง เขาก็ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย แต่แล้วมีบางสิ่งบางอย่างปลุกเขาให้ลุกขึ้นมากลางดึก เขาสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขากำลังถูกท้าทายจากบางสิ่งที่ไร้ตัวตน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
เขาลุกขึ้นนั่งและเข้าสมาธิเพื่อตรวจดู ระหว่างที่เขากำหนดจิตเพื่อดิ่งลงสู่สมาธิอยู่นั้น คล้ายกับว่าสิ่งไร้รูปสิ่งนั้นพยายามสำแดงตัวตนให้ปรากฏ เจตนาอาจเพียงเพื่อขับไล่เขาออกไป ด้วยการสำแดงกลิ่นเน่าเหม็นดุจซากศพออกมา ทันทีที่เขาสูดได้กลิ่นดุจซากศพนั้นแล้ว เขาครุ่นคิดว่าคืนนี้คงต้องเผชิญกับบททดสอบกำลังแห่งสมาธิเป็นแน่แท้ และสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่คือสัตว์ไร้รูปผู้มีฤทธิ์เดช แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาบอกกับตัวเองว่า”จะไม่ยอมหวาดหวั่นและลืมตาออกจากสมาธิจนกว่ามันจะยอมพ่ายแพ้ศิโรราบไปเอง เจตนาของมันเพียงต้องการให้เรายอมจำนนเท่านั้น” เมื่อสัตว์ไร้รูปตนนั้นเห็นว่ากลิ่นเน่าเหม็นไม่อาจทำอะไรเขาได้ มันจึงเนรมิตด้วยกำลังแห่งอิทธิบันดาลให้ไฟในห้องดับสนิท เขายังคงสงบแน่วนิ่งไม่ไหวติง นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนอยู่เช่นนั้น โดยไม่มีความหวาดหวั่นพรั่นพรึงใดๆ แม้แต่น้อย แม้ภายในห้องจะมืดสนิทและเงียบวังเวง หากแต่เขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของสัตว์ไร้รูปตนนั้น มันยังคงวนเวียนอยู่รอบๆกายของเขา แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ไม่นานหลังจากนั้นไฟฟ้าแสงสว่างก็พลันสว่างขึ้นมาเองอีกครั้ง เขาพลันลืมตาและลุกขึ้นบิดขี้เกียจคราหนึ่ง พลันครุ่นคิดว่าหากค่ำคืนนี้เขาเผลอนอนหลับคงจะได้ประสบกับสัตว์ไร้รูปตนนั้นเป็นแน่แท้ เขาจึงตั้งใจว่าคืนนั้นจะไม่นอนและนั่งสมาธิไปจนเช้า แต่แล้วความง่วงจากความอ่อนเพลียจากการเดินทางก็ทำให้เขาเผลอหลับไปในที่สุด
มันมีรูปลักษณ์น่าขยะแขยงที่สุด ลำตัวของมันคล้ายปลาหมึกขนาดใหญ่เท่ามนุษย์ มีสีขาว โปร่งแสง มันเนรมิตตัวตนเป็นปีศาจที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันนอนทับอยู่บนตัวของเขาและบันดาลให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ เขาพยามดิ้นรนอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากการกดทับของมันได้ เขาได้เห็นมันอย่างชัดเจนในนิมิตขณะหลับและได้ยินเสียงหัวเราะเยอะเย้ยของมันเสียงดัง “ฮี้ ฮี้ ฮี้ !” ยาวนานดุจดังเสียงของปีศาจจากห้วงอเวจี เมื่อเขาเห็นว่ากำลังแห่งกายทิพย์ไม่อาจต่อสู้กับมันได้ เนื่องเพราะมันมีฤทธิ์มากกว่า เขาจึงสงบจิตเข้าสู่สมาธิในท่านอนทันทีเพราะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่นานจากนั้น เขาพลันสะดุ้งตื่นหลุดรอดจากเวทย์มนต์ของสัตว์ไร้รูปตนนั้น เขาลุกขึ้นนั่งได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง การนอนหลับทำให้เขาเข้าสู่โลกทิพย์หรือโลกแห่งอสุรกายอันเป็นภูมิภพของสัตว์ไร้รูปตนนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างจัง การถูกรบกวนจากสัตว์ไร้รูปสำหรับเขาแล้วนับเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขาเคยเผชิญมาแล้วแทบทุกรูปแบบ ทำให้เขาไม่ค่อยหวาดกลัวมากนัก เพียงแต่ทำให้เขานอนหลับไม่ค่อยเต็มอิ่มและเกิดความรำคาญบ้างเท่านั้น เขานั่งลงบนเตียงและพริ้มตาลงหยั่งเข้าสู่สมาธิอีกครั้งจวบจนใกล้รุ่งสาง เขาก็พลันผล็อยหลับไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการหลับในสมาธิ สัตว์ไร้รูปตนนั้นยังคงมาปรากฏตัว หากแต่ในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป มันแปลงกายเป็นชายชราที่เปี่ยมเมตตาและน่าเคารพ ส่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นมิตร น่าอบอุ่น ทำให้เขาผ่อนคลายและมีความสุขมากกว่าตอนแรกที่เผชิญหน้า ราวกับว่ามันยอมศิโรราบไม่คิดรังควาญเขาเวลานอนหลับอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตื่นขึ้นมาคล้ายกับผ่านทั้งฝันร้ายและฝันดีมาเพียงในค่ำคืนเดียว พลังสมาธิทำให้เขาเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่จะสู้ชีวิตต่อไป เขาจ่ายค่าห้องพักกับเจ้าของห้องพักและเดินทางจากไปเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้น บททดสอบที่มีคุณค่าครั้งนี้ทำให้เขามีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น หากแต่กล่าวกันว่าทุกสถานการณ์ที่เราต้องประสบในท่ามกลางชีวิตล้วนแล้วแต่ตัวเราเป็นผู้ดึงดูดเข้ามาด้วยความไม่รู้หรือรู้ผิดแทบทั้งสิ้น การตรวจสอบตัวเองทุกขณะจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก การมองเห็นข้อบกพร่องของคนอื่น นั่นก็คือความบกพร่องของตัวเราเอง สำหรับผู้ที่มีอิสระภาพทางจิตวิญญาณย่อมปราศจากการทดสอบใดๆ และไม่ควรมีปัญหาหรือข้อสงสัยใดๆ อีก การคอยสอดส่องจิตใจของตัวเองไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในอำนาจของความเคยชินในอดีต ความเคยชินต่างๆ ที่ไม่ดีโดยเฉพาะ “ความกลัว” จึงอาจสามารถแก้ไขลุล่วงไปได้ หนทางข้างหน้าก็จะเตียนโล่ง จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็พบแต่ความสงบสุข ซึ่งเป็นความสุขสูงสุดที่มีต้นทุนต่ำที่สุด แต่เพราะเหตุใด?มนุษย์เราจึงแสวงหาความสุข ที่ต้องจ่ายต้นทุนค่าตอบแทนมากมายขนาดนั้น บางครั้งอาจต้องแลกด้วยชีวิตเพียงเพื่อวัตถุเพียงเล็กน้อยที่ได้มา พร้อมดอกเบี้ยแห่งความทุกข์ที่เพิ่มมากขึ้น หาใช่ความสุขที่เคยวาดหวังไม่ !
ภายหลังจากที่เขากลับมาจากการท่องเที่ยวน้ำตก เขาทำงานได้อีกไม่นานก็ลาออกและเก็บตัวบำเพ็ญสมาธิในห้องเช่าบริเวณชานเมืองเป็นเวลา ๔๐ กว่าวันจนลืมเลือนกาลเวลา ความสงบสุขที่เขาได้รับเกินกว่าจะใช้ภาษาใดๆ บนโลกบรรยายร้อยเรียงเป็นถ้อยคำออกมาได้ พร้อมกับประสบการณ์ชีวิตที่ยากจะลืมเลือน.....
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet