จิบน้ำชาวิจารณ์กระบี่ ทั่วปฐพีเป็นไปในใต้หล้า ดีชั่วแจ้งเจนจบทั้งโลกา เพียงตัวข้าบ่แจ้งยังแคลงคลาง... ณ โรงน้ำชาเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณเชิงเขา ภายใต้สุมทุมพุ่มไม้และป่าไผ่อันร่มรื่นราวกับสวรรค์ที่น้อยครั้งจะพบพาน มีป้ายหน้าร้านเขียนคำว่า “โรงน้ำชาใบไผ่” สถานที่แห่งนี้คล้ายไม่ได้สถิตอยู่บนโลกหล้าอันมีแต่ความวุ่นวาย แก่งแย่งแข่งขันและชิงดีชิงเด่นกันของเหล่ามวลมนุษย์ก็ปาน ราวกับว่ามันถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง นานๆ ครั้งจะมีผู้คนแวะผ่านมาจิบน้ำชาที่โรงน้ำชาแห่งนี้สักคราหนึ่ง แต่วันนี้ดูเหมือนจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง.... ยุทธภพแก่งแย่งล้วนแข่งขัน มุ่งฟาดฟันบ่เว้นหมายเข่นฆ่า ปลีกเร้นกายร่มพฤกษ์ไพรพนา เพียงหรรษาปล่อยวางกลางป่าพง.... เนื่องจากยามสายวันนี้มีลูกค้าเป็นชายแปลกหน้า ๒ คน คนหนึ่งเป็นชายฉกรรจ์หนวดเครารกครึ้มท่าทางของมันคล้ายว่ามีอายุอาวุโสกว่าชายอีกคนหนึ่งที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลากว่า แต่สิ่งหนึ่งที่ชายทั้งสองมีลักษณะที่แทบจะเหมือนกันก็คือพวกมันล้วนมีสภาพซอมซ่ออย่างยิ่ง เสื้อผ้าที่พวกมันสวมใส่ล้วนเก่าขาดผ่านการเย็บปะชุนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ผ้าเช็ดโต๊ะในร้านยังอาจจะมีสภาพดีกว่า สะอาดกว่า แม้เถ้าแก่ร้านจะคาดการณ์ได้หลายส่วนว่าภายหลังจากที่พวกมันร่วมดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญแล้วนั้น กลับไม่แน่นักว่าพวกมันจะมีเงินจ่ายค่าน้ำชาอาหาร หากแต่เถ้าแก่เป็นคนมีใจคอกว้างขวางเสมอมา ต้อนรับขับสู้ลูกค้าอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันและอย่างดีเยี่ยม เป็นที่เลื่องลือ มันคิดว่าอย่างน้อยการได้คบหาสหายยังมีคุณค่ากว่าผลกำไรมากนัก มันยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสแสดงไมตรีจิตออกมาอย่างเปิดเผยจริงใจตามปกติต่อชายแปลกหน้าทั้งสองคน ถึงแม้จะไม่ล่วงรู้ความเป็นมาของพวกมันก็ตาม เมื่อเถ้าแก่ยกน้ำชาและอาหารมาวางบนโต๊ะ รินน้ำชาให้ครั้งหนึ่ง มันก็ปลีกตัวออกไปยังข้างหลังร้านอย่างเงียบๆพบพานฤาพลัดพรากยากกำหนด วันคืนหมดเปลืองไปในความฝัน จ่อมจมทุกข์ไปไยให้จาบัลย์ ควรสุขสันต์กินดื่มลืมเป็นมา... ทะเลทุกข์กว้างไกลไร้ฟากฝั่ง ได้มานั่งร่วมเรียงเคียงสังสรรค์ ใช่ง่ายดายพบหน้าพาผูกพัน ล้วนสวรรค์สรรค์สร้างเส้นทางเดิน... ชายชาวยุทธ์แปลกหน้า ๒ คนนั่งจิบน้ำชาและรับประทานอาหารพร้อมกับเจรจากันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินแทบลืนเลือนวันเวลา พวกมันเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันที่เพิ่งกลับมาพบกันในรอบหลายสิบปี ดังนั้นพวกมันจึงมีเรื่องราวสนทนากันมากกว่าปกติอยู่บ้าง เสียงหัวร่อของพวกมันดังไปจนถึงหลังร้านน้ำชา ขณะที่เถ้าแก่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บใบชาที่ตากแดดจนแห้งได้ที่และนำใบชาใหม่ออกมาตากแทน หูของมันก็คอยเงี่ยฟังถ้อยคำสนทนาของชายทั้งสองเผื่อว่าพวกมันจะเรียกใช้บริการจากมันอีก เถ้าแก่พอจับใจความได้ว่าชายที่มีหนวดเครารกครึ้มนั้นอาวุโสกว่าและเป็นศิษย์ผู้พี่ ส่วนชายอีกคนที่มีท่าทีเจ้าสำราญและอ่อนเยาว์กว่านั้นเป็นศิษย์ผู้น้อง พวกมันสนทนากันด้วยถ้อยคำดังนี้.... ศิษย์พี่ : แผ่นดินกว้างใหญ่ปานใด พวกเราสองคนได้พบพาน มีโอกาสได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันเพื่อสังสรรค์นับว่าเป็นโอกาสที่หายากอย่างยิ่ง เชิญ! มันยกจอกน้ำชาขึ้นเชื้อเชิญฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับดื่มรวดเดียวลงคอไป ชายอีกคนพลันหัวร่อออกมา ยกจอกน้ำชาขึ้นมาดื่มลงไปรวดเดียวเช่นกัน และพลันเอ่ยวาจาแสริมว่า ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา นับเป็นวาสนาของข้าพเจ้าอย่างแท้จริงที่มีโอกาสพบพานกับท่านผู้อาวุโสศิษย์ผู้พี่วันนี้ ภายหลังจากท่านอาจารย์ปลีกวิเวกเร้นกายบำเพ็ญเพียรภาวนา วางมือจากยุทธภพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกียวิสัยอีก พวกเราก็ไม่มีโอกาสได้พบพานกันจนบัดนี้ นับเป็นวาสนา เป็นวาสนาอย่างแท้จริง สมควรดื่มกินให้มากไว้ ท้องฟ้ากว้างวิหคโผผกผิน ผืนแผ่นดินใหญ่ยิ่งหลากสิงห์สา ต้นไม้โตเสรีมีนับคณา เหตุใดชนในโลกหล้าว้าวุ่นวาย... ศิษย์พี่ : อาจารย์นับเป็นปราชญ์เดินดิน มีความเคลื่อนไหวไร้ร่องรอยดุจดังเทพยดา รู้แจ้งเจนจบในใต้หล้า น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ามีวาสนาเพียงน้อยนิด ได้ศึกษาเล่าเรียนจากท่านเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น นับเป็นศิษย์ที่ไม่ได้ความ อ่อนด้อยยิ่งนัก ! ศิษย์น้อง : หากท่านนับเป็นศิษย์อ่อนด้อยไม่ได้ความ ข้าพเจ้าคงต้องจัดเป็นศิษย์ที่โง่งมอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินแล้ว ฮา ฮา ฮา ศิษย์พี่ : เพราะเหตุอันใด? ศิษย์น้อง : ภายหลังจากข้าพเจ้าฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้พบกับท่านอาจารย์เพียง ๕ ครั้ง ไหนเลยเทียบกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่ยังเคยอยู่เฝ้าปรนนิบัติรับใช้ท่านอาจารย์มานานนับแรมปีเล่า ! ศิษย์พี่ : ท่านออกจะกล่าวถ่อมตนมากไปแล้ว วีรกรรมของท่านโด่งดังไปทั่วยุทธภพ ท่านเพียงผู้เดียว มือปราศจากกระบี่ กลับสามารถโค่นล้มพรรคอสูรที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งยุคเพียงชั่วข้ามคืนลงได้ มิหนำซ้ำท่านยังสามารถสยบหัวหน้าพรรคอสูรผู้มีวรยุทธไร้เทียมทานได้เพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น ในรอบหนึ่งร้อยปีมานี้นอกจากท่านแล้ว ไหนเลยมีบุคคลที่สองที่มีความสามารถถึงระดับนี้ พรรคอสูรที่มีบริวารนับแสนถึงการล่มสลายล้วนเป็นฝีมือของท่านแต่เพียงผู้เดียว หากท่านจัดเป็นตัวโง่งมอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินแล้ว ข้าพเจ้าผู้ไร้ความสามารถจะนับเป็นตัวอะไรเล่า? มือปราศจากกระบี่บีฑายุทธ์ กุมอาวุธในใจไร้ต่อต้าน หากจิตใจไร้กระบี่ขาดวิญญาณ มือถืออาวุธสังหารพานไร้ค่า... ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าแม้มักสยบศัตรูโดยปราศจากอาวุธก็จริง แต่หากเทียบกับท่านแล้ว ข้าพเจ้านับเป็นเพียงเด็กทารกน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น ฮา ฮา ศิษย์พี่ : เพราะเหตุอันใด? ศิษย์น้อง : รับฟังมาว่ามียอดฝีมือเร้นลับผู้หนึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นเพียงไม่นานมานี้ในยุทธภพ แต่เรื่องราวที่มันกระทำล้วนเป็นเรื่องราวสะเทือนฟ้าสะท้านแผ่นดินแทบทั้งสิ้น กล่าวกันว่ามันเป็นบุรุษนิรนามผู้หนึ่ง พกพากระบี่เก่าคร่ำคร่าโบราณเล่มหนึ่ง มันไร้ชื่อแซ่ ปราศจากชื่อเสียงเรียงนาม ไปมาไร้ร่องรอย ยังไม่เคยมีใครพบเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันมาก่อน มันพลันปรากฏกายขึ้นในยุทธภพดุจดังภูตพราย ภายหลังจากสร้างวีรกรรมอันสะท้านแผ่นดินหลายต่อหลายครั้ง มันกลับอันตธานหายไปราวกับล่องหนหายตัวได้ก็ปาน! จนบัดนี้เหล่าจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายในใต้หล้าต่างล้วนไม่อาจข่มตานอนหลับยามค่ำคืนได้ พวกมันล้วนตกอยู่ในความอกสั่นขวัญแขวน ยุทธจักรก่อเกิดมรสุมร้ายแรงไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ก็ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุมาจากจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้น ! จับกระบี่ดั่งพู่กันบรรจงวาด ประหนึ่งปราชญ์รำร่ายกายผสาน สอดคล้องธรรมล้ำลึกผนึกปราณ ยังหมู่มารสยบไตรภพภูมิ.... ศิษย์พี่ : มันสร้างวีรกรรมอันน่าแตกตื่นอันใด จึงสามารถทำให้ยุทธภพปั่นป่วนได้ถึงเพียงนี้? ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา มันมิได้สร้างเรื่องราวใหญ่โตอันใดนัก ! หากแต่ข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วยุทธจักรเวลานี้ เนื่องเพราะมันมีชัยชนะจากการท้าประลองยุทธ์กับ “มือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน” ฉายากระบี่เดียวปลิดชีพ มันได้ชัยโดยใช้เพียง ๓ กระบวนท่าเท่านั้น เรื่องราวที่มันกระทำครั้งนี้ เกรงว่ายังไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีตและคงไม่มีใครสามารถกระทำได้อีกในอนาคตแล้ว ! ศิษย์พี่ : มันสามารถเอาชนะมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินลงได้อย่างง่ายดายปานนั้นนับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์จริงๆ ปัจจุบันมันไยมิใช่กลายเป็นกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินไปแล้ว! ศิษย์น้อง : ฮา ฮา กล่าวไปก็น่าขบขันอย่างยิ่ง ในอดีตที่ผ่านมาจอมยุทธ์ผู้ผ่านการประลองยุทธ์กับยอดฝีมือจนถึงระดับขั้น “ไร้ผู้ต่อต้าน” จนท่านกลับกลายเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ไม่อาจมีผู้ใดสามารถเอาชนะมันได้อีกแล้วนั้น ตลอดทุกยุคทุกสมัยพวกท่านต่างล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียง เป็นที่นับหน้าถือตา และได้รับความเคารพยำเกรงจากเหล่าบรรดาจอมยุทธ์ทั้งหลาย ฮา ฮา แต่น่าเสียดายจอมยุทธ์นิรนามผู้นี้กลับไม่เคยมีใครพบเห็นใบหน้าของมันมาก่อน กระทั่งยังปราศจากชื่อแซ่และไม่ยอมเปิดเผยตัวตน ตำแหน่งมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินจึงไม่ทราบสมควรจะมอบให้แก่ผู้ใด ! ลาภยศชื่อเสียงเพียงสมมุติ จุดสูงสุดคืนสามัญอันเปล่าว่าง หลอมกายใจเป็นหนึ่งจึงเบาบาง ทุกก้าวย่างดุจเหินเดินเมฆินทร์... ศิษย์พี่ : บรรดาเหล่าจอมยุทธ์ที่เคยประลองกระบี่กับมันเล่า ไยไม่เคยพบเห็นใบหน้าของมันมาก่อน? ศิษย์น้อง : ร่ำลือว่าปกติใบหน้าของมันจะสวมหน้ากากหนังใบหนึ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นเองอยู่ตลอดเวลา แม้ขณะเวลาประลองยุทธ์มันก็ไม่เคยปลดออก อีกประการหนึ่งผู้ที่เคยประลองกระบี่กับมันส่วนใหญ่ ภายหลังจากนั้นต่างล้วนเป็นใบ้ไม่อาจกล่าววาจาใดๆได้อีกตลอดกาล ! จึงมิอาจระบุรูปพรรณสัณฐานของมันได้ ศิษย์พี่ : พิสดารยิ่งนัก! หรือมันมีเวทย์มนต์ คุณไสยอันใด จึงสามารถทำให้ผู้คนถึงกับเป็นใบ้ไม่อาจกล่าววาจาได้อีก? ศิษย์น้อง : บ่งบอกไปก็รวบรัดอย่างยิ่ง สาเหตุที่พวกมันกลับกลายเป็นใบ้ ไม่อาจกล่าววาจาได้อีก เนื่องเพราะพวกมันภายหลังจากประลองกระบี่กับจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้นแล้ว ต่างล้วนตกตายหมดสิ้น คนตายย่อมไม่อาจกล่าววาจาใดๆ ได้อีก มิหนำซ้ำนอนแน่นิ่งดุจดังเป็นใบ้ก็ปาน ! ศิษย์พี่ : ฝีมือของมันไยถึงอำมหิตถึงเพียงนี้ ไร้น้ำใจถึงเพียงนี้ นี่คงเป็นสาเหตุให้บรรดาจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายต่างพากันหวาดหวั่นพรั่นพรึง เนื่องเพราะเกรงกลัวว่ามันจะไปเยี่ยมเยือนถึงชายคากระมัง? ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา บุคลิกอันแปลกประหลาดของจอมยุทธ์เร้นลับผู้นี้ยากยิ่งที่จะเข้าใจได้จริงๆ แต่หากกล่าวถึงความอำมหิต ข้าพเจ้าอาจไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง ศิษย์พี่ : เพราะเหตุอันใด? ศิษย์น้อง : ข้าพเจ้าพิจารณาจอมยุทธ์ที่ตกตายใต้คมกระบี่ของมันแล้ว เห็นว่าพวกมันล้วนต่างสมควรตกตายเป็นอย่างยิ่ง พวกมันต่างล้วนเป็นวิญญูชนจอมปลอม สวมหน้ากากเล่นบทผู้ทรงคุณธรรม แต่ฉากเบื้องหลังต่างล้วนมืดดำอย่างยิ่ง บ้างก็ค้าขายยาเสพติด บ้างก็ค้ามนุษย์ บ้างก็โกงฉ้อฉลทุจริตคอรัปชั่น บ้างก็เป็นฆาตรกรผู้บงการอยู่เบื้องหลัง พวกมันอาศัยเงิน อำนาจ บารมีสามารถติดสินบนเจ้าพนักงานได้ บุคคลเหล่านี้ต่างล้วนมีชื่อเสียงในยุทธภพแทบทั้งสิ้น ชาวยุทธ์ต่างคิดว่าพวกมันเป็นวิญญูชน ! ต่างน้อมเศียรให้ความเคารพบูชาแทบหมดใจ เกรงอกเกรงใจแทบตาย ! ศิษย์พี่ : แต่การฆ่าคนโดยพละการย่อมผิดทั้งศีลธรรมและกฎหมายบ้านเมือง สมควรหาหลักฐานเบิดโปงความเลวร้ายของเหล่าคนชั่วแล้วนำตัวส่งทางการ มิสมควรกว่าหรอกหรือ? ศิษย์น้อง : บางครั้งนี่ก็อาจเป็นผลกรรมของพวกมัน พวกมันอาจต้องได้รับจุดจบเยี่ยงนี้ ก็อาจเป็นได้! ศิษย์พี่ : ท่านทราบหรือไม่ว่าจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้นเป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไร? ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา ข้าพเจ้าไหนเลยไม่ทราบได้ จอมยุทธ์เร้นลับผู้นั้นหาใช่ใครไม่ ก็คือท่านนั่นเอง ! ศิษย์พี่ : ฮา ฮา ฮา ท่านคงเสียสติไปแล้ว จอมยุทธ์ไร้ผู้ต่อต้าน ฝีมือเยี่ยมยุทธ์ไร้ตำหนิสูงส่งและหมดจดเช่นนั้น ไหนเลยกลับกลายเป็นข้าพเจ้าไปได้ ท่านกล่าวล้อเล่นแล้วกระมัง? ศิษย์น้อง : เพลงกระบี่ที่มันใช้ล้วนไม่มีจารึกอยู่ในคัมภีร์เล่มใดในทุกค่ายสำนัก แม้แต่ในวัดเส้าหลินที่เป็นแหล่งรวบรวมวิชายุทธ์แทบทุกแขนงของแผ่นดินก็ยังไม่ปรากฏวิชากระบี่เยี่ยงนั้น! นอกจากท่านแล้วยังจะมีผู้ใด? ศิษย์พี่ : ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ผู้ก่อตั้งและอดีตจ้าวอาวาสวัดเส้าหลิน เป็นปราชญ์ผู้บรรลุธรรมเหนือโลก คัมภีร์ยุทธ์ในวัดต่างล้วนแฝงปรัชญาลึกล้ำเหนือวิสัยปุถุชน ผู้จะฝึกฝนวิชาต้องสำรวมกาย วาจา ใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ปรับพื้นฐาน ฝึกพลังลมปราณนานนับปี กว่าจะได้รับอนุญาตให้ฝึกปรือยอดยุทธ์ได้ มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ต้องปลงผมออกบวชเพื่อรักษาศีล ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ตลอดชีพ จึงอาจฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสูงสำเร็จได้ จุดมุ่งหมายก็เพื่อรักษาสุขภาพและปฏิบัติธรรมเพื่อสำเร็จมรรคผลตามแนวทางพุทธศาสนา เหตุใดเพลงกระบี่ของจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้น จึงไม่พบในวัดเส้าหลินอันเป็นแหล่งรวบรวมคัมภีร์ยุทธ์ในใต้หล้า? นับเป็นเรื่องราวที่น่าขบคิดจริงๆ ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา แม้คัมภีร์ยุทธ์ของเส้าหลินจะเป็นหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน พลังฝีมือก็ไร้ผู้ต่อต้าน สร้างชื่อเสียงมายาวนานนับพันปีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็จริงอยู่ หากแต่นั่นก็เป็นแค่เพียงเศษซากตำราเท่านั้น หามีคุณค่าเท่าใดไม่ ! ศิษย์พี่ : เพราะเหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น มิเป็นการดูแคลนวัดเส้าหลินอันกระเดื่องเลื่องแผ่นดินหรอกหรือ? ศิษย์น้อง : ข้าพเจ้าไหนเลยบังอาจเช่นนั้น หากแต่เพลงกระบี่ที่มีการจดจารจารึกเอาไว้ในตำราคัมภีร์ใดๆ ก็ย่อมหาใช่เรื่องยากเย็นเกินไปที่ใครๆ ต่างล้วนหมั่นฝึกปรือจนสำเร็จได้ มาตรแม้นใครๆ ก็ต่างฝึกฝนจนสำเร็จได้ถึงจะใช้เวลานับ ๑๐ ปีก็ตาม ถ้าเช่นนั้นตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินใครๆ ก็ล้วนต่างเป็นได้ไม่ยากเย็นเฉกเช่นเดียวกัน ท่านคงทราบกระมังว่านับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันผู้ครองตำแหน่งกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินล้วนศึกษาคัมภีร์ของทุกค่ายสำนักจนแตกฉานแล้วสามารถสร้างสรรค์ยอดวิชายุทธ์ขึ้นมาใหม่ได้เอง จนถึงระดับไม่มีผู้ใดต่อกรรับมือกับมันได้ ตามความเห็นของข้าพเจ้า จอมยุทธ์นิรนามผู้นั้นมิเพียงแตกฉานวิชายุทธ์ของทุกค่ายสำนัก มิหนำซ้ำสร้างสรรค์เพลงกระบี่ออกมาตามแนวทางของตนได้จนสำเร็จ ! ถึงขั้นเผาตำรา ใช้ใจควบคุมเพลงกระบี่ พลิกแพลงตามจินตนาการ... ศิษย์พี่ : ฮา ฮา ไม่พบพานกันนานปี ท่านกลับมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้ นับถือ นับถือ ! ข้าพเจ้าขอคารวะอย่างจริงใจ แต่น่าเสียดายที่ท่านคำนวณผิดไปประการหนึ่ง ศิษย์น้อง : เรื่องราวอันใด? ศิษย์พี่ : ข้าพเจ้าอาจเป็นจอมยุทธ์นิรนามผู้เร้นลับผู้นั้น แต่หาได้เคยฆ่าคนแม้แต่คนเดียวไม่ แมลงสักตัวข้าพเจ้ายังไม่เคยกระทบถูกมาก่อน ไหนเลยจะมีจิตใจอำมหิตเยี่ยงนั้น? ในยุทธจักรออกจะร่ำลือจนเกินความจริงไปบ้าง ! ศิษย์น้อง : ถ้าหากเช่นนั้น ใครเล่าเป็นผู้เข่นฆ่าวิญญูชนจอมปลอมเหล่านั้นจนแทบหมดสิ้น? ศิษย์พี่ : ฟังว่ามียอดขุนโจรผู้หนึ่งที่ทางการกำลังต้องการตัว มันมักชมชอบปล้นสะดมทรัพย์สินของคนร่ำรวย แล้วนำไปบริจาคแจกจ่ายให้แก่คนยากจน มันมีพฤติกรรมแปลกประหลาดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า มันเพียงชมชอบเข่นฆ่าคนเลวร้าย ขอเพียงให้มันสืบเสาะทราบว่าใครที่มีนิสัยฉ้อโกงเลวร้ายต่อชาวบ้าน มันจะไปเยี่ยมเยือนทันที ประจวบเหมาะกับข้าพเจ้าที่โค่นกระบี่เดียวปลิดชีพลงได้พอดี มันจึงถึงโอกาสแอบอ้างชื่อเสียงของข้าพเจ้าในนามจอมยุทธ์นิรนามกำจัดเหล่าคนชั่วไปจนแทบสิ้นซาก ข้าพเจ้าเองก็พยายามสืบเสาะหาตัวมันมานาน เพียงเพื่อต้องการสอบถามมันดูว่าเพราะเหตุใดจึงแอบอ้างชื่อของข้าพเจ้า จนเดินทางมาถึงโรงน้ำชาแห่งนี้ และบังเอิญได้พบเจอท่านพอดี ศิษย์น้อง : ท่านคงทราบว่าจอมโจรผู้นั้นเป็นใครแล้วกระมัง? ศิษย์พี่ : เดิมทีข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่บัดนี้ข้าพเจ้าย่อมทราบแล้ว ! ศิษย์น้อง : หรือว่าเป็น.....? ศิษย์พี่ : ใช่แล้ว พอข้าพเจ้ามาถึงก็ทราบทันทีว่าเป็นมัน ! มันคือเถ้าแก่โรงน้ำชาแห่งนี้นี่เอง ! ทันทีที่จอมยุทธ์ทั้งสองกล่าวถ้อยคำจบลง ทั้งคู่ต่างก็พากันวิ่งไปยังหลังร้านน้ำชา บริเวณโดยรอบเป็นป่าไผ่ร่มรื่น เงียบสงบ ปราศจากสุ้มเสียงใดๆ ปราศจากเงาร่างของผู้คน ใบชาใหม่ยังคงตากอยู่ในตะแกรงท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเที่ยงที่แรงจัด ราวกับยึดถือแผ่นดินต่างเขียง เห็นส่ำสัตว์เป็นผักปลาก็ปาน! บนฝาผนังมีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกปักเอาไว้ด้วยมีดสั้นเล่มหนึ่ง มีดบางคมกริบสะท้อนแสงภายใต้ดวงอาทิตย์เสียดแทงถึงลูกนัยตา ชายผู้เป็นศิษย์พี่ถอดมีดเล่มนั้นออกมา ในแผ่นกระดาษมีข้อความเขียนด้วยลายมือบรรจงอย่างปราณีตมีใจความว่า... ผู้ต่ำต้อยขอคารวะจอมยุทธ์ทั้งสองท่าน ที่มาช่วยอุดหนุนร้านของเราในวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเบิกบานใจอย่างยิ่ง และต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ช่วยเล่าวีรกรรมของข้าพเจ้าที่ผ่านมาอย่างกระจ่าง ข้าพเจ้าใคร่คำนวณแล้วว่าพวกท่านคงไม่จ่ายค่าน้ำชาอาหารเป็นแน่ ข้าพเจ้ายอมรับนับถือคุณธรรมของท่านทั้งสองตลอดมา วันนี้นับเป็นโอกาสอันดียิ่งจึงใคร่ขอเลี้ยงน้ำชาอาหารให้แก่ท่านเป็นการตอบแทนความเอื้ออารี มิหนำซ้ำยังขอมอบโรงน้ำชาเล็กๆ แห่งนี้ให้แก่ท่านอีกด้วย หวังว่าพวกท่านคงไม่ถึงกับลาญน้ำใจข้าพเจ้ารับเอาไว้ด้วยความเต็มใจ ข้าพเจ้าคงต้องหาธุรกิจใหม่ทำต่อไป ผู้น้อยขอเสียมารยาทและขออำลา..... ขออภัยที่ไม่ได้อยู่ร่วมสนทนาและน้อมส่ง เจ้าของร้านน้ำชาใบไผ่ จอมยุทธ์ทั้งสองต่างมองหน้ากันและกัน ก่อนจะเดินกลับมานั่งโต๊ะน้ำชาอย่างเงียบๆ พร้อมกับเริ่มต้นสนทนา... ศิษย์น้อง : ข้าพเจ้ากลับดูไม่ออกว่ามันจะเป็นยอดฝีมือเร้นกายผู้หนึ่ง ศิษย์พี่ : ข้าพเจ้าพบมันครั้งแรกก็ไม่ทันขบคิดใคร่ครวญ หากแต่เพียงสงสัยว่าเหตุใดรังสีการฆ่าฟันของมันจึงรุนแรงยิ่งนัก ในเมื่อมันมิใช่ชาวยุทธ์ จนกระทั่งข้าพเจ้าสังเกตุเห็นข้อพิรุธหลายประการตอนหลังและเริ่มลำดับความคิดจึงเริ่มเข้าใจ ศิษย์น้อง : ข้อพิรุธอันใด? ศิษย์พี่ : มือของมัน ! ศิษย์น้อง : แต่ข้าพเจ้ากลับสังเกตเห็นมือบุรุษที่คล้ายมือของสตรีนางหนึ่งของมัน คล้ายอ่อนนุ่มไม่เคยฝึกปรือวรยุทธ์มาก่อน กระทั่งอาจไม่เคยหยิบจับอาวุธใดๆ มันไหนเลยจะเป็นจอมยุทธ์ได้? อย่างมากก็จับมีดหั่นผักเท่านั้น ! ศิษย์พี่ : ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นเช่นนั้น ที่ข้าพเจ้ากล่าวว่ามือของมันนั้นหมายถึงวิธีการใช้มือของมันต่างหาก หาใช่มือของมันไม่ มิเพียงเวลาที่มันรินน้ำชาเท่านั้นที่ผิดปกติ หากแต่มันยังสามารถเล่นแร่แปรธาตุได้อีกด้วย ! ศิษย์น้อง : มีความพิเศษพิสดารอย่างไรหรือ? ท่านลองบอกมาฟังดู ศิษย์พี่ : เรื่องราวก็คือว่าตอนแรกที่ข้าพเจ้ามาถึงโรงน้ำชาแห่งนี้ ข้าพเจ้าไม่พบว่ามีการจุดฟืนก่อไฟ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปที่ในห้องครัวก็ไม่พบผู้ใด เพียงพบว่าไหน้ำชาและสุราล้วนว่างเปล่า ห้องครัวแห่งนี้คล้ายไม่เคยถูกใช้งานมานานแรมปี ข้าพเจ้าจึงเดินไปที่หลังร้านก็พบเพียงใบชาที่ตากแดดอยู่ในตะแกรงเท่านั้น ปราศจากเงาร่างผู้คน จนข้าพเจ้าเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารนี้ เถ้าแก่ร้านก็พลันปรากฏกายขึ้นดั่งราวภูตพราย มันเดินมายืนอยู่เบื้องหลังข้าพเจ้าโดยที่ข้าพเจ้าหารู้ตัวไม่ ในยุทธภพมีเพียงบุคคล ๒ คนที่ทำเยี่องนี้กับข้าพเจ้าได้ ศิษย์น้อง : ยังมีผู้ใดที่สามารถปรากฏกายเบื้องหลังท่านได้โดยที่ท่านไม่รู้ตัวอีก? มันจะต้องมีวิชาตัวเบาสูงส่ง เลิศภพจบแดนเป็นแน่แท้! ศิษย์พี่ : หนึ่งในนั้นคือท่านอาจารย์ผู้อาวุโส บุคคลที่สองเกรงว่าก็คือมัน ! ศิษย์น้อง : หากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าวรยุทธ์ของมันคงยากเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะจินตนาการถึงได้ ทอดตาทั่วแผ่นดินข้าพเจ้ากลับไม่เคยพบพานมาก่อน กระทั่งฝันก็ไม่เคยฝันถึงมาก่อน อย่าว่าแต่จะเคยได้ยินได้ฟัง ศิษย์พี่ : นั่นเกรงว่ายังไม่แปลกพิสดารเท่าใดนัก ! ศิษย์น้อง : ยังมีอีก? ศิษย์พี่ : ใช่ยังมี! ขณะที่มันยกไหน้ำชามาให้พวกเรา ปรากฏว่าในไหกลับบรรจุน้ำชาเต็มเปี่ยม มิหนำซ้ำยังร้อนระอุมีควันพวยพุ่งออกมา น้ำชามาจากที่ใด ความร้อนมาจากที่ใด? ศิษย์น้อง : มันมิได้ก่อไฟ ไหน้ำชาก็ว่างเปล่า มันเพียงเข้าไปในครัวแล้วก็เดินออกมาชั่วขณะ มันจะเติมน้ำชาได้จากที่ใด? ศิษย์พี่ : จากในอากาศ ! มันใช้พลังหลอมรวมปราณในอากาศให้กลายเป็นวัตถุแล้วเปลี่ยนมาเป็นของเหลวซึ่งก็คือน้ำชาในไห จากนั้นมันแผ่พลังความร้อนจากฝามือลงในไหน้ำชาจนน้ำชาเดือดมีควันพวยพุ่งออกมา ! ศิษย์น้อง : จอมยุทธ์ที่มีพลังฝีมือถึงระดับนี้เกรงว่าในใต้หล้ามีไม่มากนัก แม้แต่ไต้ซือฟางฉายาฝ่ามือทลายเจ็ดขุนเขาเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินองค์ปัจจุบันก็ยังไม่มีวรยุทธ์ถึงเพียงนี้ นั่นรวมถึงมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินฉายากระบี่เดียวปลิดชีพและจอมมารอสูรฉายามังกรพันหน้าหัวหน้าพรรคอสูรที่เพิ่งล่มสลายลง ล้วนต่างไม่มีพลังฝีมือถึงขั้นนี้! ศิษย์พี่ : มิเพียงเท่านั้น! ข้าพเจ้ายังพบว่าเวลาที่มันรินน้ำชาให้แก่ข้าพเจ้า มิเพียงน้ำชาไม่กระเซ็นหกแม้แต่เพียงหยดเดียว ยังพบสิ่งแปลกประหลาดกว่านั้น นั่นคือภายหลังจากที่มันรินน้ำชาแล้ว ปรากฏว่าน้ำชาในไหใบนั้นหาได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ในไหยังคงมีน้ำชาอยู่เท่าเดิม จวบจนมันจากไปพวกเราดื่มกินกันไปเรื่อยๆ น้ำชาในไหจึงลดน้อยลงเหลือเพียงเท่าที่เห็น มันคาดว่าข้าพเจ้าไม่ทันสังเกตความเคลื่อนไหวของมัน แต่ทุกกิริยาอาการของมันล้วนตกอยู่ในสายตาของข้าพเจ้าโดยตลอด ! ศิษย์น้อง : นอกจากท่านอาจารย์ผู้อาวุโสแล้ว เกรงว่าไม่มีผู้ใดจะสามารถรับพลังฝ่ามือของมันได้เกิน ๑๐ กระบวนท่า มันไยมิใช่คู่มือที่น่ากลัวของพวกเรา? ศิษย์พี่ : เปรียบเทียบตามพลังฝีมือแล้ว แม้เราทั้งสองคนรวมพลังกันต่อสู้กับมัน ก็กลับไม่แน่นักว่าจะต้านทานมันได้เกิน ๑๐ กระบวนท่า ! ศิษย์น้อง : นับวันยุทธภพจะปรากฏยอดคนมากมายขึ้นทุกที พวกเราสมควรติดตามอาจารย์เร้นกายบำเพ็ญเพียรภาวนาจะเหมาะสมกว่า ยุทธจักรมีแต่การแก่งแย่งชิงดี มากเภทภัย สุดแสนอันตราย มีจอมมารวายร้ายใหม่ๆ มีอาวุธทันสมัยใหม่ๆ เกินกว่าพวกเราจะรับมือได้ ยุทธภพคงเข้าสู่ความโกลาหลสุดจะพรรณาในอีกไม่ช้านี้.......................... ศิษย์ผู้น้องกล่าวยังไม่ทันขาดคำ พลันได้ยินเสียงศิษย์ผู้พี่ร้องตวาดว่า “ระเบิด!” เสียงตบโต๊ะดัง ฉาด ! พร้อมกับเสียง “เพ้ย! ” จากนั้นจอมยุทธ์ทั้งสองพลันลอยตัวขึ้น พุ่งทะยานทะลุหลังคาดุจดั่งปักษาเหินบินด้วยวิชาตัวเบาเลิศภพจบแดน ท่วงท่าสง่างาม มองเห็นเพียงเงาร่างเลือนราง ๒ สายพุ่งขึ้นดังดาวตกแยกย้ายไปคนละทาง โต๊ะและเก้าอี้ว่างเปล่าไร้เงาผู้คน บนโต๊ะยังมีน้ำชาบรรจุอยู่ไม่ถึงครึ่งไห อาหารในจานหลงเหลือเพียงเศษซากเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นพลันมีวัตถุประหลาดลักษณะคล้ายจรวดลูกหนึ่งคาดว่าเป็นระเบิดนิวเคลียร์ตกลงมาตรงกลางโต๊ะตัวนั้นพอดิบพอดี เกิดเสียงระเบิดราวกัมปนาทครั้งใหญ่ขึ้น แผ่วงกว้างไปไกลหลายกิโล โรงน้ำชาใบไผ่อันเงียบสงบก็พลันอันตธานหายไป หลงเหลือเพียงผงฝุ่นตลบอบอวลฟุ้งกระจายไปทั่ว บริเวณระแวกป่าแถบนั้นก็เตียนโล่งไปในชั่วพริบตาด้วยแรงระเบิด สร้างความพินาศย่อยยับอย่างไม่เป็นชิ้นดี.....
1 เมษายน 2554 03:14 น. - comment id 123170
ข้าพเจ้าเพียงผู้พเนจร...ได้มาพบเรื่องราวนี้แม้เป็นเรื่องบังเอิญก็นับเป็นวาสนาอยู่...คารวะท่านแล้ว
1 เมษายน 2554 13:39 น. - comment id 123181
มิกล้ารับ มิกล้ารับ ขอคารวะเช่นกัน
2 เมษายน 2554 03:55 น. - comment id 123190
ขอสารภาพกับท่านผู้เยี่ยมยุทธ์ว่า..ข้าพเจ้าสำลักน้ำชารสละไม...เพราะแรงของระเบิดนิวเคลียร์นั่นเทียว..5555+ เลื่อมใสๆ
27 พฤศจิกายน 2555 11:15 น. - comment id 131118
ยุทธภพแสนกว้างใหญ่ ยากนักได้พบพานปราชน์อย่างท่านคีตกะ..นับว่าผู้ต่ำต้อยมีวาสนาไม่เลว..นับถือๆ คาวระด้วยใจ...