เฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานผู้กินอากาศ...
คีตากะ
เฮนรี่ มอนฟอร์ต(Henri Monfort) ชาวชามานผู้กินอากาศ
เราตื่นเต้นที่จะแนะนำคุณให้รู้จักบุคคลที่พิเศษอีกคนหนึ่งที่เลิกกินอาหารและมีชีวิตอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังแห่งจักรวาลเท่านั้น เราจะเดินทางไปยังเมืองที่สวยงามของนองต์ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสเพื่อพบกับเฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานผู้กินอากาศและนักประพันธ์ เฮนรี่อยู่โดยปราศจากอาหารมานานกว่า ๗ ปีและไม่มีความอยากที่จะกลับไปกินอาหารวัตถุอีกเลย
ต : ผมพบว่าความรู้สึกที่ผมมีคือมันได้รับการหล่อเลี้ยงเหมือนกับเด็ก เด็กทารกที่อยู่ในท้องของแม่ ยิ่งกว่านั้นพลังชีวิตนี้ก็ยังเป็นพลังแห่งความรัก คุณจะไม่รู้สึกว่าถูกตัดขาดจากจักรวาลเลย เนื่องจากคุณได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักของจักรวาล ดังนั้นมันจะมีมิติของการรวมตัวกันเข้ามาแทนที่และเราจะพ้นจากระบบของสิ่งที่เป็นคู่ เช่นความสุขและความทุกข์
เฮนรี่ มอนฟอร์ตได้อุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นให้ใช้ความสามารถของตนเองและแผ่ขยายความรักโดยอาหารที่มีความเมตตาที่ไม่ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือสัตว์ เฮนรี่ได้เมตตาแบ่งปันเรื่องราวของเขาและชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหารกับโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ทีวี นับเป็นวิถีชีวิตทางเลือกใหม่และมีประโยชน์ต่อผู้ที่แสวงหาอิสระให้แก่ตนเอง พ้นจากความต้องการอาหาร
ต : ผมเกิดที่ปลายดินแดนของบริททานี่ที่ซึ่งแผ่นดินติดกับทะเล ดังนั้นผมมีการติดต่อกับธาตุต่างๆ ทั้งหมด ผืนดิน, ทะเล, อากาศ ฯลฯ ตั้งแต่ผมเล็กๆ ผมเป็นชาวชามาน ผมเกิดมาอย่างนั้น มันเป็นความสามารถพิเศษที่คนเรามีมาแต่เกิดและผมก็โชคดีที่มีปู่ของผม ผู้ที่มีสัมผัสไวมากต่อจิตวิญญาณในธรรมชาติ ผมสามารถพูดได้อย่างนั้น ผมจึงได้อาบอยู่ในมัน ขอบคุณปู่ของผม
ด้วยความสามารถอันไม่ธรรมดาตั้งแต่วัยเด็ก มันจึงยากสำหรับเฮนรี่ที่จะพบใครที่เข้าใจเขาได้นอกจากปู่ของเขา
ต : เหมือนชาวชามานทั่วไป ผมเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมเป็น ดังนั้นปีแรกๆ ของชีวิตผมไม่ค่อยจะดีนัก เพราะผมมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณอะไรแบบนั้น แต่ผมไม่สามารถเล่าให้พ่อแม่, พี่น้อง ฯลฯ ของผมฟังได้มากนัก มันจึงมีช่องว่างเกิดขึ้น
เมื่ออายุ ๑๘ ปีเฮนรี่ตัดสินใจเดินทางค้นหาตนเอง สิ่งที่เขาได้เรียนรู้และประสบภายหลังได้กลายเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ปราศจากอาหาร วิถีชีวิตที่เขาเลือกในเวลาต่อมา
ต : ผมเริ่มสนใจอย่างมากในวิถีที่ไม่รุนแรงในโรงเรียนคานธีและโดยเฉพาะ ลานซา เดล วาสโต ผู้ที่สร้างชุมชนแห่งอาร์คและเป็นผู้ที่ไปเยี่ยมคานธีและได้รับนามว่าชานติดาสจากท่านคานธี นั่นเป็นชื่อที่ผมตั้งให้ลูกคนเล็กผม คนที่อยู่ในภาพนั้น ดังนั้นเขาเป็นคนที่สำคัญมากเพราะเขาคือผู้ที่อดอาหารอย่างมากเพื่อชำระล้างตนเอง ชีวิตของเขาค่อนข้างสมถะเกือบจะเป็นพระ เราพูดแบบนั้นเพราะว่าเขาเป็นคนที่มีความเป็นอยู่ค่อนข้างสันโดษ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเมตตามาก เคารพความเป็นมนุษย์มาก แล้วหลังจากนั้นผมก็เริ่มเดินทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้น ผมเกือบจะบวชในคณะเบเนดิค ชีวิตนักบวชดึงดูดใจผมมาก มีการนั่งสมาธิ, สวดภาวนา ผมคิดว่าศาสนาสามารถนำทางผมสู่การรู้แจ้งด้านจิตวิญญาณ แล้วหลังจากนั้นผมก็พบการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล ผมได้รับการประทับจิตเข้าสู่วิถีทรานเซนเดนทัลโดยผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ จากกองทัพ และผู้หญิงคนนั้นในที่สุดคือภรรยาของผม มันเป็นช่วงแรกๆ ของการปฏิบัติสมาธิแบบทรานเซนเดนทัลและมันเป็นเทคนิคซึ่งให้ประโยชน์แก่ผมมากมายในระดับของการทำสมาธิ
เมื่อเข้าสู่วิถีการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล เฮนรี่ได้ใช้ชีวิตที่มีเมตตามากขึ้น, ทานอาหารมังสวิรัติซึ่งอยู่ในแนวทางของ “อหิงสา” หรือไม่รุนแรง
ต : ผมเป็นมังสวิรัติตั้งแต่ผมเริ่มทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล นั่นคือตั้งแต่อายุ ผมอายุเท่าไร? ประมาณ ๒๕ ปี ตอนที่ผมเริ่มและมันก็เป็นคำถามของปรัชญาชีวิตของผม...เพราะผมเติบโตมาในบริททานี่ ผู้คนกินเนื้อสัตว์กันมาก พวกเขากินเนื้อสัตว์ที่ปรุงแต่งกันมาก ดังนั้นปัญหาคือผมมีปัญหาตับอ่อนแอ ดังนั้นผมจึงป่วยอยู่เสมอ แม้ตัวผมเองก็ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ผมอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ของผมขาดแคลนเรื่องอาหารและพวกเราต้องกินเนื้อสัตว์ นอกจากนั้นผมเห็นสิ่งที่พวกเราได้กระทำต่อโลกและสิ่งแวดล้อมในบริททานี่...เกี่ยวกับการทำฟาร์มวัวและฟาร์มหมู เราสร้างมลพิษให้แก่น้ำ เราสร้างมลพิษ...ตอนนี้เราเห็นเห็ดราสีเขียวซึ่งพัฒนาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อไนเตรท, ฯลฯ ในบริททานี่เรามีน้ำที่ดีที่สุดของฝรั่งเศส(ถ : ใช่ฉันจำได้...) สวยงามที่สุด, ร่ำรวยที่สุด, ยากจนที่สุด, และตอนนี้...มันสกปรกที่สุด มันยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงสำหรับชาวชามานที่พวกเราทำลายโลกนี้ สำหรับเราแล้วมันเกือบเหมือนอาชญากรรม มันเหมือนอาชญากรรมจริงๆ ดังนั้น ผมพูดได้เลยว่าผมเป็นมังสวิรัติโดยธรรมชาติในทันทีที่เป็นไปได้และจากนั้นโดยบังเอิญผมพบภรรยาคนแรกของผมที่เป็นมังสวิรัติ ดังนั้นมันเป็นไปเองและมันก็จริงที่ในวงจรของการทำสมาธิ คนเรามักจะพบกับคนที่ส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ
หลังจากที่เขาแต่งงานและมีลูก ในไม่ช้าเฮนรี่ก็ลืมเรื่องที่เขาปรารถนาแต่เดิมในการปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ ๑๘ ปีที่เขาใช้ชีวิตธรรมดาๆ ทำงานอยู่ที่ธนาคารในเมืองนองต์ เมื่อสิ้นสุด ๑๘ ปีนั้นเฮนรี่ก็มีน้ำหนักมากถึง ๑๒๐ กิโลกรัมเป็นผลลัพธ์จากการที่เขาพึ่งพาอาหารเพื่อลดความเครียดในการทำงานของเขา เมื่อลูกๆ ของเขาเติบโตขึ้น เฮนรี่ก็ตัดสินใจลดน้ำหนักเพื่อฟื้นเป้าหมายในชีวิตด้านจิตวิญญาณ เหมือนสุภาษิตที่ว่า “เมื่อนักเรียนพร้อมครูก็มา” เมื่อเฮนรี่มีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงชีวิต “ครู” ของเขาก็ปรากฏขึ้นและนำเขาเข้าสู่หนทางของการอยู่ด้วยพลังปราณที่อาศัยพลังความรักของจักรวาลในการค้ำจุนร่างกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์
ต : เมื่อลูกของผมโตขึ้น พวกเขาเรียนจบ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมเปลี่ยนทิศทางโดยสิ้นเชิงกลับคืนสู่แก่นแท้ พูดอีกอย่างคือหนทางด้านจิตวิญญาณ สุดท้ายผมพบกับคนคนหนึ่งที่กลายมาเป็นน้องเขยของผมตั้งแต่ผมแต่งงานครั้งที่สอง เขาบอกผมว่า “นี่ผมพบหนังสือเล่มหนึ่ง ในเมื่อคุณก็ฝึกอดอาหาร หนังสือนี้จะทำให้คุณสนใจแน่นอน” มันเป็นหนังสือของจัสมูฮีนที่ชื่อว่า “อยู่ด้วยแสง” ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ในหนึ่งคืนและหนึ่งวันต่อมาผมก็ตัดสินใจฝึกการอยู่ด้วยพลังปราณ ผมบอกกับร่างกายของผมว่า “ฉันคิดว่าการที่ฉันได้ฝึกอดอาหารมาก่อนนี้เป็นการเตรียมตัวฉันแน่นอน” หนังสือเล่นนี้เหมือนกับการเผยความจริงให้แก่ผม
เฮนรี่ มอนฟอร์ตเป็นชาวชามานผู้กินอากาศและให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สนใจในวิถีชีวิตแบบไม่ต้องกินอาหาร ปัจจุบันนี้เขาอยู่ในเมืองนองต์ที่สวยงามทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เขายังใช้ความสามารถในการเป็นชาวชามานช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีวิถีชีวิตที่เติมเต็มขึ้น หากมองดูปรัชญาของชามาน เฮนรี่ได้อธิบายแนวคิดของเอกภาพในลัทธิของชามาน
ต : ลัทธิของชามานไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ศาสนา ชาวชามานมีอยู่ก่อนตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์คนที่วาดภาพในถ้ำลาสโกก็เป็นชาวชามาน เรามีอยู่ก่อนศาสนาและปรัชญา ทั้งคู่นั้นรับสิ่งต่างๆ ไปจากลัทธิชามาน ดังนั้น มีชาวชามานอยู่ทั่วโลกทุกทวีป แต่ละที่ก็มีประเพณีของตัวเอง เราพูดได้อย่างนั้น แต่เวลาเดียวกันเราทั้งหมดก็เชื่อมต่อกันด้วยสิ่งหนึ่งที่เรามีอยู่แล้ว ทุกอย่างที่มีอยู่นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา ดังนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์ มันยังคือ สัตว์, พืช, ก้อนหิน, น้ำ, แผ่นดิน, อากาศ, ไฟ, โลก, ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ฯลฯ สำหรับเราแล้วทุกสิ่งคือหนทางที่ให้เราไปถึงสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่และสามารถติดต่อกับเอกภาพพื้นฐานนั้น ถ้าใช้ภาพเราพูดได้อย่างนั้นว่าที่จริง ชาวชามานสร้างวงเวียนชั้นนอกของเอกภาพนี้ในหมู่พวกเรา ปกติแล้วไม่มีชาวชามานคนใดที่จะพูดว่าเขาเหนือกว่าคนอื่น เราเคารพประเพณีทั้งหมด แม้ว่าไม่ใช่ของเราเอง
ตั้งแต่วัยเด็ก เฮนรี่ก็ได้เชื่อมต่อกับธรรมชาติและโลกรอบตัวเขาในฐานะที่เขาเป็นชาวชามานแต่กำเนิด
ต : เมื่อคุณเป็นชาวชามาน คุณเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษ คุณสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นไม่เห็น คุณได้ยินสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน และตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมสามารถเห็นพลังปราณในชั้นบรรยากาศอนุภาคเล็กๆ สีขาวที่เคลื่อนที่รวดเร็วมากและเราก็ใช้พลังปราณนั้นในการบำบัดรักษาซึ่งเราเรียกว่าพลังแม่เหล็ก มันเป็นความสามารถที่ยินยอมให้พลังปราณไหลผ่านคนนั้น เพื่อบำบัดรักษาผู้คน บำบัดรักษาสัตว์, พืช, โลก ฯลฯ แต่มันไม่เคยปรากฏแก่ผมว่าเราสามารถใช้มันมาหล่อเลี้ยงตัวเองโดยตรง ดังนั้น สำหรับผมนั่นเป็นการเผยที่แท้จริง ผมจึงเริ่มต้นโดยไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอยู่อย่างนั้นจริงๆ สำหรับผมมันคือการตัดสินใจวันต่อวัน ทุกวันผมพูดกับตัวเองว่า “ถ้ามันได้ผล ฉันก็ทำต่อ” ผมไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลับไปอยู่ในสถานะที่ผมพอใจน้อยกว่าทุกวันนี้
หลายปีให้หลัง หลังจากที่ลูกๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เฮนรี่ตัดสินใจกลับสู่เส้นทางจิตวิญญาณที่เขากระหายมาตั้งแต่เขาอายุ ๑๘ ปี แล้วเฮนรี่ก็บังเอิญค้นพบวิถีชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหาร เมื่อเขาได้รับหนังสือของจัสมูฮีน “อยู่ด้วยแสง” และอ่านจบภายในคืนเดียว เฮนรี่ตัดสินใจในวันต่อมาลงมือเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เขารู้สึกว่าทำให้เขาเข้าสู่จักรวาลทั้งหมด
ต : และจากเวลานั้นมา เมื่อเราอยู่ในความสุขตลอด ๒๔ ชั่วโมงนี้ มันมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเป็นจิตสำนึกที่เข้ามาในชีวิต จิตสำนึกของความเป็นเอกภาพ พูดอีกอย่างคือผมอยู่โดยเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด และด้วยเหตุผลนี้ เราสามารถเลี้ยงตัวเราเองด้วยสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด ทั้งหมดมันหล่อเลี้ยงผมในเวลานี้ คุณหล่อเลี้ยงผม ผมหล่อเลี้ยงคุณ แต่คุณก็หล่อเลี้ยงตัวคุณเอง คุณหล่อเลี้ยงผมด้วย พื้นที่นี้ก็หล่อเลี้ยงผม แสงหล่อเลี้ยงผม ความรู้สึกรอบตัวผมหล่อเลี้ยงผม ทั้งหมดทุกสิ่งหล่อเลี้ยงผม ผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยและนั่นคือสิ่งที่พิเศษ
การใช้หนังสือของจัสมูฮีนเป็นคู่มือนำทางเฮนรี่ก็ผ่านกระบวนการ ๒๑ วัน การเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไร ในการมาเป็นผู้ไม่กินอาหาร?
ต : มันเป็นเวลา ๗ ปีและสองเดือนที่ผมทดลองในการอยู่ด้วยพลังปราณ “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ” คือการเลี้ยงตัวเองโดยพลังปราณ อะไรคือปราณ? มันคือสิ่งที่เราเรียกว่าพลังแห่งชีวิต... คนเราสามารถหยุดดื่มได้ถ้าคนนั้นต้องการ คนเราสามารถเลี้ยงตัวเองด้วยพลังปราณอย่างเดียว
แม้ว่าตัวเขาเองตัดสินใจชั่วข้ามคืนในการไม่กินอาหาร เฮนรี่ก็มีประสบการณ์ของการอดอาหารมาสองปีแล้ว ทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้น
ต : เราไม่สามารถเริ่มต้นอยู่โดยพลังปราณได้ในชั่วข้ามคืน มันจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวไว้ก่อน การเตรียมตัวนั้นอาจจะนาน เพราะว่าจำเป็นต้องมีความสมดุลที่ดีระหว่างร่างกาย, อารมณ์, จิตใจ และจิตวิญญาณซึ่งเป็นระดับทั้ง ๔ ของชีวิต
นอกจากนั้นความเข้าใจอย่างระเอียดระหว่างการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณก็จำเป็นต้องมีก่อนที่จะพยายามอยู่โดยไม่กินอาหาร
ต : สิ่งแรกที่ต้องทำคือการแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยปราณ สำหรับผมคำว่า “หล่อเลี้ยงด้วยปราณ” มีคำว่า “อาหาร” ผมไม่คิดว่าคนเราจะสามารถอยู่โดยไม่เลี้ยงตนเอง นี่ก็ชัดเจนเหมือนกัน แต่ละคนหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยวิธีต่างๆ กันแบบเดียวกัน เวลาที่คุณกินเนื้อสัตว์แล้วคุณตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติ เวลาที่คุณเป็นมังสวิรัติ คุณสามารถกลายเป็นวีแก้น ซึ่งหมายถึงกินเฉพาะที่เป็นพืชผัก คุณสามารถกลายเป็นกินอาหารแบบรอว์(raw food diet) หรือแบบอินสติงโต้(instincto) คุณสามารถตัดสินใจได้ในห้วงเวลาหนึ่ง การเริ่มต้นอยู่ด้วยพลังปราณ มันอาจเป็นขั้นตอนที่ดี ทำไมจะไม่ได้ล่ะ แต่มันไม่จำเป็น เราสามารถมีอาหารของเราโดยไม่ต้องเลือก หรือเปลี่ยนชนิดอาหารเป็นพิเศษ ดังนั้นอะไรคือความแตกต่างระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ? คือว่าการอดอาหารมีเวลาที่จำกัด มันไม่สามารถทำตลอดไป การอดอาหาร คุณจะเริ่มในวันที่กำหนดและสิ้นสุดในวันที่กำหนด ระยะเวลาที่นานที่สุดสำหรับการอดอาหารคือ ๔ เดือน คุณจะเห็นคนที่ตอนท้ายของ ๔ เดือน มันเกิดขึ้นกับหลายคน เช่น คานธีหรือคนที่ประท้วงด้วยการอดอาหารเป็นเวลานานๆ พวกเขาจบลงด้วยนอนลงกับพื้นให้น้ำเกลือ หมดแรง และถ้าคุณทำต่อไป น้ำหนักคุณลดลงถึงจุดที่น้ำหนักของคุณไม่สามารถคืนกลับมาได้ หมายความว่าน้ำหนักคุณจะลดลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าคุณเริ่มกินอีกและคุณจะเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งตาย ยกตัวอย่างคนที่ไม่อยากอาหารจะผ่านกระบวนการทำลายตัวเองนี้ การอดอาหารคือเมื่อคนคนนั้นได้ใช้ของที่มีสำรองไว้ แต่เมื่อไม่มีอะไรเหลือคนนั้นก็ตาย มันเป็นทัศนะแบบเป็นคู่ หมายถึง “มีฉัน มีจักรวาล ฉันใช้ส่วนสำรองของฉันและฉันตัดขาดตัวเองจากจักรวาล” แต่การหล่อเลี้ยงด้วยปราณ เราจะได้รับพลังงานจากจักรวาล ดังนั้นมันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันจะรวมตัวฉันเองกับจักรวาลและจักรวาลจะหล่อเลี้ยงฉันโดยตรง มันสำคัญมากทีเดียว คุณจะเห็นภายหลังว่านี่คือการตัดสินมุมมองของการเริ่มต้นวิธีหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ
การอดอาหารอาจเป็นขั้นตอนในการมาเป็นผู้กินอากาศ ความเห็นของเฮนรี่ มันมีความสำคัญอย่างมากในระดับของเซล
ต : ดังนั้นเราจะมั่นใจในวิธีการอดอาหาร คนที่ตัดสินใจอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะใช้มันมาเป็นประโยชน์ในการชำระล้างตัวเอง เราจะอดอาหารแต่ไม่นานเกินไปอาจจะหนึ่งวัน หรือสองวัน สามวัน หนึ่งสัปดาห์ ไม่ต้องหลายเดือน แล้วหลังจากนั้นร่างกายที่บริสุทธิ์แล้ว การชำระล้างร่างกาย ซึ่งเราเรียกว่าการล้างพิษจะเข้ามาแทนที่ ต้องขอบคุณกระบวนการอดอาหาร ดังนั้นถ้าตอนนี้กระบวนการนี้ทำให้คุณสนใจ ผมก็ขอเชิญคุณอดอาหารเป็นระยะๆ เพราะการอดอาหารน่าสนใจมาก เพื่อดูว่าตัวคุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อไม่มีอาหาร ดังนั้นมันจำเป็นที่ในระดับของร่างกาย พูดได้ว่าการอดอาหารจะเผยความจำของเซลล์ อะไรคือความจำของเซลล์? ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ ร่องรอยเล็กๆ เหล่านี้คือรอยแตกที่ยินยอมให้โรคทั้งหลายแพร่พันธุ์กระจายออกไป หรือปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณจะทำให้เราลบรอยทรงจำเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของกระบวนการ
เพื่อมีประสบการณ์ความสำเร็จในการอยู่โดยไม่กินอาหาร เฮนรี่ได้อธิบายถึงขั้นตอนเฉพาะที่ต้องปฏิบัติตาม
ต : ในระดับของร่างกาย เราต้องมีสุขภาพที่ดี เราควรเตรียมโดยอาหารที่กิน, โดยการอดอาหารและโดยการล้างพิษ การชำระล้างร่างกาย เราต้องตระหนักว่า เมื่อเรากินวันละ ๓ หรือ ๔ มื้อ เราจะไม่สามารถไปถึงขั้นตอนการล้างพิษ เราสะสมพิษต่างๆ ไว้ในร่างกาย ในไขมัน, ในข้อต่อและนั่นก็คือสาเหตุของโรคภัย ดังนั้นการอดอาหารจึงจำเป็นและการล้างพิษอย่างถูกต้องจะได้ผลหลังจากที่อดอาหาร ๓ เดือน ดังนั้นถ้าเราทำเป็นระยะๆ ร่างกายของเราจะสะอาด แล้วในระดับอารมณ์ เราจะเป็นอิสระจากความสัมพันธ์เชิงบังคับที่เรามีกับอาหารและการชดเชยทางอารมณ์ที่เราพบในนั้น ดังนั้นมันจำเป็นต้องตรวจดูระดับเหล่านั้นก่อนจะเริ่มอยู่ด้วยพลังปราณ
เฮนรี่ มอนฟอร์ต เป็นชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณในการดำรงชีวิต พลังปราณคืออะไร? แฮรี่ได้อธิบายถึงรูปแบบต่างๆ ของมันในระหว่างการบรรยายเรื่อง “อาหารพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ”
ต : ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมก็เห็นอนุภาคเล็กๆ เหล่านี้ของแสง เมื่อคุณอยู่ในที่ที่บริสุทธิ์มาก อาจจะเป็นในป่าหรือในภูเขา คุณจะเห็นอนุภาคเหล่านี้ ซึ่งมีความเร็วสูงนั่นคือปราณ นั่นคือเหตุที่เราเรียกมันว่าการหายใจ เพราะมันคือปราณของอากาศ ความจริงแล้วเราต้องพูดว่ามีระดับต่างๆ ของปราณถ้าอยู่ในอากาศ มันเรียกว่า “ปราณ” ถ้าในระดับของเหลวมันเรียกว่า “โซมา” ถ้าผมวางมือไว้ตรงนี้ (ทำท่าวางมือสองข้างช้อนไว้ใต้คาง)และเงยหน้าไปข้างหลัง น้ำลายของผมกลายเป็นของเหลวที่เรียกว่า “โซมา” ซึ่งลงไปอยู่ในอวัยวะย่อยอาหาร มันเป็นของเหลวที่หวานเหมือนน้ำผึ้งและจะนำแสงสว่างไปยังอวัยวะต่างๆ บางคนอาจบอกว่านั่นคือน้ำลายที่บริสุทธิ์ขึ้น แล้วในระดับของของแข็งมันเรียกว่า “วิภูติ” คุณเคยได้ยินคำว่า “วิภูติ” หรือเปล่า? มีอาจารย์ด้านจิตวิญญาณหลายๆ ท่านรวมทั้งท่านสัตยา ไส บาบา ที่นำปราณแบบแข็งหรือวิภูติออกมาจากอากาศ พวกเขานำมันมาพิสูจน์ด้วยมือของพวกเขา มันออกมาอย่างนั้น มันเหมือนขี้เถ้า บางคนอาจบอกว่านั่นคือปราณในระดับของแข็ง แล้วพวกเขายังสามารถสร้างวัตถุเอาเพชรพลอยออกมา อะไรแบบนั้น ดังนั้นปราณไม่เพียงแต่อยู่ในอากาศ มันมีอยู่ในทุกระดับของการสร้าง มันสำคัญมากที่ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย เพราะมันจะช่วยให้เรารู้ว่าเราจะไปถึงระดับหล่อเลี้ยงด้วยตัวเองอย่างไร
ตามความเห็นของเฮนรี่ ขั้นตอนแรกในการอยู่โดยไม่กินอาหารคือการเตรียมตัว ซึ่งอาจใช้เวลาหนึ่งปีขึ้นอยู่กับแต่ละคน เขาแนะนำว่าก่อนเริ่มกระบวนการของการอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังจักรวาลจะต้องมีหลักการที่ชัดเจน
ต : ข้อแรกคือเราจะกำหนดเรื่องน้ำหนักในตอนแรก เรากำหนดว่าน้ำหนักแค่ไหนจะดีที่สุดสำหรับร่างกายของเรา และเราก็ไม่ควรให้ต่ำกว่านั้น แต่ในระหว่างที่อดอาหาร เรามีน้ำหนักลดไปเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทัศนะคติ เราจะบอกเซลล์ของเรา เราบอกว่าเรากำลังทำอาหารในระดับของเซลล์ซึ่งเราจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ข้อสองคือเราจะมีพลังงานอย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อเราได้เชื่อมต่อเข้ากับพลังงานของจักรวาล เราอาจบอกอย่างนั้น มันไม่มีความเหนื่อยอ่อน ไม่มีการสึกหรอ ดังนั้นยิ่งเรากระตือรือร้น เราก็ยิ่งจะมีพลังงานมากขึ้น ข้อที่สามคือเราจะแบ่งเวลานอนเป็นสองช่วง ถ้าเรานอน ๘ ชั่วโมง เราจะไม่นอนนานกว่า ๔ ชั่วโมง ตอนนี้ผมนอนสองชั่วโมง แต่เวลาที่เรานอนหลับสองชั่วโมง เราตื่นขึ้นเหมือนกับว่าเรานอน ๗-๘ ชั่วโมง ดังนั้นเหลือเวลามากมายให้ทำอย่างอื่น
เมื่อการเตรียมตัวเรียบร้อย กระบวนการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน ขั้นแรกของกระบวนการเปลี่ยนแปลงคือการอดอาหาร ซึ่งจำเป็นต้องชำระล้างร่างกายเนื้อในระดับของเซลล์ การอดอาหารใช้เวลาอย่างมากหนึ่งสัปดาห์ ผลของการอดอาหารตลอดสัปดาห์ ร่างกายจะเริ่มพบกับการล้างพิษ หลังจากชำระล้างแล้ว ร่างกายก็จะเริ่มลบเซลล์ความจำ
ต : ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ เราจะลบความทรงจำในเซลล์เหมือนกับเวลาที่เราล้างแผ่นดิสก์ ถ้าแผ่นดิสก์เป็นรอยมันจะเล่นซ้ำอยู่ที่เดิม ดังนั้นถ้าคุณค่อยๆ ลบรอยตำหนิพวกนี้ออก คุณก็จะราบรื่น ซึ่งคุณจะไม่ต้องพบกับเรื่องเดิมๆ อีก ความทรงจำในเซลล์มันเข้าลึกมาก มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า “ความจำแบบครอบครัว” ซึ่งหมายถึงว่ามีผู้คนที่อยู่ในวัยเดียวกันจะถ่ายทอดโรคภัยที่พ่อแม่ของพวกเขาหรือปู่ย่าตายายเคยมีมาก่อน ดังนั้นเราจะขจัดสิ่งเหล่านั้นออก แล้วกระทั่งความจำที่ลึกมากขึ้น ซึ่งเป็นความจำที่เชื่อมโยงกับมนุษยชาติและพวกที่อยู่ตรงนี้ (ทำท่าชี้ที่บริเวณก้านสมอง) ในสมองของเรา พวกนี้คือความจำที่มาจากช่วงเวลาที่เมื่อผู้คนรู้สึกหิว มันคือความจำตามประวัติศาสตร์เวลาที่เกิดภัยแล้งและอาหารขาดแคลน, แล้วความจำเหล่านี้ทำปฏิกิริยาขึ้นมาใหม่ เพราะเวลาที่มีผู้คนกำลังตายด้วยความหิวโหย ดังนั้นการอดอาหารจะทำให้เราปรับตัวเองทางร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ที่กำลังเกิดขึ้น
ในระดับของจิตใจ อะไรที่เราคาดว่าจะพบในช่วงสัปดาห์นี้ของการอดอาหาร?
ต : ถึงจุดหนึ่ง คุณจะพบกับความจริงที่ว่าไม่มีอาหารอีกแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้น? ความกลัวจะเกิดขึ้นมั๊ย? จะมีความกังวลหรือไม่? “ฉันจะถูกบังคับให้เป็นอย่างที่จะเกิดขึ้นหรือ? ฉันจะต้องหาร้านค้าเพื่อซื้ออาหารหรือไม่?” แล้วเกิดอะไรขึ้น? ในระดับของจิตใจ เราจำเป็นต้องขึ้นไปเหนือระดับความกลัวและข้อจำกัด
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราต้องมีเพื่อความสำเร็จในการจะอยู่โดยไม่กินอาหารคือความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอนว่ามันเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ที่จะอยู่รอดได้โดยไม่จำเป็นต้องกินอาหารวัตถุ เราสามารถไปถึงสภาวะนี้โดยกระบวนการอดอาหาร ซึ่งก็จะช่วยเราสร้างความเชื่อมโยงในระดับจิตวิญญาณ ช่วงสัปดาห์แรกของการอดอาหารและการล้างพิษร่างกายจะพบกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในระดับกายภาพ
ต : มันไม่ค่อยน่าพึงพอใจนักในสัปดาห์แรกโดยเฉพาะ ๓ วันแรก คุณจะมีลิ้นขาว คุณจะมีลมหายใจเหมือนสุนัข-เหม็นมาก แต่ว่ามันจำเป็นที่ต้องผ่านพ้นการชำระล้างร่างกายนี้ก่อน
เมื่อร่างกายผ่านการล้างพิษในสัปดาห์แรกแล้วก็ต้องชำระล้างลึกมากขึ้น นั่นจะเกิดในระดับของเซลล์ กระบวนการถอนรากเหง้าความทรงจำในเซลล์จะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่สองของการเปลี่ยนแปลง เมื่อร่างกายได้ล้างและ “ตั้งต้นใหม่” ร่างกายเข้าสู่สภาวะใหม่ของกระบวนการไม่กินอาหาร
ต : เราจะหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณเข้ามาแทนที่ในสัปดาห์ที่สาม พูดอีกอย่างคือเราจะเริ่มต้นอยู่ในระดับที่เปลี่ยนไป ดังนั้นมันเป็นอย่างไร? ตอนแรกเราจะทำงานที่มองเห็นได้ เมื่อถึงเวลาอาหารร่างกายของคุณคุ้นเคยกับการเริ่มตามระเบียบในเวลานั้น คุณจะหิวหรือพูดอีกอย่าง เราเรียกว่าระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งหมายถึงท้องของคุณเริ่มร้อง คุณมีความรู้สึกท้องว่างและรู้สึกหิว เวลานี้มีผู้คนที่ไม่รู้สึกหิวเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขากินมากจนพวกเขาไม่รู้สึก แต่ถ้าคุณอดอาหารคุณรู้ว่ามันคืออะไร มันคือความรู้สึกท้องว่างหรือตาลาย ซึ่งทำให้เราต้องการกินในทันที ดังนั้นระบบประสาทอัตโนมัติรู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเราใช้เวลานี้ที่เป็นมื้ออาหาร เราจะพิจารณาอย่างมีสติในตอนเริ่มต้นโดยทำให้แสงเข้าไปอย่างลึกล้ำเข้าถึงเซลล์ทั้งหมดของเรา เมื่อเราทำแบบนี้ ๓ หรือ ๔ วัน ปกติแล้วความรู้สึกของการรับรู้มันจะกระจายไป, ขยายออกไปและกลายเป็นละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจะยกตัวอย่างว่าการทำให้ความรู้สึกละเอียดบริสุทธิ์คืออะไร เมื่อผมทำขั้นตอนนี้มันเป็นเดือนพฤศจิกายน ผมออกไปข้างนอกในช่วงสัปดาห์แรกและขึ้นรถราง ผมอยู่ตรงท้ายรถราง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับแซนวิชที่ต้นขบวนรถ คุณคงมองเห็นความยาวของรางรถ ผมสามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในแซนวิชของเธอ ไม่เพียงรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ผมได้กลิ่นและรสชาติ (เพราะกลิ่นและรสชาติมันเชื่อมโยงกัน) เมื่อคุณได้กลิ่นคุณก็รู้รสชาติ ดังนั้นผมได้รับกลิ่นและรสชาติของสิ่งที่เธอกำลังกิน เมื่อผมอยู่ในปารีสเมื่อเร็วๆ นี้ มันเป็นวันแม่ มีเด็กๆ ทำขนมเค้กขนาดยักษ์สำหรับแม่ของพวกเขาด้วยครีม, สตรอเบอร์รี่และอะไรเหล่านั้น แล้วต่อมาพวกเขาก็กินขนมเค้กนั้นและผมก็ได้รับรสชาติของสิ่งที่พวกเขากำลังกินทั้งครีมและรสสตรอเบอร์รี่ ฯลฯ นี่หมายถึงว่าเราป้อนตัวเองด้วยวิธีที่แตกต่างไป ถ้าคุณมีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ตกดินในภูมิทัศน์ที่สวยงาม คุณอยู่ตรงนั้น คุณรู้สึกดี คุณมองดูมันและคุณก็อิ่ม คุณไม่หิวในเวลานั้น นั่นคือการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ มันหมายความว่าคุณจะหล่อเลี้ยงตัวเองในแบบที่เปลี่ยนไปและความรู้สึกในการรับรู้ของคุณจะได้รับพลังที่ละเอียดอ่อนที่สุดของชีวิต
เฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ที่ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณเท่านั้น เราได้เรียนรู้จากเฮนรี่ว่าขั้นตอนการเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน สัปดาห์แรกร่างกายจะต้องพบกับการล้างพิษโดยการอดอาหาร แล้วสัปดาห์ที่สองร่างกายจะทำการลบเซลล์ความทรงจำของเชื้อโรคและความเครียดเพื่อให้ร่างกายบำบัดด้วยตัวเอง แล้วสุดท้ายในสัปดาห์ที่สามเป็นการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ในช่วงนี้ร่างกายปรับการรับรู้ของมันให้ละเอียดขึ้นและค่อยๆ กลับมาสู่สภาวะที่บริสุทธิ์ดั้งเดิม ซึ่งมันมความพร้อมและสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตและปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมทุกชนิดได้
ต : เวลาที่ผมทำสมาธิในป่า ผมวางมือไว้บนพื้นดิน ผมได้ยินเสียงเมล็ดพืชงอก ได้ยินเสียงแมลงเดิน ได้ยินเสียงของใบไม้ผลิ ผมออกไปข้างนอก มันเกิดขึ้นในปีแรกเมื่อผมมาถึงในเดือนมกราคมมันมีอุณหภูมิติดลบสิบองศา ผมออกไปข้างนอกมันมีอากาศสองแบบระหว่างร้อนและหนาว ซึ่งมันยากจะทนได้ ในตอนแรกมันลำบากมาก มีวันหนึ่งผมพูดว่า “ไม่ มันก็คู่กัน” ปกติแล้วอากาศหนาวไม่มีผลต่อผม ดังนั้นผมออกไปข้างนอก มันติดลบสิบองศา แล้วทันทีมันเหมือนกับว่าความหนาวกลายเป็นไม่มีอะไร ผมไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว ปีแรกนั้นผมรู้สึกถึงความหนาว พอปีที่สองเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ร่างกายของผมหนักเพิ่มสามกิโลในช่วงกลางคืน และเมื่อผมไปที่อิตาลีพบภรรยาและลูกชายของผม มันร้อน ๔๐ องศาเซลเซียส น้ำหนักผมลดสามกิโลในช่วงกลางคืน ตอนแรกผมบอกตัวเองว่ามันคือน้ำที่ผมดื่ม มันจะต้องเป็นเพราะการกักเก็บน้ำ แต่เมื่อสองปีที่แล้วผมก็เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ ร่างกายหดตัวลงหรือผ่อนคลาย น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้น ร่างกายแน่นขึ้น หรือในทางตรงกันข้ามมันผ่อนคลาย มันไม่เกี่ยวกับน้ำอะไรเลย น่าทึ่งมาก ร่างกายมีความสามารถที่จะปรับตัวเองเข้ากับทุกๆ สิ่ง ดังนั้นเราจะหล่อเลี้ยงตัวเองโดยการรับรู้ความรู้สึก ซึ่งจะเกิดขึ้นในมิติหนึ่งซึ่งเราไม่สามารถจินตนาการได้
เมื่อร่างกายได้รับเอกราชกลับคืนมาจากอาหารวัตถุ การอยู่ด้วยพลังปราณจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ
ต : ทีนี้เมื่อเราไปถึงสภาวะนั้น ความรู้สึกของการรับรู้มันจะเหลือเชื่อและสิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากนั้นคืออะไร? คุณก็จะอยู่ในแสงออร่าของคุณ แล้วอะไรคือแสงออร่า? มันก็คือสนามพลังงานของคุณ สนามพลังงานที่อยู่ล้อมรอบตัวคุณ ดังนั้น ก่อนอื่นแสงออร่าจะมีขนาดที่น่าพิศวง คุณสามารถปรับมันให้ไกลเท่าที่คุณต้องการ ขนาดเท่ากับห้อง ขนาดเท่ากับบ้าน ขนาดเท่ากับสถานที่ ฯลฯ และหลังจากนั้น คุณจะเพ่งอยู่ที่ปราณซึ่งในแสงออร่า แล้วปราณนั้นก็จะมีความหนาแน่นมากขึ้น จนคุณจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากทุกรูขุมขนของผิวหนังคุณวันละ ๒๔ ชั่วโมง แล้วคุณจะไม่ต้องทำอะไรเลย คุณได้รับอาหารอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณไปถึงสภาวะนั้น คุณพูดได้เลยว่าคุณอยู่ได้ด้วยพลังปราณ เพราะคุณไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องอะไรแล้ว เซลล์ต่างๆ จะรับเอาสิ่งที่ต้องการจากปราณนั้น
ตามทัศนะของเฮนรี่ เมื่อเราไปถึงสภาวะไม่ต้องกินอาหาร สามารถอยู่ได้ด้วยพลังจักรวาลอย่างเดียว จิตสำนึกและการรับรู้ความรู้สึกจะขยายออกไปเหนือการแบ่งแยก “ตัวเอง” และ “ผู้อื่น”
ต : เมื่อเราอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะไปถึงระดับที่เราเรียกว่าความปิติ คำว่าปราณมาจากประเพณีของฮินดู ชาวจีนเรียกว่าชี่, ชี่กง, ไท่ชี่ฉวน, ชาวโพลีนีเซียเรียกมันว่า มานาส ซึ่งรู้จักกันมาแต่ครั้งโบราณในประเพณีต่างๆ ความปิติไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีด้านตรงกันข้าม หมายถึงเราจะมีความรู้สึกเต็มและเต็มอยู่เสมอ ไม่มีขณะใดที่เราจะรู้สึกว่าว่างเปล่า ความรู้สึกที่เต็มและเต็มไปด้วยความรัก ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว อีกทั้งความโดดเดี่ยวนั้นก็สลายไป ถ้าจักรวาลทั้งหมดเป็นภาพพิศวงขนาดมหึมา เรารู้สึกเหมือนเป็นชิ้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่ง และมีอยู่ในที่ของมัน ไม่มาก ไม่น้อย แต่อยู่ตรงที่ของมันและในเวลาของมัน ในเวลาที่เหมาะสมนั้น แล้วจากจุดนั้นจะมีความรู้สึกของความเต็มอิ่มและปิติสุข ที่มาในชีวิต ที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเศร้าอีกต่อไป ไม่ถูกทอดทิ้ง...
นอกจากการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณด้วยพลังงานของจักรวาล การอยู่โดยไม่กินอาหารมีประโยชน์ทางกายภาพอย่างมากมายมหาศาล (ถ : ตอนนี้คุณไม่ป่วยอีกแล้ว?)
ต : นั่นแหละ เราไม่รู้จักความเจ็บป่วยอีกต่อไป เราจะไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักเหนื่อยอ่อน ไม่รู้จักอิดโรย เราสามารถพูดได้หลายชั่วโมง เราทำงานได้นานหลายชั่วโมง สามารถทำสิ่งต่างๆ มากมาย (ถ : คุณรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น มีความต้านทานมากขึ้น?) ผมรู้สึกเป็นหนุ่ม(หัวเราะ) กระชุ่มกระชวยขึ้น และมีสัญญาณภายนอกของความกระปรี้กระเปร่า ผมของผมเป็นสีดำ ผิวหนังตึงขึ้น สายตาของผม ผมเคยใส่แว่น แต่ตอนนี้แทบจะไม่ต้องใส่แว่นเลย ผิวหนังของผม เนื่องจากตับก่อนนี้ไม่แข็งแรง ผิวหนังก็แห้งมาก ผมมีผิวแบบที่เรียกว่า “หนังงู” คือลายเหมือนกับเกล็ด เหมือนเป็นแผลและเป็นลมพิษอยู่เสมอ อะไรพวกนั้น นี่เป็นสัญญาณว่าตับทำงานไม่ปกติ แล้วมันก็หายไปโดยสิ้นเชิง และในอีกระดับหนึ่งผมปรับตัวได้ง่ายมาก เพราะว่าเมื่อก่อนผมมีอาการโรคปวดข้อ มันมาจากปู่ของผม มันเป็นกรรมพันธุ์ เราพูดได้ว่ามันมาจากยีน เมื่อผมอายุ ๓๕ ผมมักเป็นตะคริวหรือที่เรียกว่ารูมาติซึ่มหรือรูมาตอย(rheumatism) คือคุณไม่สามารถจับอะไรได้ ไม่มีกำลัง แล้วคุณก็ทำของหล่น มันเป็นอาการที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันเริ่มเมื่อผมอายุ ๓๕ แล้วตอนนี้ผมไม่มีปัญหานั้นแล้ว ผมเคยมีปัญหาเรื่องปวดหลัง ปวดมาก ผมเป็นหมอนรองกระดูเลื่อน การแทรกซึมในข้อสันหลัง ฯลฯ ผมคิดว่าถ้าผมไม่มีประสบการณ์นี้ทั้งหมดนั้นก็คงต้องเป็นอยู่และยิ่งเลวร้ายลงไป มันเกี่ยวข้องกับพิษต่างๆ ที่สะสมไว้ในข้อ ดังนั้นเราจะเห็นผลของมันได้รวดเร็วในการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ปัญหาทั้งหลายนั้นหมดไปเลย
ประโยชน์อันมหาศาลครอบคลุมถึงด้านอื่นๆ ของชีวิตประจำวัน (ถ : ในระดับของพลังงาน มันคงจะเกินบรรยาย?)
ต : ใช่ แน่นอน พลังงานนั้นมันเหมือนกับเราเชื่อมต่อกับพลังแห่งชีวิต พลังที่ไร้ขีดจำกัดไม่มีวันหมด เรายิ่งกระทำ พลังงานก็ยิ่งมีมากขึ้น เราสามารถเดินได้หลายชั่วโมง ขับรถได้หลายชั่วโมง ทำงานหลายชั่วโมง อ่านหนังสือได้เร็วขึ้นโดยมีความสามารถในการจดจ่อมากขึ้นและเรานอนหลับคืนละ ๒-๓ ชั่วโมงเท่านั้น เราสามารถใช้เวลานี้ทำงานทางอินเตอร์เนตหรืออ่านหนังสือ ผมอ่านหนังสือเยอะแยะมากมายโดยใช้เวลาที่เราได้จากการนอนน้อยลง เราจะสามารถใช้มันมาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากขึ้น (ถ : เมื่อเราคิดถึงเวลาทั้งหมดที่เราใช้ในการช๊อบปิ้ง ทำอาหาร ทำความสะอาด ซักล้าง มันเป็นสวรรค์จริงๆ?) เราลองนับเวลาที่เราใช้ในการทำเรื่องนั้นๆ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีด้านการเงิน เพราะว่าเราใช้เงินน้อยลงและเราก็อยู่อย่างเรียบง่ายขึ้น ใช้ไฟฟ้าน้อยลง เรามีชีวิตที่ง่ายขึ้น ความจำเป็นต่างๆ ก็ลดลง ผมไม่มีรถ ผมอยู่ใจกลางเมือง ผมมีรถจักรยาน ผมเดิน มันเป็นสวรรค์จริงๆ
เฮนรี่ ในปัจจุบันนี้ทำงานต่อเนื่องจากหนังสือเล่มแรกของเขา “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งของด้านจิตวิญญาณ” และใช้เวลาของเขาในการสัมมนาและช่วยผู้อื่นให้มีวิถีชีวิตที่สุขภาพดีขึ้น ด้วยการขจัดการเป็นทาสของอาหารวัตถุ
ต : ผมจัดสัมมนาจนถึงเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายนของปีหน้า แล้วตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป ผมจะสร้างกลุ่ม ๓ กลุ่มประมาณ ๒๐ คน สำหรับคนที่อยากให้ผมดูแลเรื่องการอยู่ด้วยพลังปราณ (ถ : สาธารณชนมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการสัมมนาของคุณ?) มันเป็นเรื่องที่พิเศษมาก มันปรากฏชัดเจนว่ามีบางสิ่งที่อยู่ในอากาศระยะหนึ่ง เพราะมันมีความต้องการมากเกินคาด เราจัดสัมมนาในปารีสมีที่นั่ง ๑๒๐ ที่ แต่มีคนมา ๒๕๐ คน มันเหมือนกันเลยทุกที่ ในเมืองนองต์เราจัดสัมมนา ๔ ครั้ง คนเต็มห้อง เราได้รับการขอร้องให้จัดอีก มันแทบไม่น่าเชื่อความรู้สึกของผู้คน ความอยากรู้ในเรื่องนั้นและคำถามและความกระตือรือร้น
ขอบคุณ คุณเฮนรี่ สำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและการเดินทางมาเป็นผู้กินอากาศ การช่วยเหลือของคุณ เพื่อให้ผู้อื่นได้ไปถึงสภาวะที่มีความผาสุกทั้งร่างกายและจิตใจนั้นน่ายกย่องมาก เราขอให้คุณพบความสำเร็จกับหนังสือเล่มใหม่ของคุณและส่งความปรารถนาดีให้แก่ความพยายามที่มีเมตตาของคุณ
ติดต่อคุณเฮนรี่ มอนฟอร์ต เชิญเข้าชมที่
nourriture.pranique.free.fr
ข้อมูลเพิ่มเติมของหนังสือของเฮนรี่ มอนฟอร์ต “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ” (Pranic Nourishment : Another Path to Spirituality) เชิญชมที่
nourriture.pranique.free.fr/livre.html
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณารับชมที่
www.SupremeMasterTV.com/BMD