ท่องแดนสวรรค์ + นรกภูมิ

แก้วประเสริฐ

76.gif
                 ท่องแดนสวรรค์ + นรกภูมิ
   ด้วยข้าพเจ้าไปเปิดอ่านพบเรื่องนี้ขึ้นโดยบังเอิญ เห็นว่ามีประโยชน์
แก่ชาวพุทธบริษัททั้งหลาย จึงใคร่ที่จะนำเผยแพร่ให้แก่ชาวเวปฯไทย
กลอนที่นับถือพุทธศาสนา เพื่อเสริมสร้างทางบุญได้เกิดปิติยินดีต่อ
ผลานิสงฆ์อันพึงจะได้รับ คงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย จึงนำมา
ฝากไว้  สวัสดี
                 ท่องแดนสวรรค์  
20/12/2010 
View: 33 
      เทวภูมิ หมายถึง ภูมิที่มีความสุขความเพลิดเพลิน อยู่ในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ประณีต  ถ้าจะเปรียบเทียบความสุขในมนุษยโลก กับความสุขบนสรวงสวรรค์ในเทวภูมิแล้ว ห่างไกล กันเหมือนฟ้ากับดิน พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในวิตถตสูตร คัมภีร์อังคุตตรนิกาย อัฏฐนิบาต ว่า “ ราชสมบัติของมนุษย์ เป็นเหมือนสมบัติของคนกำพร้า เมื่อเทียบกับสุขอันเป็นทิพย์ในสรวงสวรรค์ ” หมายความว่า ถึงจะเกิดเป็นราชาพระมหากษัตริย์ หรือพระเจ้าจักรพรรดิ เสวยสุขอยู่ในราชสมบัติ เมื่อเทียบความสุขในเทวภูมิแล้ว ก็เทียบได้กับสมบัติของคนกำพร้า ซึ่งแทบจะไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเลย ความพิเศษของเทวโลก เทวภูมิ หรือ เทวดานั้น มีอะไรที่ไม่เหมือนกับมนุษย์มี เช่น เทพบุตรเทพธิดาทุกคนในสรวงสวรรค์ ไม่มีคนแก่อย่างเมืองมนุษย์ มีแต่หนุ่มสาวเหมือนกันหมด เทพธิดาจะมีอายุราว ๑๖ ปี ส่วนเทพบุตรก็จะมีอายุราว ๒๐ ปี เหมือนกันหมดทุกคน จึงไม่มีคนแก่ในสรวงสวรรค์ ทุกอย่างจะเป็นทิพย์หมด เช่น อาหาร วิมาน ร่างกาย ซึ่งเราจะมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ เรียกว่า อทิสสมานกาย การเกิดขึ้นของเทวดาในสรวงสวรรค์ ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ หรือครรภ์ของมารดาอย่างมนุษย์ เป็นการลักษณะของ โอปปาติกกำเนิด เมื่อเกิดขึ้นจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวทันที
การไปเกิดบนเทวภูมิ
๑. ถ้าสร้างบุญกุศลไว้มาก จะเกิดในวิมานของตนเอง เหมือนคนรวยย่อมมีบ้านของตนเอง ไม่ต้องไปเช่าหรืออาศัยคนอื่นอยู่
          
๒. ถ้าสร้างบุญกุศลไว้น้อย ไม่มีวิมานของตนเอง ก็ต้องไปเกิดในวิมานของเทวดาองค์อื่น ที่สร้างกุศลไว้มาก โดย
(๑)	ผุดปรากฏขึ้น ที่ตัก ของเทวดาองค์ใด ก็เป็น บุตร หรือธิดา ของเทวดาองค์นั้น
(๒)	ผุดปรากฏขึ้น ที่แท่นบรรทม ของเทวดาองค์ใด ก็ต้องเป็นบาทบริจาริกา หรือภรรยาของเทวดาองค์นั้น 
(๓)	ผุดปรากฏขึ้น ใกล้แท่นบรรทม ของเทวดาองค์ใด ก็ต้องเป็น พนักงานรับใช้ ของเทวดาองค์นั้น
(๔) 	ผุด ปรากฏขึ้น ภายในวิมานหรือปราสาท ของเทวดาองค์ใด ก็ต้องเป็น บริวาร ของเทวดาองค์นั้น
(๕)	ผุดปรากฏขึ้น นอกวิมาน เมื่อใกล้วิมานของเทวดาองค์ใด ก็ต้องเป็น บริวาร ของเทวดาวิมานนั้น
(๖)	ผุดปรากฏขึ้น ระหว่างวิมานพอดี ก็ต้องดูว่าหันหน้าไปทางวิมานใด ก็ต้อง เป็น บริวารของเทวดาวิมานนั้น
(๗)	ผุดปรากฏขึ้น ระหว่างวิมานพอดี แต่ไม่หันหน้าไปทางวิมานใด ก็จะตก เป็น บริวาร ของเทวดาที่เป็นใหญ่ปกครองสวรรค์ชั้นนั้น ๆ หรือจะยกให้เป็นบริวารของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
นี่คือลักษณะการเกิดขึ้นของเทวดาประเภทโอปปาติกกำเนิด ซึ่งก็ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ควรรู้ควรเข้าใจเรื่องของเทวภูมิ
คำว่า เทวะ หรือ เทวดา นั้น มีอยู่ ๓ ประเภท คือ
๑. อุปปัตติเทวะ 	เทวดาโดยกำเนิด ได้แก่ เทวดาและพรหม
๒. สมมติเทวะ 	เทวดาโดยสมมติ หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา
๓. วิสุทธิเทวะ 	เทวดาที่บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสทั้งปวง หมายถึง พระอรหันต์ 
 
สวรรค์ ชั้นที่ ๑
จาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นภูมิที่อยู่ต่อจากมนุษยภูมิขึ้นไป มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ เป็นมหาราชอยู่ ๔ องค์ คือ
๑. ท้าวธตรัฏฐะ 	อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง คันธัพพเทวดา
๒. ท้าววิรุฬหกะ 	อยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง กุมภัณฑ์เทวดา
๓. ท้าววิรูปักขะ 	อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง นาคเทวดา
๔. ท้าวกุเวร หรือ
ท้าวเวสสุวรรณ 
	อยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง ยักขเทวดา
มหาราชทั้ง ๕ นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลก หรือเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล ซึ่ง มีสถานที่ปกครองตั้งแต่ตอนกลางของเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงมนุษยโลก มีอาณาเขตแผ่ออกไปจดขอบจักรวาล เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ทั้งหมด เป็นบริวารภายใต้อำนาจของมหาราชทั้ง ๔   เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิแล้ว ๕๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ
เทวดาที่อยู่ภายใต้การปกครองของมหาราชทั้ง ๔ คือ
๑. ปัพพตัฏฐเทวดา	เทวดาที่อาศัยอยู่ที่ภูเขา
๒. อากาสัฏฐเทวดา	เทวดาที่อาศัยอยู่ในอากาศ
๓. ขิฑฑาปโทสิกเทวดา	เทวดาที่มีความเพลิดเพลินในการเล่นกีฬา จนลืมกินอาหารแล้วตาย
๔. มโนปโทสิกเทวดา 	เทวดาที่ตายเพราะความโกรธ
๕. สีตวลาหกเทวดา	เทวดาที่ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น
๖. อุณหวลาหกเทวดา	เทวดาที่ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น
๗. จันทิมเทวปุตตเทวดา 	เทวดาที่อยู่ในพระจันทร์
๘. สุริยเทวปุตตเทวดา	เทวดาที่อยู่ในพระอาทิตย์
เทวดา ชั้นจาตุมหาราชิกานี้ มีอยู่ตั้งแต่กลางเขาสิเนรุจนกระทั่งถึงพื้นดินที่มนุษย์อยู่ มีชื่อเรียกตามที่อยู่ที่อาศัย ดังนี้
** อยู่บนพื้นดิน 	เรียกว่า 	ภุมมัฏฐะเทวดา
** อยู่บนต้นไม้ 	เรียกว่า 	รุกขะเทวดา
** อยู่ในอากาศ (มีวิมานอยู่) 	เรียกว่า 	อากาสัฏฐะเทวดา
        ภุมมัฏฐเทวดา  ได้แก่ เทวดาที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร ใต้พื้นดิน ตามบ้านเรือน ซุ้มประตู เจดีย์ ศาลา เป็นต้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะอยู่ตอนกลางรอบเขาสิเนรุ มีปราสาทเป็นวิมานของตนเอง สำหรับ เทวดาอื่นที่ไม่มีวิมาน ก็ต้องไปอาศัยอยู่ตามสถานที่ดังกล่าวข้างต้น โดยถือเอาสถานที่นั้นเป็นวิมานของตน
       รุกขเทวดา  ได้แก่ เทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ มีอยู่ ๒ จำพวก คือ พวกที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้ กับพวกที่ไม่มีวิมาน รุกขเทวดาที่มีวิมานนั้น จะเอา วิมานตั้งอยู่บนยอดไม้ ส่วนเทวดาที่ไม่มีวิมานของตนเอง ก็จะอาศัยอยู่บนคบไม้ หรือ กิ่งก้านของต้นไม้
       อากาสัฏฐเทวดา  ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานของตนเองในอากาศ ตั้งอยู่ในอากาศ ภายใน และภายนอกของวิมาน จะประกอบด้วยรัตนะ ๗ อย่าง ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจ ของกุศลกรรม คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี แก้ว เชียร เงิน และทอง บางวิมานก็มี ๒ รัตนะ บางวิมานก็มี ๓, ๔, ๕, ๖ รัตนะ ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ตนได้สร้างไว้ วิมานเหล่านี้ จะลอยหมุนเวียนไปในอากาศรอบ ๆ เขาสิเนรุ 
เทวดาใจร้าย
     เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา บางพวกก็ขาดเมตตาธรรม จัดเป็นพวกเทวดาใจร้าย มี ๔ จำพวก คือ
       ๑. คันธัพพี คันธัพโพ  ได้แก่ เทวดาคันธัพพะ ที่ถือกำเนิดภายในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม เรา เรียกกันว่านางไม้ หรือแม่ย่านาง ชอบรบกวนให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น ให้ เกิดเจ็บป่วย หรือทำอันตรายแก่ทรัพย์สมบัติที่นำไม้นั้นมาใช้สอย หรือนำมาปลูกบ้านเรือน เทวดาจำพวกนี้อยู่ในความปกครองของ ท้าวธตรัฏฐะ คันธัพพเทวดานี้ สิงอยู่ในต้นไม้นั้นตลอดไป แม้ว่าใครจะตัดฟันไป ทำเรือ แพ บ้าน เรือน หรือเครื่องใช้สอยอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คงสิงอยู่ในไม้นั้น ซึ่งผิดกับรุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ ถ้าต้นไม้นั้นตายหรือถูกตัดฟัน ก็ย้ายจากต้นไม้นั้นไปต้นไม้อื่น
       ๒. กุมภัณโฑ กุมภัณฑี  ได้แก่ เทวดากุมภัณฑ์ ที่เราเรียกว่า รากษส เป็นเทวดาที่รักษา สมบัติต่าง ๆ มี แก้วมณี เป็นต้น และรักษาป่า ภูเขา แม่น้ำ ถ้ามีผู้ล่วงล้ำ ก้ำเกินก็ให้โทษต่าง ๆ เทวดาจำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าววิรุฬหก
       ๓. นาโค นาคี  ได้แก่ พวก เทวดานาค จะมีวิชาเกี่ยวกับเวทมนต์คาถาต่าง ๆ ขณะท่องเที่ยวไปในมนุษยโลก บางทีก็เนรมิตเป็นคน หรือเป็นสัตว์ เช่น เสือ ราชสีห์ เป็นต้น โดยเฉพาะชอบลงโทษพวกสัตว์นรก เทวดาจำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าววิรูปักขะ
       ๔. ยักโข ยักขี  ได้แก่ พวก เทวดายักษ์ จะพอใจในการเบียดเบียนสัตว์นรก เทวดา จำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เทวดาทั้ง ๔ จำพวกนี้ จะเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ เพราะอยู่ใกล้ชิดกับมนุษยภูมิ
ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกาภูมิ
 มนุษย์จะไปเกิดเป็นเทพยดาในสรวงสวรรค์ นั้น จะต้องประกอบกรรมอันเป็นบุญเป็นกุศล เช่น การทำบุญใส่บาตร ทำทาน รักษาศีล เป็นต้น ในการจะไปเกิดในสวรรค์ชั้นใด ก็จะต้องทราบถึงวิธีการวางใจ ในการทำบุญว่า ทำเพื่ออะไร วางใจอย่างไรจะได้บุญมาก จะไปสวรรค์ชั้นใด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ใน ทานสูตร ว่า
ถ้าผู้ใดให้ทานโดยหวังผลบุญจากการให้ทาน
เมื่อตายไปจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
          ตัวอย่างของผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา  คือ 
         พระ เจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นพระราชบิดา ของพระเจ้าอาชาตศัตรู ได้ทรงปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นโสดาบันบุคคล เมื่อสวรรคตแล้วก็ไปบังเกิด ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นสหายของท้าวเวสสุวรรณมหาราช ชื่อว่า ชนวสภยักษ์ 
 
สวรรค์ชั้นที่ ๒
       ดาวดึงสาภูมิ หมาย ถึง ภูมิอันเป็นที่เกิดของบุคคล ๓๓ คน ที่ได้สร้างกุศลไว้ในอดีต เป็น “สหบุญญการี” ที่มี มาฆมานพ เป็นหัวหน้า เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ พร้อมบริวารอีก ๓๒ รวม เป็น ๓๓ เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ในชั้นดาวดึงส์ ดาวดึงสาภูมินี้ เป็นผืนแผ่นดินผืนแรก ที่เกิดขึ้นในโลก หลังจากโลกนี้ถูกทำลายด้วยน้ำ เมื่อน้ำงวดลงแผ่นดินผืนแรก ที่โผล่ขึ้นก่อนแผ่นดินอื่น ๆ ก็คือ ยอดเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ นี้เอง  เทวดาที่อยู่บนชั้นดาวดึงส์มีอยู่ ๒ จำพวก คือ
๑. ภุมมัฏฐเทวดา (เทวดาที่อยู่บนพื้นดิน)	ได้แก่ พระอินทร์และเทวดาผู้ใหญ่ ๓๒ องค์ 
พร้อมทั้งบริวาร และ เทวอสุรา ๕ จำพวก ที่อยู่ใต้ เขาสิเนรุด้วย
๒. อากาสัฏฐเทวดา (เทวดาที่อยู่ในอากาศ)	ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานลอยไปในกลางอากาศ ตั้งแต่เหนือพื้นดินยอดเขาสิเนรุ ไปจดขอบจักรวาล บางวิมานก็มีเทวดาอยู่ บางวิมานก็ไม่มีเทวดาอยู่
เรื่องของจักวาลและเขาสิเนรุ
จักรวาลหนึ่ง ๆ วัดโดยรอบได้ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์ ส่วนที่เป็น พื้นดิน หนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ โดยมี พื้นน้ำ รองรับหนา ๘๔๐,๐๐๐ โยชน์ น้ำนี้ตั้งอยู่บน ลม ซึ่งมีความหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์
เขาสิเนรุ เป็นภูเขาสูงสุดตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล หยั่งลงสู่ห้วงน้ำ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ และสูงขึ้นไปในอากาศ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ยอดเขาสิเนรุมีลักษณะกลม มีเทือกเขา ๗ เทือก ล้อมรอบอยู่ คือ
    
๑.ยุคันธร   ๒.อีสินธร   ๓.กรวิก   ๔.สุทัสสนะ   ๕.เนมินทร   ๖.วินัตตถะ   ๗.อัสสกรรณ   ซึ่งเป็นภูเขาทิพย์ 
แผ่นดินชั้นดาวดึงส์ ตั้งอยู่บนยอดเขาสิเนรุนี้ มีลักษณะกลม กว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สุทัสสนะนคร ซึ่งเป็นนครของพระอินทร์ กว้าง ๑๐๐ โยชน์ มี กำแพง ล้อมรอบ ๔ ชั้น มี ประตู ด้านละ ๒๕๐ ประตู รวม ทั้ง ๔ ด้าน มีประตู ๑,๐๐๐ ประตู  ในสุทัสสนะนครนี้ มี ปราสาทเวชยันต์ ที่เป็นที่อยู่ของท้าวสักกะ (พระอินทร์) ทิศใต้ของนครมีสวนดอกไม้ชื่อ นันทวัน กว้าง ๑๐๐ โยชน์ ในสวนมีสระโบกขรณี ๒ สระ คือ มหานันทา และจุฬนันทา ขอบสระและรอบ ๆ บริเวณสระปูลาดด้วยแผ่นศิลา เป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
ทิศตะวันตก ของสุทัสสนะนคร มีสวนชื่อ จิตรลดา กว้าง ๕๐๐ โยชน์ มีสระโบกขรณี ๒ แห่ง คือ วิจิตรา และ จุฬจิตรา 
          ทิศเหนือ ของสุทัสสนะนคร มีสวนชื่อ มิสสกวัน กว้าง ๕๐๐ โยชน์ มีสระโบกขรณี ๒ แห่ง คือ ธัมมา และ สุธัมมา
          ทิศใต้ มีสวนชื่อ ผารุสกวัน กว้าง ๗๐๐ โยชน์ มีสระโบกขรณี ๒ แห่ง คือ ภัทรา และ สุภัทรา สวนทั้ง ๔ แห่งเหล่านี้ เป็นรมณียสถาน สำหรับพักผ่อนรื่นเริงของเทวดาในชั้นดาวดึงส์
          ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของสุทัสสนะนคร มีสวนอีก ๒ แห่ง คือ สวน ปุณฑริกะ และมหาวัน ที่สวนปุณฑริกะมี ต้นปาริชาติ สูง ๑๐๐ โยชน์ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป ๕๐ โยชน์ เมื่อคราวออกดอกจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปไกล ๑๐๐ โยชน์ ที่ใต้ต้นปาริชาติมีแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ หนา ๑๕ โยชน์ มีสีแดงเหมือนดอกชบา ยุบได้เวลานั่ง ฟูขึ้นเมื่อเวลายืนขึ้น หน้าแท่นศิลานี้มีศาลาฟังธรรม ชื่อว่า ศาลาสุธัมมา มีเจดีย์มรกต คือ จุฬามณี สูง ๑๐๐ โยชน์ ซึ่งบรรจุพระเขี้ยวแก้วข้างขวา ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระเกศา ี่ทรงตัดไว้ในตอนเสด็จออกบรรพชา 
          
          สวนมหาวัน เป็นที่ประทับสำราญพระอิริยาบถของ ท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) มีสระโบกขรณี สุนันทา กว้าง ๔ โยชน์ และมีวิมานรายล้อมอยู่ ๑,๐๐๐ วิมาน
ชีวิตความเป็นอยู่ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ 
ความเป็นอยู่ของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ ล้วนแต่เป็นผู้เสวยทิพยสมบัติจากผลบุญ ที่ได้กระทำไว้ อารมณ์ ที่ได้รับในชั้นดาวดึงส์ จึงล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่ดีเลิศ เทพบุตร จะมีวัย ๒๐ ปี ส่วน เทพธิดา มีวัย ๑๖ ปี เหมือนกันทุก ๆ องค์ ไม่มีการแก่ เจ็บ ตาย ให้ปรากฏเห็น มีแต่ความสวยงาม เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอดไปจนกระทั่งตาย
          
          เทวดาในเทวโลกนี้ เกิดขึ้นโดยโอปปาติกกำเนิด คือ โตทันที มีอวัยวะครบบริบูรณ์ ถ้าจะเกิดเป็น บุตรเป็นธิดา ก็จะเกิดขึ้น ในตัก ถ้าจะเกิดเป็น บาทบริจาริกา (ภรรยา) จะไปเกิดใน ที่นอน ถ้าเกิดเป็นเทวดา ผู้รับใช้ ก็จะเกิด ภายในวิมาน
          
          เมื่อ เทวดาเกิด ขึ้น ในวิมาน ของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว ก็จะต้องเป็นบริวารของเจ้าของวิมานนั้น ๆ โดยเทวดาอื่นจะมาแย่งชิงไปไม่ได้ ถ้าเกิดระหว่างแดนวิมานต่อวิมาน ก็ต้องดูว่าใกล้เคียงกับวิมานขององค์ใด ก็จะเป็นบริวารของเจ้าของวิมานนั้น ถ้าเกิดระหว่างกลางวิมานต่อวิมาน ถ้าหันหน้าไปทางวิมานใด ก็ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของวิมานนั้น ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็จะพากันไปให้พระอินทร์เป็นผู้พิจารณา ถ้าผู้เกิดมาไม่หันหน้าไปทางวิมานใด ก็ต้องตกเป็นบริวารของพระอินทร์ไป 
          
          เทพบุตรองค์หนึ่ง ๆ อาจ จะมีนางฟ้าเป็นบาทบริจาริกา (ภรรยา) ๕๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ตนได้ทำไว้ และเทวดาจำนวนมาก ที่ไม่มีวิมานเป็นของตนเอง บางทีก็เกิดความวุ่นวายทะเลาะวิวาท มีการพิพากษาตัดสินกันเหมือนกับมนุษยโลกของเรานี้
          
          ความเป็นอยู่ของเทวดาในเทวโลกนี้ ก็ เป็นไปเช่นเดียวกับมนุษยโลก มีการไปมาหาสู่ เบียดเบียนกัน มีนักดนตรี นักร้อง เทพบุตร เทพธิดา มีความรักใคร่ปรารถนาเป็นคู่ครองกัน หากขาดคู่ครอง ก็ย่อมจะเกิดความเบื่อหน่าย ในความเป็นอยู่ของตน ไม่เบิกบานรื่นเริงเหมือนเทวดาที่มีคู่ครอง เทวดาในชั้นดาวดึงส์ ทั้งหลาย ต่างก็ไปหาความสุขสำราญในสวนทั้ง ๔ แห่ง พร้อมด้วยบริวารของตน ๆ อย่างสำเริงสำราญ
          
          ในเทวภูมิ ชั้นดาวดึงส์มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง และเป็นเทวโลกที่มีความเกี่ยวพันกับ พระพุทธศาสนาอยู่มาก โดยเฉพาะพระอินทร์ หรือท้าวสักกะเทวราชซึ่งได้เกื้อหนุนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชาติสุดท้าย ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระเวสสันดร และยังได้ตักบาตรแก่ พระมหากัสสปเถระที่ออกจากนิโรธสมาบัติด้วย เป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมที่ให้ผลในทันที ทำให้รัศมีกายและวิมานที่เคยรุ่งโรจน์แจ่มจรัสน้อยนั้น กลับสวยงามเจิดจ้าขึ้นมาในทันที
 ผู้ที่ปรารถนาจะเกิดเป็นพระอินทร์ จะต้องหมั่นสร้างบุญกุศลโดยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีคุณธรรม ๗ ประการ คือ 
๑. เลี้ยงดูบิดามารดา
๒. เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล
๓. กล่าววาจาอ่อนหวาน
๔. ไม่กล่าวคำส่อเสียด
๕. ไม่มีความตระหนี่
๖. มีความซื่อสัตย์
๗. ระงับความโกรธได้
ปัจจุบัน พระอินทร์หรือ ท้าวสักกะเทวราชองค์นี้ ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน แล้ว ด้วย การฟังพระธรรมเทศนา จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสักกปัณหสูตร นับเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก ในพระพุทธศาสนา และอยู่ในดาวดึงส์พิภพนี้ต่อไป จนสิ้นอายุขัย เมื่อจุติจากชั้นดาวดึงส์แล้ว จะมาบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมนุษยโลก และสำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล เมื่อสิ้นชีพแล้วก็กลับไปเกิดในชั้นดาวดึงส์อีก และได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี เมื่อสิ้นอายุแล้วจะไปบังเกิดเป็นพรหมโลก ในชั้นสุทธาวาสภูมิขั้นต้น คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐาภูมิ ตามลำดับ และเข้านิพพานในชั้นสุดท้ายนี้ นี่เป็นเรื่องราวของพระอินทร์พอสังเขป
          
          สถานที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา อัน เป็นพุทธศาสนสถานที่สำคัญของเทวโลก คือ
ศาลาสุธัมมา เป็นสถานที่ฟังธรรมในเทวโลก บรรดาเทวดาทั้งหลาย จะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม โดยมีท้าวสักกะเทวราช องค์อมรินทร์เป็นประธาน ศาลาสุธัมมานี้ ประกอบด้วยรัตนะ ๗ สูง ๕๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๑,๒๐๐ โยชน์ พื้นประกอบด้วยแก้วผลึก เสาเป็นทอง เครื่องบนคือ ขื่อ คาน ระแนง เป็นต้นทำด้วยรัตนะทั้ง ๗ หลังคามุงด้วยอินทนิล เพดาน เสา ประกอบเป็นแก้วระพาฬ ลวดลายต่าง ๆ ช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วยเงิน
          
          ภายในศาลา ตรงกลางเป็นที่ตั้งธรรมาสน์สูง ๑ โยชน์ ทำด้วยรัตนะทั้ง ๗ ปกกั้นด้วยเศวตฉัตรสูง ๓ โยชน์ ข้างธรรมาสน์ เป็นที่ประทับของท้าวโกสีย์เทวราช ถัดไปเป็นที่ประทับของเทวดาผู้ใหญ่ ๓๒ องค์และเทวดาอื่น ๆ 
          
          ศาลาสุธัมมานี้ ตั้งอยู่ข้าง ต้นปาริฉัตร ซึ่ง ออกดอกปีละครั้ง เมื่อเวลาใกล้จะผลิดอก ใบปาริฉัตรจะมีสีนวล เวลานั้นเหล่าเทวดา จะมีความยินดีปรีดา ว่าอีกไม่ช้าจะได้เห็นดอกออกสะพรั่ง ฉายสีแดง เป็นรัศมีแผ่ไปในปริมณฑลประมาณ ๕๐๐ โยชน์ ส่งกลิ่นหอมไปตามลมได้ไกล ๑๐๐ โยชน์ 
          
          ดอกปาริฉัตรนี้ เมื่อต้อง ลมกันตนะ จะหล่นลงมาเอง ไม่ต้องสอยและมี 
ลมสัมปฏิจฉนะ รองรับดอกไม้ไม่ให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินได้ 
ลมปเวสนะ ทำหน้าที่พัดพาเอาดอกเก่าที่เหี่ยวเฉาออกไป 
ลมสันถกะ ก็จะพัดจัดระเบียบเรียบร้อย มิให้ไปกองรวมกัน
          
          การฟังธรรมในศาลาสุธัมมานี้ เมื่อถึงเวลาที่จะมาประชุมฟังธรรม ท้าวสักกะอมรินทร์ ก็จะทรงเป่า สังข์วิชยุตตระ ซึ่ง ยาว ๑๒๐ ศอก ดังก้องกังวานทั่วไปทั้งภายในและภายนอกพระนครสุทัสสนะ เสียงสังข์ที่เป่าครั้งหนึ่งจะดังปรากฏอยู่นานถึง ๔ เดือนมนุษย์
          
          เทพบุตร เทพธิดาทั้งหลายในชั้นดาวดึงส์ เมื่อได้ยินเสียงสังข์ ต่างก็พากันมาสู่ศาลาสุธัมมา รัศมีจากร่างกาย และแสงจากเครื่องประดับของเทวดาทั้งหลาย ก็สว่างไสวไปทั่วศาลา ท้าวสักกะเทวราช เมื่อเป่าสังข์แล้วก็เสด็จจากปราสาทเวชยันต์ พร้อมด้วยมเหสีทั้ง ๔ องค์ ทรงขึ้น ช้างเอราวัณ มีเทพยดาห้อมล้อมตามเสด็จ ไปสู่ศาลาสุธัมมา ประมาณ ๓ โกฏิ ๖ ล้านองค์
 
          สุนังกุมารพรหม เสด็จจากพรหมโลกมาแสดงธรรมเป็นประจำ แต่บางครั้งท้าวอมรินทร์ก็ทรงแสดงเอง หรือบางทีเทพบุตรผู้มีความรู้ธรรมะดีก็จะเป็นผู้แสดง
 
          ศาลาสุธัมมานี้ แม้ในเทวภูมิเบื้องบนอีก ๔ คือ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี ก็มี ศาลาสุธัมมา เช่นเดียวกัน
          
          เมื่อ เทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้ว ๑๐๐ ปี ในมนุษย์เท่ากับ ๑ วัน ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่หวังผลบุญของการทำทาน แต่ทำทานโดยคิดว่าการทำทานนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม เมื่อตายลงย่อมไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์
          
          ตัวอย่างของผู้ไปเกิดในชั้นดาวดึงส์ คือ มาฆมานพ พร้อมด้วยสหาย ๓๒ คน ขณะที่เป็นมนุษย์ ได้ช่วยกันทำถนนหนทาง ทางเดินที่ไม่สะดวก ให้สัญจรไปมาได้สะดวก ขุดบ่อน้ำ ที่พักคนเดินทาง เคารพนอบน้อมในผู้ใหญ่ บำรุงเลี้ยงบิดามารดา เมื่อสิ้นชีวิต จึงได้ไปบังเกิดเป็นพระอินทร์ ในชั้นดาวดึงส์สถาน พร้อมด้วยบริการดังกล่าวแล้ว
สถานที่น่าสนใจในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
๑. สวนสวรรค์
 ได้แก่สวนสวรรค์ซึ่งเป็นอุทยานทิพย์ที่มีชื่อเสียง ๔ อุทยานด้วยกัน คือ
๑. นันทวันอุทยานทิพย์ 	ตั้งอยู่ในด้านทิศตะวันออก แห่งดาวดึงส์แดนสวรรค์
๒. จิตรลดาวันอุทยานทิพย์ 	ตั้งอยู่ในด้านทิศตะวันตก แห่งดาวดึงส์แดนสวรรค์
๓. มิสกวันอุทยานทิพย์ 	ตั้งอยู่ในด้านทิศเหนือ แห่งดาวดึงส์แดนสวรรค์
๔. ปารุสกวันอุทยานทิพย์ 	ตั้งอยู่ในด้านทิศใต้ แห่งดาวดึงส์แดนสวรรค์
          
          ซึ่ง เป็นสวนขวัญอุทยานทิพย์ที่มีความรื่นรมย์ สนุกสนาน หาที่เปรียบไม่ได้ในมนุษยโลก ซึ่งเต็มไปด้วยบุปผาชาตินานาพรรณ มีสระโบกขรณีอันทิพย์ มีน้ำใสดั่งแก้ว มีก้อนศิลาที่เป็นทิพย์มีรัศมีรุ่งเรือง มีแท่นที่นั่งอันอ่อนนุ่มมีสีใสสะอาด เหล่าเทพบุตรเทพธิดา ก็จะมาในสวนสำราญเหล่านี้อย่างไม่ขาดสาย 
๒.พระเกศจุฬามณีเจดีย์
เป็น สถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง สร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็นทิพย์ มีความสวยงาม รุ่งเรืองยิ่งนัก ยอดพระเจดีย์เป็นทองคำบริสุทธิ์ ประดับด้วยรัตนะ ๗ ประการ (รัตนะคือแก้ว ๗ ประการ) เจดีย์นี้สูง ๘๐,๐๐๐ วา มีกำแพงทองคำล้อมรอบทั้ง ๔ ทิศ มีความยาว ๑๖๐,๐๐๐ วา ประดับด้วยธงนานาชนิด พระเจดีย์นี้เป็นที่บรรจุสิ่งที่มีค่ายิ่ง ๒ อย่าง คือ
          
          ๑. พระเกศโมลี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือมวยผมที่ตัดออก ขณะที่เสด็จออก บรรพชา (ภิเนษกรมณ์) และได้อธิษฐานว่า “ถ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไปบนนภากาศเถิด อย่าได้ตกลงสู่พื้นปฐพีเลย” ครานั้นสมเด็จพระมหาอมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ในชั้นดาวดึงส์นี้ จึงนำเอาพระผอบทองมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วนำขึ้นไปบนดาวดึงส์สวรรค์ สร้างเจดีย์สำหรับบรรจุพระโมลีโดยเฉพาะ
          
          ๒. พระบรมธาตุ เขี้ยวแก้วเบื้องขวา ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่ถวาย พระเพลิงพระพุทธสรีระของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โทณพราหมณ์ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ได้นำเอาพระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ที่ผ้าโพกศรีษะ แล้วจึงได้จัด พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือออกเป็น ๘ ส่วน เพื่อถวายแก่กษัตริย์ต่าง ๆ ในครั้งนั้น ท้าวสักกะเทวราช จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เขี้ยวแก้วจากผ้าโพกศรีษะของโทณพราหมณ์นั้น ลงสู่พระผอบทองคำทิพย์อีกทอดหนึ่ง ด้วยกิริยาอันเลื่อมใสยิ่ง แล้วรีบเสด็จมาประดิษฐานบรรจุไว้ในพระเกศจุฬามณีเจดีย์นี้
๓.ต้นปาริชาต (กัลป์พฤกษ์)
อยู่ ในอุทยานทิพย์ ปุณฑริกวัน มีบริเวณกว้างขวางมีกำแพงล้อมรอบ ๔ ด้าน กลางสวนนั้นมี ต้นไม้ทองหลางใหญ่แผ่สาขาอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชื่อว่า ต้นปาริชาต หรือ กัลปพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์ มีแท่นศิลาแก้วนามว่า “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” เป็นแท่นสีแดงดังดอกชบา อ่อนนุ่มดังฟูก เมื่อพระอินทราธิราชประทับ พักผ่อนอิริยาบถอยู่เหนือแท่นศิลาอาสน์แล้ว แท่นทิพย์นี้ก็จะอ่อนยุบลงไป และเมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะฟูขึ้นเต็มตามเดิม เป็นแท่นศิลาที่ประหลาดมหัศจรรย์ ยุบและฟูขึ้นเองโดยธรรมชาติ
          
          ต้น กัลปพฤกษ์นี้ ๑๐๐ ปี ถึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงคราวนั้นดอกไม้ในสวรรค์นี้ก็จะบานสะพรั่ง เหล่าเทพบุตรเทพธิดา ก็จะพากันมารื่นเริง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเฝ้า จนกว่าดอกไม้จะบาน ครั้นดอกไม้สวรรค์นั้นบานแล้ว ก็จะปรากฏแสงรุ่งเรือง งดงามยิ่งนัก รัศมีของดอกปาริชาต จะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใด ย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้น เป็นระยะไกลแสนไกล ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด ปรารถนาจะได้ดอกปาริชาต ก็จะตกลงมาในมือดั่งรู้ใจ ถ้ายังไม่ได้รับในมือดอกก็ยังไม่ทันตกลงดิน โดยมีลมชนิดหนึ่งจะพัดชูดอกไว้ในอากาศ จนกว่าเทพยดาผู้ใดประสงค์ก็จะมารับเอาไป
๔.ศาลาสุธรรมาเทวสภา
 เป็น เทวสถานที่อยู่ไม่ไกลจากต้นปาริชาตเท่าไรนัก เป็นศาลาทิพย์ที่งามสง่ายิ่งนัก ศาลานี้เต็มไปด้วยแก้วผลึก ประดับไปด้วยแก้วรัตนะ ๗ ประการ มีกำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ ที่ศาลานี้มีดอกไม้พิเศษอีกชนิดหนึ่งชื่อว่า ดอกอสาพติ หนึ่ง พันปีจะออกดอกครั้งหนึ่ง ส่งกลิ่นหอมอบอวล เทพธิดาทั้งหลาย ก็จะเปลี่ยนเวรกันมาเฝ้า โดยมีจิตผูกพันรักใคร่ดอกไม้นี้ยิ่งนัก
          
          ศาลาสุธรรมานี้ เป็นที่ประชุมฟังธรรม ของเหล่าเทวดาสัมมาทิฏฐิทั้งหลาย ซึ่งได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
 
สวรรค์ชั้นที่ ๓
 
ยามาภูมิ เป็นเทวภูมิ หรือ สวรรค์ ชั้นที่ ๓ ซึ่ง สวยงามและประณีตกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ที่พรั่งพร้อม ด้วยความสุขที่เป็นทิพย์ ปราศจากความยากลำบากใด ๆ พระสยามเทวาธิราช หรือ เรียกว่า พระสุยามะ หรือ ยามะ ผู้เป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในสวรรค์ชั้นนี้ 
ยามาภูมินี้ เป็นภูมิที่ตั้งอยู่ในอากาศ จึงไม่มีเทวดาประเภทที่อาศัยบนพื้นดิน คือ กุมมัฏฐเทวดา มีแต่พวกอากาสัฏฐเทวดาพวกเดียว มีวิมาน ทิพยสมบัติ ร่างกาย สวยงามและประณีตกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ อายุขัยก็ยืนกว่าด้วย
          
           พื้นที่ของยามาภูมิอยู่ในอากาศ สูงกว่ายอดเขาสิเนรุ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ มีบริเวณกว้างขวางขยายออกไป จนจดกำแพงจักรวาล มีวิมานของเทวดาเรียงรายอยู่โดยทั่วไป 
          
          เมื่อ เทียบเวลาระหว่าง มนุษย์กับสวรรค์ชั้นยามาภูมิแล้ว ๒๐๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ในสวรรค์ชั้นยามา
 ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเป็นการทำดี “แต่คิดว่า บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ได้เคยทำบุญทำทานมา โดยตลอด เราก็ควรจะได้ทำตามประเพณีที่ท่านเคยทำมา”
          
          ถ้า ผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเหล่าเทวดาทั้งหลายใน สวรรค์ชั้นยามา 
          
          ตัวอย่างผู้ที่ไปเกิดในชั้นยามาภูมิ คือ อุบาสกผู้หนึ่ง มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้อุทิศถวายอาหารเป็นสังฆทาน แก่พระภิกษุสงฆ์วันละ ๔ รูปทุกวัน ได้จ้างบุรุษผู้หนึ่งคอยเปิดปิดประตูเวลา พระจะมารับสังฆทาน บุรุษนั้นต้อนรับพระภิกษุสงฆ์ ที่มารับสังฆทาน ด้วยความนอบน้อมเลื่อมใสศรัทธา เมื่ออุบาสกผู้นั้นดับชีพลง ได้ไป บังเกิดในสวรรค์ชั้นยามา ส่วนบุรุษผู้ต้อนรับเฝ้าประตู ก็ไปบังเกิดในดาวดึงส์ สถานสวรรค์ชั้นถัดลงมา
 
สวรรค์ชั้นที่ ๔
 ดุสิตาภูมิ เป็น สวรรค์ที่ปราศจากความร้อนใจ มีความยินดีแช่มชื่นใจในทิพยสมบัติของตนอยู่เป็นนิตย์ เป็นภูมิที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ทั้งหลายก่อนที่จะไปบังเกิดในมนุษยโลก และบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังเป็นที่เกิดของผู้ที่จะเป็น อัครสาวก ก่อน ที่จะไปบังเกิดในมนุษยโลกอีกด้วย ดังนั้น เทวดาที่อยู่ในชั้นดุสิตาภูมินี้ จึงนับว่าเป็นเทวดาที่ประเสริฐกว่าเทวดาในภูมิอื่น ๆ 
          
          ดุสิตาภูมิ เป็น ภูมิที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ สูงจากชั้นยามาขึ้นไป ๔๒,๐๐๐ โยชน์ มีบริเวณแผ่กว้างออกไปจนจดขอบจักรวาล มีเทวดาที่เป็นอากาสัฎฐเทวดาเท่านั้น โดยมีท้าวสันตุสิตเทวราช เป็นผู้ปกครอง มีวิมาน ทิพยสมบัติ ร่างกาย สวยงามประณีตกว่าเทวดาในชั้นยามา อายุก็ยืนกว่าประมาณ ๔ เท่า
          
          เมื่อ เทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิแล้ว ๔๐๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ในสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิ
 ในทานสูตร กล่าว ไว้ว่า ผู้ใดให้ทานโดยไม่คิดว่าทำตามบิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี แต่ให้ทานโดยคิดว่า เราหุงหากิน สมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่ได้หุงหากิน ถ้าเราไม่ให้ทาน ก็เป็นสิ่งไม่ควรอย่างยิ่ง เมื่อเขาตายลง ก็ย่อมไปบังเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต
          
          ตัวอย่างที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ได้แก่ พระนางสิริมหามายา พุทธมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ครั้นประสูตพระโพธิสัตว์แล้ว ๗ วัน ก็ดับขันธ์ไปอุบัติเกิด เป็นเทพบุตรงามโสภา อยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ อาจมีคำถามว่า ทำไมต้องเกิดเป็นเทพบุตรซึ่งเป็นชาย เกิดเป็นเทพธิดาไม่ได้หรือ ด้วยเหตุผลมีว่า เพราะเป็นวิสัยของพระพุทธชนนี ซึ่งมีบุญญาธิการ ถ้าไปเกิดเป็นเทพธิดาแล้ว หาก เทพบุตรองค์ใดเกิดความปฏิพัทธ์มีจิตรักใคร่เสน่หา จะเกิดเป็นโทษอย่างยิ่งแก่เทพบุตรองค์นั้น 
 
สวรรค์ชั้นที่ ๕
นิมมานรดีภูมิ เป็น สวรรค์ชั้นที่ ๕ เทวดาที่เกิดในภูมินี้ย่อมมีความสนุกเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง ๕ ที่ตนเนรมิตขึ้นมาตามความพอใจของตน เทวดาที่เกิดอยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ดาวดึงส์ ยามา และดุสิตา ทั้ง ๔ ภูมินี้ ย่อมมีคู่ครองของตนเป็นประจำอยู่มากบ้าง น้อยบ้าง ตามบุญญาธิการของตน แต่ในชั้นนิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี ๒ ภูมินี้ ไม่มีคู่ครองของตนเป็นประจำ เทพบุตรหรือเทพธิดาในชั้นนี้ เวลาใดที่จะปรารถนาใคร่เสพในกามคุณ เวลานั้นก็จะเนรมิตเทพบุตรเทพธิดาขึ้นมา ตามที่ใจปรารถนา เมื่อได้ เพลิดเพลินกับการเสพกามคุณนั้น ๆ สมใจแล้ว เทพบุตรเทพธิดาที่เนรมิตมานั้น ก็จะอันตรธานหายไป เมื่อ ปรารถนาอีกก็เนรมิตขึ้นมาใหม่ เมื่อสมปรารถนาแล้วก็หายไป มีความเพลิดเพลินเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป
          
          เมื่อ พิจารณาดูแล้วก็น่าไปเกิด แต่เมื่อพิจารณาโดยสภาวธรรมแล้ว จะเห็นว่าเป็นการไปใช้ บุญเก่าจากที่ได้สะสมมาแล้วมากมาย พร้อมนี้ก็สะสมกิเลสใหม่ไปด้วย เมื่อหมดบุญเก่า ก็ต้องไปรับผลของกิเลสที่สะสมใหม่นั้นอีก เมื่อพ้นจากเทวภูมิแล้ว อาจจะไปเกิดในอบายภูมิได้ จึงไม่ควรที่จะยินดี แต่ให้มองเห็นวัฏฏะของชีวิตว่า ตราบใดเมื่อยังมีการเกิดอีก ความทุกข์ความโทมนัสไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แน่นอน
          
          นิมมานรดี ภูมินี้ อยู่กลางอากาศห่างจากดุสิตาภูมิขึ้นไป ๔๒,๐๐๐ โยชน์ มีแต่อากาสัฏฐเทวดา อย่างเดียว ที่มีความสวยงาม ประณีตกว่าเทวดาในชั้นดุสิตา มีอายุยืนกว่า ประมาณ ๔ เท่า
ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า ผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเราหุงหากิน แต่สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ได้หุงหากิน เราจะไม่ให้ทานก็ไม่บังควรอย่างยิ่ง แต่ได้คิดว่าเราจะให้ทาน เหมือนอย่างฤาษีทั้งหลาย ที่ได้กระทำมาในอดีต เมื่อตายลงย่อมไป บังเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
          
          ตัวอย่างผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ก็คือ หญิงชรายากจนอนาถา ผู้หนึ่ง ได้ใส่บาตรด้วยน้ำผักดอง แก่พระมหากัสสปเถระเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ พอตกกลางคืน เข้านอนเกิดเป็นโรคลมฉับพลัน ถึงแก่ความตาย ซึ่งก่อนที่จะตาย นางยังชื่มชมปีติโสมนัสอยู่ในใจ ที่พระมหากัสสปเถระเจ้า ได้กรุณามาโปรดถึงหน้าบ้าน เพื่ออนุเคราะห์ให้นางได้ทำทาน ทำให้นางไปเกิดเป็นเทพนารี มีฤทธิ์ มีอนุภาพมากในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เสวยทิพยสมบัติอยู่ในปราสาทพิมาน
 
สวรรค์ชั้นที่ ๖
ปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๖ ที่มีความสุขความสำราญ มีความเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง ๖ เป็นอย่างยิ่ง เมื่อปรารถนาเสวยกามคุณเมื่อใด เทวดาองค์อื่นรู้ใจคอยปรนนิบัติ โดยเนรมิตให้ตามความต้องการ
          
          เทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมินี้ ทั้งเทวดาที่เป็นเทพบุตรและเทพธิดา เวลา ใดที่ปรารถนาจะเสวยในกามคุณ ก็มีเทวดาที่รู้ใจเนรมิตให้ เมื่อได้เสวยกามคุณสมความปรารถนาแล้ว สิ่งที่เนรมิตมาก็จะสิ้นไป เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี จึงไม่มีคู่ครองประจำเหมือนกับเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ดาวดึงส์ ยามา และ ดุสิตา 
          
          ปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ ตั้งอยู่ในอากาศ ห่างจากนิมมานรดีภูมิ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ปรนิมมิตวสวัตดี ภูมินี้มีแต่อากาสัฏฐเทวดาอย่างเดียว มีท้าวปรนิมมิตตเทวราช หรือ ท้าววสวัตดีเทวราช เป็นใหญ่เป็นผู้ปกครอง อากาสัฏฐเทวดาทั้งหลายในภูมินี้
          
          วิมาน ทิพยสมบัติและร่างกาย มีความสวยงามประณีต มากกว่าเทวดาในชั้นนิมมานรดี มีอายุ ยาวกว่าประมาณ ๔ เท่า ถือว่าเป็นยอดภูมิ คือ ภูมิที่สูงสุดของเทวดาในเทวภูมิ ๖ ท้าววสวัตดีเทวราช ซึ่งปกครองในสวรรค์ชั้นนี้นั้น มิใช่มีอำนาจปกครอง แต่เฉพาะเทวดา ที่อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจปกครองทั่วไป ถึงสวรรค์ชั้นต่ำลงอีก ๕ ชั้นด้วย คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ด้วย
          
          เมื่อ เทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ แล้ว ๑,๖๐๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า ผู้ใดทำทานโดยไม่ได้คิดว่า ทำทานตามฤาษีในอดีตที่เคยทำมา แต่คิดว่าทำทาน เพื่อให้จิตเกิดความปลื้มปีติในบุญที่ทำ
          
          ตัวอย่างผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ได้แก่ นางสิริมา เดิมเป็นหญิงนครโสเภณีชั้นสูง เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนา จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สำเร็จเป็นโสดาบัน มุ่งหน้า ประกอบแต่การกุศลตลอดมา มีการถวายทาน รักษาศีล ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย ถวายสลากภัตวันละ ๘ สำรับ อาราธนาให้พระภิกษุสงฆ์ไปสู่เรือนตน เพื่อรับสลากภัตวันละ ๘ รูป ทุกวัน ทานจะถวายอาหารอย่างประณีตที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถวายให้อย่างจุใจ ถวายภิกษุรูปเดียวสามารถจะฉันได้ถึง ๓ ถึง ๔ รูป เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตดี ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในเทวโลก เสวยสุขอันเปี่ยมล้นหฤทัยสุดจะพรรณา
           *************************************
                       นรกภูมิ
   ขอเสริมด้วย นรกภูมิ โดยสังเขปเพื่อเป็นอุทาหรณ์ เมื่อกล่าวถึง
สวรรค์แล้วก็ควรจะมีนรกภูมิประกอบด้วย ระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่ว
ไว้เพื่อท่านสาธุชนจะได้พึงสังวรณ์ไว้ ว่าท่านจะเลือกทางใดทางหนึ่ง
เพื่อจะไปเสวยผลนั่นเอง
                         นรกภูมิื
นรกภูมิ
นรกภูมิ เป็นสถานที่เกิดของผู้ที่ทำบาปอกุศลไว้ เมื่อบุคคลผู้ทำบาปตายลง ถ้าบาปอกุศลนั้นส่งผลจะส่งผลมาเกิดในนรก ต้องเสวยผลของบาปที่ทำไว้ ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส แบ่งเป็นขุมได้ ๘ ขุม เรียกว่า “มหานรก ๘ ขุม”
มหานรก มี ๘ ขุม
๑. สัญชีวนรก แปลว่า คืนชีวิตขึ้นเอง หมายถึงสัตว์นรกในขุมนี้ถูกตัดเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่แล้วก็กลับคืนชีวิตขึ้น มาเองอีก ได้รับการทรมานอยู่ร่ำไป
 ๒. กาฬสุตตนรก แปลว่า เส้นด้ายดา หมายถึงสัตว์นรกขุมนี้ที่ร่างกายถูกตีเส้นด้วยเส้นด้ายสีดา เหมือนอย่างตีเส้นที่ต้นซุงเพื่อที่จะเลื่อย แล้วถูกผ่าด้วยขวานเป็น ๘ เสี่ยง ๑๖ เสี่ยง ได้รับทุกข์อย่างแสนสาหัส
๓. สังฆาตนรก แปลว่า กระทบกัน หมายถึงมีภูเขาเหล็กคราวละ ๒ ลูก จากทิศที่ตรงกันข้ามเลื่อนเข้ามากระทบกันเอง บดสัตว์นรกในระหว่างให้แหลกละเอียด จาก ๔ ทิศก็เป็นภูเขา ๔ ลูกเลื่อนเข้ามากระทบกันตลอดเวลา
๔. โรรุวนรก แปลว่า ร้องครวญคราง คือ มีเปลวไฟเข้าไปทางทวารทั้งเก้า เผาไหม้ในสรีระจึงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ บางพวกถูกหมอกควันด่าง(เป็นกรด) เข้าไปละลายสรีระจนละเอียดเหมือนแป้ง จึงร้องครวญครางเจ็บปวดเพราะหมอกควัน
 ๕. มหาโรรุวนรก แปลว่า ร้องครวญครางมาก คือเป็นทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อที่ ๔
๖. ตาปนนรก แปลว่า ร้อน คือถูกให้นั่งเสียบตรึงไว้ด้วยหลาวเหล็กบนพื้นแผ่นดินเหล็กแดงลุกเป็นไฟร้อน แรง บ้างก็ถูกต้อนขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่มีไฟลุกโชน ถูกลมพัดตกลงมาถูกเสียบด้วยหลาวเหล็กที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นแผ่นดินเหล็กแดง ที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
 
๗. มหาตาปนนรก แปลว่า ร้อนสูงมาก คือเป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อที่ ๖
๘. อวีจินรก แปลว่า ไม่มีระหว่าง คือไม่เว้นว่างจากทุกข์ บางทีเรียกว่า มหาอวีจิ แปลว่า อเวจีใหญ่ ภาษาไทยมักเรียกว่า นรกอเวจี นรกขุมนี้มีไฟลุกโพลงเต็มทั่วไปหมด ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง สัตว์นรกขุมนี้ก็แน่นขนัดเหมือนยัดทะนาน ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง แต่ก็ไม่เบียดเสียดกันอย่างวัตถุสิ่งของ เพราะสัตว์นรกต่างถูกไฟเผาหม้อยู่ในที่เฉพาะตนๆ ความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกในขุมนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีว่างเว้น
พระ เทวทัตบังเกิดในอวีจินรก ยืนถูกทรมานอยู่บนพื้นเหล็กที่มีไฟลุกโชน เท้าทั้ง ๒ จมพื้นลงไปถึงข้อเท้า มือทั้ง ๒ จมฝาเหล็กถึงข้อมือ ศีรษะเข้าไปในเพดานโลหะถึงคิ้ว หลาวโลหะอันหนึ่งออกจากพื้นเบื้องล่างแทงร่างกายทะลุขึ้นไปในเพดาน หอกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศตะวันออกแทงทะลุหัวใจไปเข้าฝาทิศตะวันตก หอกอีกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศเหนือแทงทะลุซี่โครงไปเข้าฝาทิศใต้ ถูกตรึงแน่นขยับไม่ได้ ถูกเผาไหม้อยู่ในอวีจินรก
เครื่องทรมานสัตว์ นรก ในนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมนี้ มีเหล็ก เช่น พื้นแผ่นดินเหล็ก เครื่องอาวุธเหล็กต่างๆ มีไฟ คือ เหล็กนั่นแหละลุกเป็นไฟร้อนแรง มีภูเขาเหล็กที่กลิ้งมาบด และมีหมอกควันชนิดเป็นกรดหรือด่าง เป็นเครื่องทรมานสัตว์นรกทั้งหลาย ในนรกขุมที่ ๑ และที่ ๒ มีนายนิรยบาล แปลว่า ผู้รักษานรก ไทยนิยมเรียกว่า ยมบาล เป็นผู้ทำการทรมานสัตว์นรก แต่นรกขุมที่ลึกลงไปกว่านั้น ในอรรถกถาสังกิจจชาดกไม่ได้กล่าวถึงนายนิรยบาล มีแต่ไฟ เหล็ก เครื่องอาวุธต่างๆ เป็นต้น บังเกิดขึ้นเองตามแต่อกุศลกรรมของแต่ละบุคคลนั้นๆ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทรมานสัตว์นรกเอง
นรกแดนอบายประกอบด้วย
มหานรก ๘ ขุม
อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม
ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
โลกันตร์นรก ๑ ขุม
รวม ๔๕๗ ขุม
ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
(อยู่รอบ ๔ ทิศ ทิศละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม)
:73:
โลหกุมภีนรก
 :040:เป็น หม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา สัตว์ที่มาเกิดต้องรับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อนเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ถูกต้มเคี่ยวในหม้อเหล็กนรกนั้นจนกว่าจะสิ้นอายุกรรมชั่วที่ตนได้ทำมา
บุพกรรม : จับสัตว์เป็นๆมาต้มในหม้อน้ำร้อน แล้วเอามากินเป็นอาหาร
สิมพลีนรก
 :040:เต็ม ไปด้วยป่างิ้วนรก มีหนามเหล็กคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม : คบชู้สู่สาว ผิดศีลธรรมประเวณี ชายเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น หญิงเป็นชู้กับสามีของผู้อื่น หรือชายหญิงที่มีภรรยาหรือสามี ประพฤตินอกใจไปสู่หาเป็นชู้กับผู้อื่น มักมากในกามคุณ
อสินขะนรก
 :040:สัตว์ นรกที่มาเกิดมีรูปร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรกเหล่านี้เหมือนคนบ้าวิกลจริตบ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหารตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม : เมื่อเป็นมนุษย์ชอบลักเล็กขโมยน้อย ขโมยของในสถานที่สาธารณะและของที่เขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ตามโพทะนรก
 :040:มี หม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ โดยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดง และกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม : ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆ เป็นคนใจอ่อนมัวเมาประมาท ดื่มกินสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าเป็นเนืองนิจ
อโยคุฬะนรก
 :040:เต็ม ไปด้วยก่อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร เมื่อกินเข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม : แสดงตนว่าเป็นคนใจบุญใจกุศล เรี่ยไรทรัพย์ว่าจะนำไปทำบุญสร้างกุศล แต่กลับยักยอกเงินทำบุญของผู้อื่นมาเป็นของตน การกุศลก็ทำบ้างไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้ หลอกลวงผู้อื่น
ปิสสกปัพพตะนรก
 :040:มี ภูเขาใหญ่ ๔ ทิศ เคลื่อนที่ได้ไม่หยุดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิดให้ร่างแหลกกระดูกแตกป่นละเอียดจนตายแล้ว ฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นกรรมของตน
บุพกรรม : เคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ประพฤติตนเป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราษฎร ทำร้ายร่างกาย เอาทรัพย์เขามาให้เกินพิกัดอัตราที่กฏหมายกำหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย
ธุสะนรก
 :040:สัตว์นรกที่มาเกิดมี ความกระหายน้ำมาก เมื่อพบสระมีน้ำใสสะอาดก็ดื่มกินเข้าไป อำนาจของกรรมบันดาลให้น้ำกลายเป็นแกลบ เป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลำไส้ เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส จากกรรมชั่วที่ทำมา
บุพกรรม : คดโกง ไม่มีความซื่อสัตว์ ปนปลอมแปลงอาหารและเครื่องใช้แล้วหลอกขายผู้อื่น ได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยมิชอบ
สีตโลสิตะนรก
 :040:เต็ม ไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตายฟื้นขึ้นมาก็ถูกจับโยนลงไปอีกซ้ำเรื่อย ไปจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม : จับสัตว์เป็นๆโยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็นๆทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทำเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์และตายเพราะน้ำ
สุนขะนรก
 :040:เต็ม ไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี ๕ พวก คือ หมานรกดำ, หมานรกขาว, หมานรกเหลือง, หมานรกแดง, หมานรกต่างๆ และยังมีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูก สุนัข แร้ง กา ไล่ขบกัดตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต
บุพกรรม : ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่าตายาย พี่ชายพี่สาวและญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ตลอดจนพระภิกษุสงฆ์สามเณร
ยันตปาสาณะนรก
 :040:มี ภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ตายแล้วก็กลับฟื้นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม : เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้า ด่าตีคู่ครองด้วยความโกรธ แล้วหันเหประพฤตินอกใจไปคบชู้เป็นสามีภรรยากับคนอื่นตามใจชอบ
     การที่ข้าพเจ้านำมาเผยแพร่ให้ทราบถึงกุศลกรรมและอกุศลกรรม
นั้นมิใช่ให้ท่านนั้นได้เชื่อถือแต่ประการใดก็หาไม่ เพียงเพื่อให้เกิด
ความสังวรณ์ ด้วยสิ่งที่นำมากล่าว ณ ที่นี้นั้นมีหลักฐานอ้างอิงทั้งสิ้น
เพื่อให้ท่านที่ประกอบแต่กุศลกรรม และอกุศลกรรมได้พึงสังวรณ์ไว้
เท่านั้นเอง  สวัสดีครับ
              **************************
                   *  แก้วประเสริฐ. *

qp011.gifCartoon_Animation_08.gifflowers_170.gif692823n68ya60jv9.gif				
comments powered by Disqus
  • ทางแสงดาว

    9 มกราคม 2554 21:29 น. - comment id 121214

    มาจองที่อ่านก่อนค่ะ......36.gif
    
    คุณชายฯ36.gif
  • ทางแสงดาวครับผม

    9 มกราคม 2554 21:51 น. - comment id 121215

    คุณชายฯ....ตั้งมากมายปานนี้  คงต้องจด..
    
    มากกว่าจำ...ทำดีพอนะคะ......
    
    ชอบชื่อ...ปาริฉัตร...รับว่าจำได้แค่นี้เอง
    
    กำลังจะถามอยู่เชียวว่า...อทิสมานกาย..
    
    คือ...พอดีคุณกิ่งโศกอธิบายไว้คร่าวๆ
    
    ในความคิดเห็นที่ผ่านมา......มาทราบราย
    
    ละเอียดเมื่ออ่านที่นี่....36.gif16.gif
    
       เคารพด้วยจริงใจ....
    
    ผมอ่านอทิสมานกายได้ตอนที่4...29.gif
  • แก้วประเสริฐ

    10 มกราคม 2554 17:17 น. - comment id 121222

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ ทางแสงดาว
    
          ได้เลยจ้า บทความนี้หากคนไม่ได้อ่าน
    แล้วก็จะเสียดายโอกาสยิ่งนักนะ สำหรับ
    เราชาวพุทธ อีกอทิสมานกายผมก็แฝงใน
    หลายรูปแบบไว้ผสมเข้าด้วยกันอีกด้วย
       รักคุณหญิงเสมอๆจ้า
    
                 16.gifแ้ก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    10 มกราคม 2554 17:39 น. - comment id 121224

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ ทางแสงดาว
    
        ครับคุณหญิง คำว่าอทิสมานกายนี้ เกิด
    จากการผุดขึ้นตามผลกุศลที่สร้างมานั่นเอง
    เนื่องจากสร้างผลบุญกุศลมาน้อยแต่ก็มาก
    กว่าอกุศลกรรม จึงไม่มีวิมานของตัวเอง
    อุปนิสัยใจคอแบ่งได้เป็นสองประเภท
    ประเภทที่ดุร้ายและประเภทที่ใจดี หากผุด
    จากต้นไม้แล้วมักจะมีนิสัยเห็นแก่ตัวดุร้าย
    หากผุดจากอากาศก็จะมีนิสัยไปในทางกุศล
    คือใจดี ด้วยเมื่อดับจิตจะเป็นโอปาติกะ
    ก่อนแล้วถึงดับจากโอปาติกะอีกทีจะเป็น
    อย่างไรก็ล้วนแล้วแต่ผลานิสงฆ์ของกุศล
    กรรมที่สร้างไว้ การผุดของโอปาติกะ
    นี้จะเกิดดับๆไปหลายๆครั้งจนถึงในที่สุด
    แห่งผลกุึศล ที่ทำมา บ้างก็มีวิมานของ
    ตัวเองบ้างก็ไม่มีวิมานของตัวเองไม่ว่า
    จะเป็นพวกอทิสมานกายหรือเทพยดา
    อื่นๆก็ตามดังที่ได้รจนาไว้แล้วนะครับ
    ผิดกับพวกสัมภาเวสี คือวิญญาณที่ยังไม่
    ถึงวาระอายุขัยก็จะเป็นพวกสัมภเวสีที่ต้อง
    เร่ร่อนหาที่อยู่กันเอาเอง มักจะมีนิสัย
    โหดเหี้ยมดุร้ายมากหรือพวกสัตว์นรกที่
    ชดใช้หนี้เวรแล้วต้องมาเป็นพวกเปรต
    บ้างหากมีกุศลหนุนก็ไม่ต้องเป็นพวกเปรต
      พวกนี้ได้แก่จำพวกผีทั่วๆไปนะเจ้าหญิง
        ต้นไม้ในสรวงสวรรค์มีอีกมากมายนัก
    แต่เมื่อเจ้าหญิงเอ่ยมานี้คือดอกปาริฉัตร
    นั้นสีดอกหากเทียบกับทางโลกมนุษย์
    นั้นคือดอก บานบุรี ที่จะมีสีเหลืองอ่อนๆ
    นวลๆ แต่ไม่มีกลิ่นหอม ส่วนดอกปาริฉัตร
    นั้นจะส่งกลิ่นรุนแรงหอมหวลมากส่งกลิ่น
    ไปไกลๆมาก  เอาล่ะพูดถึงดอกปาริฉัตร
    ก็อยากจะเอ่ยถึง ดอกปาริชาติบ้างนะเพราะ
    เป็นของคู่กันจ้า
       อันดอกไม้ปาริชาตินั้นจะมีกลิ่นคล้ายๆ
    กับดอกปาริฉัตร  หากเทียบในเมืองมนุษย์
      คือดอกของต้นทองหลางในเมืองมนุษย์
     เจ้าหญิงเคยเห็นดอกต้นทองหลางไหม
    เอ่ย???...  ผมเห็นมาแล้ว ดอกจะเป็น
    พุ่มๆสีแดงสดใสสวยงามมาก จะเกิดกับ
    ต้นทองหลางที่ใหญ่ขนาดคนโอบได้
    นั่นแหละถึงจะมีดอกให้เห้น มักจะออก
    ดอกในหน้าร้อนจ้า  แต่ผมเห็นแต่ไม่เคย
    ดมเพราะอันตรายมาก ด้วยต้นทองหลาง
    นั้นก้านกิ่งจะเปาะบางนัก ดอกนั้นจะออก
    ที่ปลายยอดของช่อใบ จะสอยมาหรือก็
    แสนจะเสียดาย สวยกว่าดอกชบาหรือ
    กุหลาบอีกมากนัก
         มากล่าวถึงดอกปาริชาติในแดนสวรรค์
    นั้นลำต้นใบก็คล้ายคลึงกับต้นทองหลาง
    เหมือนกันจ้า  เอาเท่านี้แหละนะจ๊ะเดี๋ยว
    เขาจะว่าเสือกรู้มากไปจ้า รักเจ้าหญิงเสมอ
    
             16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • ทางแสงดาว

    10 มกราคม 2554 17:57 น. - comment id 121225

    เหมือนมิเคยแต่กับเคยเห็น...ดอกทองหลาง
    
    คริๆๆๆๆ....ใครจะว่าท่านรู้มากคะ.....
    
    ขอบคุณครับเจ้าชายฯ  .....
  • ช่ออักษราลี

    10 มกราคม 2554 18:12 น. - comment id 121226

    อยากชมป่าหิมพานต์มั่งค่ะ
    
    ขอบคุณที่นำสวรรค์มาฝากให้ชมนะคะ
  • แก้วประเสริฐ

    10 มกราคม 2554 18:14 น. - comment id 121227

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ ทางแสงดาว
    
           เจ้าหญิงครับ...ผมมันคนโง่เง่าเต่าตุ่น
    เสียด้วยโดนว่ามาเสียมากจนชินหูชินตาไป
    แล้วล่ะครับ  เลยหันมาทางนี้อีกก็ไม่รู้เหมือน
    กันวันใดล๊อตเตอรี่จะออกมาแจ๊คพอร์ต
    กับผมอีกนะครับ ยังไงๆก็สงสารคนตาฟ่าฟาง
    บ้างก็ยังดีให้มีโอกาสได้เล่นกับเขาบ้าง ไม่
    ต้องการอะไรหรอก ขอแค่ให้สมองมัน
    ได้ทำงานบ้าง  บอกตรงๆนะคุณหญิงที่รัก
    
    ผมแทบจะเลิกเล่นในเวปฯนี้ไปตั้งนาน
    แล้วล่ะ แต่ด้วยถือสัจจะไว้เคยกล่าวไว้
    ด้วย จึงต้องทนแร้นแค้นส่งไปตามผลงาน
    ของคนบ้าๆไป ผมถึงไม่ค่อยจะเข้าไป
    ที่บ้านๆใครๆหรอกก็ด้วยเหตุนี้แหละจ้า
      ยกเว้นเขาจะมาหาผม ผมก็จะไปเยี่ยม
    ตอบเขาเท่านัี้นเองครับ รักคุณหญิงมากๆ
    เสมอๆครับที่เข้าใจและเห็นใจผมครับ
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    10 มกราคม 2554 18:21 น. - comment id 121228

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ ช่ออักษราลี
    
            ศิืษย์รักยิ่งของครู  อันป่าหิมพานต์นี้
    ตามจินตนิยายเอ่ยไว้ว่าเป็นดินแดนที่อุดม
    สมบูรณ์และเป็นที่ท่องเที่ยวของทวยเทพยดา
    ตลอดครูฑ กินนร กินนรี อันยังมีสระน้ำที่
    สวยสดงดงามมากเป็นสวนที่ใช้ในการ
    พัีกผ่อนของเหล่าทวยเทพทั้งหลายในชั้น
    จาตุมจ้า  แล้วหากค้นพบในสิ่งอันพอจะ
    เชื่อถือได้จะนำมาลงให้นะจ๊ะ รักศิษย์เรา
    มากเสมอๆจ้า อ้อๆอีกอย่างนั้นมีการเขียน
    ไว้มากมายหลายตำราอีกด้วยแต่ครูจะ
    คัดเอาที่ครูสรรค์ไว้มาลงให้อ่านจ้า
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน