อทิสมานกาย ๖๗ อรุณสางยามเช้า หมอกเมฆปกคลุมยอดเขาสล้าง สายลมพัดคลอเคล้าพื้น แผ่นดินจางๆ กลิ่นหอมจากกล้วยไม้ป่าที่สาวบงกช นำมาปลูกไว้ในกระถาง ที่ทำด้วยไม้นาๆชนิดแขวนไว้ หน้าชานเรือนส่งกลิ่นหอมคลุ้งยามได้รับแสง ที่ยังสลัวๆอยู่เมื่อออกช่อบานสะพรั่ง สาวเจ้ากำลังรดน้ำให้เหล่ากล้วยไม้เหล่านั้น เจ้าหล่อนก็ดมไปยังกลิ่น อันหอมหวล พลางคำนึงถึงหนุ่มโชติก็ยิ่งให้จิตใจสะท้านหวั่นไหว หากดอกกล้วยไม้ช่อนี้ซิเป็นดั่งเช่นชายหนุ่มคนนั้น หล่อนก็จะ อยากจะให้เป็นเช่นนั้น แต่ภาพอีกหนึ่งก็แทรกซ้อนเข้ามาคือหนุ่มชัย น้องชายเขาทำให้ภายในจิตใจก็เกิดหวั่นไหวเช่นเดียวกัน ทำให้หล่อนคิดเอ๊ะๆเราจะรักใครดีหนอหรือว่าตอนนี้ เรารักเผื่อเลือกไปแล้ว คนโตหรือก็ช่างสง่างามหล่อเหลายากจะหาใครมาเทียบ ถึงแม้นว่า อายุอานามนั้นจะมากกว่าหล่อนหลายปีก็ตาม แต่ในห้วงลึกๆนั้น ก็มิคิดที่จะรังเกียจแต่ประการใด ครั้นมานึกถึงน้องเขาเล่าก็หาใช่ว่าจะต่ำต้อยมากนักก็หาไม่ ทั้งร่างกายแข็งแรงล่ำสันบึกบึน ผิดกับพี่ชายที่แม้รูปร่างจะได้ สัดสวนสูงสง่าก็ตามแต่ก็ถือว่าเป็นชายหนุ่มที่รูปหล่อคนหนึ่ง หญิงสาวทอดถอนหายใจค่อนข้างแรง พลันก็ให้นึกถึงเมื่อคืนนี้ที่ผ่านมา ชายหนุ่มสองคนนั้นบอกว่า เป็นคนของหนุ่มโชติอีกที่มาช่วยเหลือครอบครัว หล่อนก็ยิ่งให้สะท้อนใจหนักขึ้นไปอีก ที่เขาแผ่มายัง ครอบครัวของหล่อน ยิ่งนึกยิ่งอกสั่นไหวหวั่นไปตามอารมณ์สาว และแล้วหล่อนก็ต้องสะดุ้งหันหน้าไปมองเสียงเรียกนั้น “กชเอ๋ยทำอะไรอยู่หรือลูก” เสียงแม่เย็นเดินออกมาเห็นลูกสาวกำลังนัยน์ตาเหม่อลอย “เปล่าจ๊ะแม่มองดูช่อกล้วยไม้ป่ามันส่งกลิ่นหอมก็เลยนึกว่า จะหามาเพิ่มอีกเอาอะไรดีหนอ” หล่อนปิดบังแม่ไม่อยากให้ล่วงรู้ถึงความคิดหล่อน “งั้นเหรอก็แล้วไป ไม่ไปช่วยพ่อกับพี่ชวนเขาล่ะ เขากำลังมองหา สิ่งที่จะทำความเสียหายแก่บ้านจ้า แม่มานึกๆอีกทีหากเรา ไม่ได้พ่อโชติส่งคนมาช่วยนะป่านฉะนี้พวกเราจะเป็น อย่างไรบ้างก็ไม่รู้นะ แหม๋มันน่ากลัวจริงๆมากันเป็นฝูงๆเลยล่ะ ที่จริงแม่ก็พอจะรู้บ้างว่าพวกมันก่อนนั้นอยุ่ในอำนาจ ของอาจารย์เจี๊ยะเปิ้ง ครั้นกำนันมั่นมันนับถือก็เลยทำให้พ่อ แกเลยใฝ่ใจด้วย มันเก่งกาจมาเรื่องวิชาอาคม นี่แหละหนา เขาเรียกว่าหมองูตายเพราะงู” แม่เย็นเอ่ยให้ลุกสาวฟัง “หรือแม่????...มันเป็นผีของอาจารย์เจี๊ยะเปิ้งหรือ ทำไมหนูไม่รู้เรื่องเลยล่ะ แต่ใช่แม่มันน่ากลัวมาก เห็นเสียงมันจะมาพ่อไปโดยตรงคงจะถูกอสูรร้ายมันบังคับเอาเห็นมี อีกตัวหนึ่งมันใหญ่มากว่าเป็นคนของพญามารอะไรๆๆนี่แหละ หนูก็ไม่ค่อยจะเข้าใจจ๊ะ” “อ้อๆๆเรื่องนี้มันเกี่ยวกับพระพุทธประวัติหนูก็คงจะเรียน มาบ้างแล้ว ที่ก่อนพระพุทธเจ้าเราจะสำเร็จพระโพธิญาณนั้น มีพญามารมากีดกั้นเพื่อจะไม่ให้พระองค์ตรัสรู้จ๊ะ” “จ๊ะแม่หนูนึกออกแล้วล่ะ แต่ตอนนั้นนึกไม่ได้จริงๆจ๊ะแม่ มันตกใจจนลืมอะไรไปหมด แม้แต่แม่เองก็ทำท่าเป็นลมดีนะใต้เชี่ยนหมากมียาดมแบบโบราณด้วย หนูเคยทำความสะอาดเชี่ยนหมากแม่จ๊ะ” “นั่นซิลูกตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นพวกผีๆอะไรนี่แหละ นอกจากตาแกจะเล่าให้ฟังเท่านั้น มาเจอของจริง โอ้ยๆๆพูดแล้วยังขนลุกไม่หาย ฮือๆๆน่ากลัวแม่แทบจะขาดใจให้ได้มันบอก ไม่ถูกแหละลูก ดีนะที่ลูกเอายาดมมาให้แม่มิฉะนั้นยังไม่รู้จะเป็นอะไร เหม็นก็เหม็นมากจน เวียนหัวไปหมดอยากจะอาเจียน ถ่ายก็จะถ่ายอะไรๆจิปาถะ แล้วลูกเป็นอะไรไปเหมือนแม่เปล่าล่ะลูก” “โอ้ยบอกไม่ถูกจ๊ะแม่ หนูเองตัวสั่นมันหนาวยิ่งกว่าหน้าหนาวเสียอีก ใจมันจะขาดเสียให้ได้เหมือนแม่ล่ะมันปวดฉี่ขึ้นมาและจะพาลถ่ายอีก โอ้ยสงสัยจะต้องนอนฝันแน่ๆเลยล่ะ ยื้อๆๆขยะแขยงจริงๆ เหม็นเหมือนศพที่ขึ้นอึดที่ลอยน้ำมาทั้งเหม็นทั้งคาวคลุ้งไปหมด อย่าพูดถึงเลยแม่ทำให้หนูตอนนี้จะอาเจียนอีกแล้ว” ว่าแล้วหญิงสาวก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่รั้วๆเตี้ยๆบนชานบ้าน แหงนคออ๊วกอาเจียนทันทีแต่ไม่มีอะไรออกมานอกจากลม แม่เย็นต้องรีบไปตักน้ำใส่ขันแล้วมาลูบหลังลูกสาวทันที “แปลกๆนะพ่อ เหมือนภาพมายาเชียวล่ะ???.. ทั้งๆที่เราทั้งสี่ก็ต่างแลเห็นกัน ความรู้สึกว่าบ้าน เราเมือนจะพังมิพังแหล่กระนั้นเชียวครับ” หนุ่มชวนเอ่ยถามพ่อ พลางเดินไปเมียงมองตามชายคา หาสิ่งผิดปกติไม่พบเลยสักนิดเดี๋ยวเหมือนปกติทุกๆอย่างนะพ่อ” ครั้นกำนันหวนได้ยินก็เอ่ยขึ้นว่า “มันเป็นเรื่องศาสตร์ลึกลับนะลูก ฉะนั้นจึงพิสูจน์ไม่ได้ว่า โลกอีกมิติหนึ่งนั้นมีจริง ทั้งๆที่คน ก็พยายามพิสูจน์แล้วตามข่าววิทยุโทรทัศน์ออกข่าวไว้ หากพวกเราไม่พบก็จะไม่เชื่อเหมือนกัน คิดๆดูพ่อเองสงสัยเหลือเกิน พ่อหนุ่มโชติทำไมจึงทำนายได้ แม่นยำนักบอกวันเวลาให้เสร็จและ ก็ไม่ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อทอง จริงๆนะลูก พ่อบวชคราวนี้เห็นที่จะต้องขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อ ขอร่ำเรียนวิชาอาคมตลอดจนโหราศาสตร์ไว้ด้วยแล้วล่ะ???......... ถึงแม้ว่าพ่อจะเคยติดสอยห้อยตามท่านมาก็ตามที ท่านก็สอน แต่พ่อไม่เอาถ่านเสียเลยล่ะจึงคิดว่า หากได้บวชแล้วไม่ยุ่งกับทางโลก แล้วก็จะศึกษาไว้ด้วย เพื่อจะช่วยทนุบำรุงพุทธศาสนา ไปอีกทางหนึ่งนะ” “นั่นซิครับพ่อ ผมเองจะกล่าวเหมือนกันว่าในเมื่อพ่อบวชคราวนี้แล้ว ท่านก็เป็นอุปัชฌาจารย์ด้วยล่ะ มียศฐาชั้นพระครูแต่ท่านมักจะกล่าวไม่ให้คนเรียกท่านว่าพระครูเลย ท่านชอบให้เรียกชื่อท่านเฉยๆ คงจะค้นพบทางธรรมอย่างลึกซึ้งเสียแล้ว กระมัง จึงปล่อยวางทางโลกนี้หมดครับ” “ท่านได้เป็นพระครูมาตั้งแต่หนุ่มๆแล้วล่ะลูก เขาจะให้ครองวัด แต่หลวงพ่อได้หนีออกธุดงค์เสียก่อน หลบหายไปจนกระทั่งมาครอง วัดโคกอีแร้งซึ่งตอนนั้นมีแค่โบสถ์หลังคาสังกะสีเท่านั้นหา ได้เป็นดังเช่นปัจจุบันไม่ลูก” “นั่นซิครับท่านก็ไม่เคยใช้วิชาอาคมใดๆเลยนอกจากช่วยคนบ้าง ก็เป็นครั้งๆคราวและไม่เคยมีการสร้างพระหรือวัตถุมงคลใดๆเลย ผมเคยได้รับฟังมาว่าทางกำนันบ้านโคกอีแร้งและผู้ใหญ่บ้านเคยรบเร้า ให้ท่านสร้างเพื่อใช้เงินจำนวนนี้มาทนุบำรุงวัดให้เจริญรุ่งเรือง ท่านก็หัวร่อกล่าวว่ายังไม่ถึงเวลา และสิ่งนี้ หากทำไปแล้วต้องถึงสิ่งพร้อมมูลทั้งฟ้าและดินด้วย อีกอย่างหนึ่งตอนผมไปเที่ยวงานก็เคยเข้าไปหา นมัสการท่านและฟังผู้ใหญ่เขาสนทนากัน ท่านมักกล่าวว่า มันเป็นอจินไตยไม่แน่นอนไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ หากจะพ้นทุกข์ก็ต้องเจริญวิปัสสนาแต่ก่อนจะถึงการเจริญวิปัสนานั้น ก็ต้องพร้อมด้วยสมถะกรรมฐานก่อนด้วยสมถะกรรมฐานนั้น เป็นหนทางเข้าสู่วิปัสสนา ผมตอนนั้นฟังไม่รู้เรื่องอะไร หรอกนอกจากนั่งฟังดูแต่มันก็ดีนะพ่อ ทำให้จิตใจผมรู้สึก ปลอดโปร่งอย่างไรบอกไม่ถูกมันช่างเยือกเย็นยิ่งนัก พูดถึง เรื่องนี้ให้นึกถึงพี่โชติตอนที่สวมพระให้ผม พ่อครับมันเย็นยะเยือกเข้าไปในหัวใจผมทีเดียว ก่อนนั้น ผมก็เคยมีการให้พระที่วัดอื่นซึ่งเขาทำการปลุกเสกวัตถุมงคล เป็นอาจารย์ที่เชิญมา เพื่อนๆมันให้ผมไปให้ท่านเป่ากระหม่อม ผมเองก็เฉยๆไม่รู้สึกอาการแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับพี่โชติเพียงแค่สวมพระให้ผมเท่านั้นแล้วเป่าลม มานิดหน่อยๆเหมือนกับเอาน้ำที่แช่น้ำแข็งนานๆมาสาดบนหัวผมเชียวครับ” “เออพูดแบบนี้พ่อเองก็เหมือนกันสอบถามแม่เขาและเจ้ากช มันก็เหมือนๆกันแหละ ทำให้พ่อเกิดอารมณ์จิตพ่อเปี่ยมไปด้วย ความปิติสุขอย่างเหลือพ้นจริงๆนะลูก” กำนันหวนกล่าวกับลูกชาย แล้วทั้งสองก็เดินตรวจสอบรอบบริเวณบ้าน ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆก็ชวนกันขึ้นเรือนไป ภายในห้องชายหนุ่มกำลังสาระวนอยู่กับการแนะนำชบา ร่วมกับแม่นางอัปสรทั้งสองแนะนำทางให้ระหว่างที่สาวชบาเข้ากำลัง อยู่ในฌานสมาธิ บัดดลก็เห็นกายทิพย์ค่อยออกมาจาก ร่างของสาวชบาหล่อนเหลียวซ้ายแลขวาแล้วมาสิ้นสุด ที่ร่างเห็นกำลังยังนั่งเข้าสมาธิ หล่อนก็ลูบเนื้อรูปตัวอย่างสงสัย มองสลับกันไปๆมาๆ จนแม่นางอัปสรทั้งสองเข้าไปจูงมือให้มานั่งพร้อมอธิบายระหว่าง กายเนื้อกับกายทิพย์ให้สาวชบาฟังว่า “อันกายเนื้อนั้นประกอบด้วยธาตุทั้งห้า หากจะเอาอย่างละเอียด ก็ต้องประกอบด้วยธาตุทั้งหก คือธาตุที่สร้างการหมุนเวียน ของอากาศอาหารต่างๆเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายเนื้อนั้น มี ธาตุดินที่สร้างเนื้อหนังมังสากระดูกส่วนที่เป็นของแข็งทั้งสิ้น คือธาตุดิน ธาตุน้ำอันได้แก่น้ำต่างๆในร่างกายไขมัน เสลด น้ำมูก เลือด เป็นต้น ธาตุลมคือกระแสการหมุนเวียนของอากาศทั้งหลาย อันมาจากลมหายใจเรานี่แหละช่วยในการฟอกเลือดหมุนเวียน ก็ด้วยธาตุลมนี้แหละตลอดจนการเป็นพลังงานการ ขับเคลื่อนภายในร่างกายธาตุนี้สำคัญมากจะขาดไป ไม่ได้เด็ดขาดแม้แต่น้อย หากขาดไปไม่มีการหมุนเวียนเลือด ก็จะหยุดการไหลไปหล่อเลี้ยงร่างกายทำให้เกิดการแข็งตัวอุดหลอดเลือด ที่ส่งไปยังหัวใจ ตับไต ไส้ พุงต่างๆ ส่วนธาตุไฟ คือการแสที่เกิดจากธาตุลมนำความอบอุ่นมาสู่ร่างกายเป็นพลังงาน ของความร้อนที่จะช่วยในการเผาไหมอาหารต่างๆให้แปรสภาพ จากเป็นละอองเล็กๆผันแปรเป็นเลือดใช้ในการหล่อเลี้ยงร่างกาย ส่วนอีกธาตุที่คนมักจะมองข้ามไปคืออากาศธาตุ อากาศนี้ มิใช่ธาตุลมเป็นสูญญากาศทำหน้าที่คอยพยุงพวกตับไตไส้พุง ไว้มิให้ตกไปตามกระแสดึงดูดของโลก จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าธาตุใดๆ ทั้งธาตุที่กล่าวมาแล้วนั้น ย่อมต้องพึงพาอาศัยซึ่งกันและกันมีความสมัครสมานสามัคคีกัน หากธาตุใดหย่อนคลายอ่อนล้าลงธาตุอื่นก็จะมาช่วยเสริมให้ แต่หากเสริมไม่ได้ก็จะเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดจากพวกเชื้อโรค ไวรัสต่างๆที่ล่องลอยอยู่ในอากาศภายนอกแทรกซึมเข้ามา ทางธาตุที่เสื่อมนั้นๆส่วนวิญญาณธาตุนั้นจะมาที่หลังดังที่เธอ พบเดี๋ยวนี้เองแหละ เป็นธาตุที่ประกอบไปด้วยจิตเจตสิก และสิ่งที่ยังเหลือค้างจากการสืบต่อสันติวงศ์ของเวรกรรม ที่กระทำขึ้นจึงบังเกิดแทรกซ้อนเข้ามายังวิญญาณธาตุ อันนี้จะมีแต่เฉพาะคนที่ตายไปตามวาระแห่งผลเวรกรรมนั้นๆ ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับการปรุงแต่งทั้งสิ้นที่ทางพระท่านกล่าวไว้คือ สังขาร อันสังขารนี้มิใช่ รูป เวทนา สัญญา วิญญาณก็หาไม่ สังขารนี้มีหน้าที่ปรุงแต่งอารมณ์ที่จิตนำสู่เจตสิก เจตสิกนำไปสู่ใจ ทั้งสามอย่างนี้รวมกันว่าวิญญาณเป็นธาตุอมตะที่สืบต่อสันติวงศ์ ของกรรมนั้นๆ ให้บังเกิดเป็น รูปธรรมนามธรรม ส่งผลไปยังเวทนาคือ เสวยสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ การวางเฉยนี้ล้วนเป็นเวทนาทั้งสิ้น เวทนานี้มันก่อเกิดจากตัณหา ซึ่งควบคุม กิเลสใหญ่คือ โลภะ ความโลภในสิ่งที่เราไม่มีแต่ต้องการจะมี โกรธะ ความโกรธ เกลียด พยาบาทอาฆาตกันและกันด้วย ไม่สมปราถนาในสิ่งที่ต้องการก็จะเกิดความโกรธทำใน สิ่งชั่วร้ายอันต่อเนื่องมาจากความโลภเป็นส่วนมาก แล้วก็มาถึง โมหะคือความหลงใหลในสิ่งที่เราต้องการจน ไม่มีสติจะไตร่ตรอง ขบคิดสิ่งใดดีสิ่งใดจน หน้ามืดตาลายลุ่มหลงในอารมณ์ที่ก่อเกิดจากเวทนา ส่วนสัญญานั้นคือการจำได้หมายรู้ที่ถูกส่งมาให้จดจำไว้เกี่ยวกับการ สืบทอดส่งเข้ามาจากจิตเป็นปัจจัยใหญ่ทั้งสิ้น แล้วสํญญา เมื่อจำได้ก็จะหยุดแค่นั้นไม่ได้เพราะความจำนี้มีขอบเขตจำกัด หากจำมากๆเข้าก็จะกลายเป็นคนบ้าไปจน สติแตกเพ้อเจอไปตามเรื่องตามราว จำเป็นต้องส่งไปให้แก่สังขาร เพื่อปรุงแต่งอารมณ์ต่างๆอันเกิดจากตัณหา โลภ โกรธและหลงเป็นต้น การปรุงแต่งของสังขารนี้จะทำเป็นช่วงๆไปตามที่สัญญาส่งมาให้เท่านั้น เมื่อปรุงแต่งอารมณ์เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องถ่ายไปให้แก่วิญญาณอันมี จิต เจตสิก ใจในการจะกระทำในสิ่งดีหรือชั่วตามผลแห่งการสืบต่อสันติวงศ์ ส่วนเธอนั้นเองหาใช่เกิดจากสิ่งเหล่านี้ไม่ ด้วยเธอนั้นได้ ขจัดละวางแล้วเสียแล้วขีดวงมิให้ ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ ออกนอกเขตวงกลมที่เธออาศัยผลแห่งฌานนั้นบังคับพวกเหล่านี้ ไว้เธอจึงแตกต่างกับวิญญาณที่ครบวาระไป จนแปรสภาพของเธอนั้นย่างเข้าสู่โลกแห่งอทิสมานกายเบื้องต้นหรือนัยหนึ่ง คือรุกขเทวี หากเป็นบุรุษเรียกว่ารุกขเทวา เมื่อดับไปยังไม่ถึงกาลวาระแล้ว หรือไม่ได้สร้างสมผลบุญกุศลไม่มีวิมานของตัวเองทำบุญมาน้อยแต่กุศลกรรม นั้นมีมากกว่าอกุศลกรรม ก็ย่อมจะจุติแล้วบังเกิดในชั้นนี้อาศัยต้นไม้เป็นวิมาน หากเธอยังดำเนินในทางนี้ต่อไปไม่นานจะเกิดดับๆไปตามวาระแห่งจิตเธอเอง จนถึงขั้นอัปสรและเลยไปเรื่อยๆตามอำนาจแห่งฌานสมาธิที่เธอได้สะสมมา แต่ก็ต้องแล้วแต่บารมีของเธอเองเป็นที่ตั้งของเธอเอง ใครจะเข้ามาแย่งแบ่งปันให้มิได้หรอก” แม่นางอัปสรทั้งสองช่วยกันอบรมร่างกายทิพย์ของสาวชบา ให้เข้าใจความแตกต่างกันระหว่างวิญญาณกับกายทิพย์ จนสาวชบาเข้าใจยกมือขึ้นกราบไหว้แม่นางอัปสรแล้ว มาคิดพิจารณาไตร่ตรองก็แลเห็นความจริงจนกระจ่าง “แล้วน้องจะเข้าร่างเดิมได้อย่างไรกันล่ะพี่นางทั้งสอง” แม่นางรัตนาวดีก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “การออกจากร่างกายของคนเราจะเกิดขึ้นได้สามทางเท่านั้น คือ หากจะไปสู่ทางสุคตินั้นอันได้แก่ ปวงสวรรค์ทั้งปวงย่อม จึงออกจากร่างในที่สูง อันมีกระหม่อม เป็นที่เข้าและออกของดวงวิญญาณที่มาจากทางเบื้องสูง ของเหล่าเทพยดาทั้งสิ้น ส่วนทางอิกทางหนึ่งคือทางสะดือ นั้นที่ไปมาของพวกที่ ปกติธรรมดาจะมาสู่ยังโลกมนุษย์เท่านั้น หากดับธาตุต่างๆ ไปแล้วนั้นวิญญาณหากออกทางสะดือของมนุษย์ทุกๆชนชั้น ก็ย่อมจะไปเกิดในภพภูมิของมนุษย์แต่จะสูงศักดิ์หรือต่ำศักดิ์ ก็ด้วยเวรกรรมที่ก่อนจะละร่างนั้นเป็นปัจจัยในการบังเกิด ส่วนทางปลายเท้านั้นผู้ที่เข้าออกไปนั้นต้องไปสู่ในอบายภูมิ เป็นหลักใหญ่จะไปสู่ทางอื่นใดมิได้หรอกน้องชบา ในเมื่อเธอมาถึงขั้นกายทิพย์นี้แล้วเวลาจะเข้าร่างก็จะต้องเข้าทาง กระหม่อม เธอเคยสังเกตุไหมว่าทำไมเด็กที่เกิดมากระหม่อมจะเปิดอยู่ เสมอหากจับดูจะเห็นเป็นนิ่มๆจนกว่าจะบังเกิดชั้น ของกระโหลกศีระษะขึ้นมาเต็มนี่กฏแห่งกรรมก็แจ้งไว้ให้ มวลเหล่ามนุษย์รู้ว่าที่ได้เกิดมานี้ให้ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่วก็จะได้ไปสู่สรวงสวรรค์ต่อไปจึงเปิดทางไว้ให้ แต่คนเราไม่รู้ความหมายของสิ่งนี้จึงเกิดความลุ่มหลงในอัตตา คือร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุต่างๆซึ่งมิอาจจะ คงทนถาวรได้นั่นเอง ฉะนั้นน้องเวลาเข้าร่างก็อธิษฐาน ขอคืนสู่ร่างวิญญาณอันอมตะในร่างกายทิพย์ นี้ก็จะเข้าสู่ร่างทางนี้แหละน้อง” ครั้นสาวชบาได้รับฝากพี่นางทั้งสองล้วนช่วยกันอธิบาย ถึงเหตุและผลของการเกิดดับแล้วก็ให้รู้สึก ปลอดโปร่งในดวงจิตยิ่งนักบังเกิดความเคารพนับถือแม่นางอัปสร เข้าสู่ห้วงจิตทันที “ในสภาพกายทิพย์นี้น้องสามารถไปที่แห่งหนใดได้บ้างล่ะพระพี่นาง” หญิงสาวอดสงสัยมิได้ “เธอสามารถไปท่องเที่ยวได้ทั่วจักรวาลแล้วล่ะ แต่ทว่าต้องรู้กาลเวลา ของแต่ละภพด้วยว่าเวลานั้นกับเวลาของมนุษย์นั้นแตกต่างกันมากมาย เสียเหลือเกิน คือหนึ่งวันของพวกเทพยดานั้นหากมานับ ในเมืองมนุษย์แล้วนับเป็นปีๆเชียวเลยล่ะ หากน้องมิสนใจ ร่างที่เป็นกายมนุษย์นี้แล้วก็สามารถ ท่องเที่ยวไปไหนได้ แต่ก็มีขีดจำกัดเหมือนกันคือต้องแล้ว แต่อำนาจแห่งฌานของเธออีกด้วยว่าจะ สูงส่งสักเพียงใดเป็นปัจจัยในการท่องเที่ยวจ๊ะ” แม่นางอ้อยวิลาวัลย์เอ่ยให้สาวชบาฟัง “อีกประการหนึ่งหากยังไม่ถึงวาระแห่งอายุขัยแล้ววิมาน ที่น้องสร้างสะสมมาจะเกิดก็จริงแต่ยังไม่ สามารถจะเข้าไปสู่วิมานของตนเองได้ อย่างเช่นพี่สมัยแรกๆนั้น ดับไปก่อนจะถึงวาระอายุขัยแต่ด้วย พี่สร้างสถูปบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอานิสงฆ์นี้ จึงเกิดมีวิมานแต่ก็ไม่อาจจะเข้าไปอยู่ได้จึงต้องมาอาศัย ยังต้นตะเคียนในป่าไปพลางๆก่อนจนกว่าอายุขัยของพี่ จะครบวาระ ซึ่งบัดนี้ครบแล้วแต่อำนาจแห่งการอธิษฐานของพี่ รุนแรงเสียเหลือเกินยังผูกมัดเป็นห่วงร้อยรัดให้พี่นี้ต้องวนเวียนอยู่ ในโลกมนุษย์เพื่อรอคอยคนๆหนึ่ง หากลุล่วงสมเจตนารมณ์แล้ว พี่ถึงจะเข้าไปสู่วิมานชั้นฟ้าอันไกลสูงโพ้นได้” แล้วแม่นางรัตนาวดีก็ชี้มือไปทางทิศตะวันออกให้ดูวิมานของตัว แต่ด้วยตบะบารมีสาวชบายังไม่ ถึงจึงมิอาจจะเห็นวิมานของแม่นางอัปสรรัตนาวดีได้ ครั้นแม่นางเห็นดังนั้นก็หัวร่อเอาอย่างนี้ดีกว่า “พี่นั้นรู้กาลแห่งเวลาแล้วจะพาน้องไปเที่ยวยังดินแดนหนึ่ง ซึ่งมีเวลาพอที่น้องจะกลับเข้าสู่ร่างได้ทันเวลา ด้วยทางนี้มีพี่โชติคอยดูแลกำกับไว้แล้ว เมื่อกี้นี้เขาก็ส่งกระแสจิตมาหาพี่ให้พาน้องไปท่องเที่ยว ให้บังเกิดซึ้งถึงคนที่มีบุญบารมีได้เสวยสุขในแดนสวรรค์ พี่จะพาน้องท่องเที่ยวสวรรค์เบื้องต้นก่อน หากต่อไป น้องมีฌานสมาบัติสูงกว่านี้แล้วรู้ถึงกาลเวลาอันแท้จริง ของเหล่าเทพยาดา มนุษย์ สัตว์และสัตว์อื่นๆในดินแดนอบายภูมิแล้ว น้องจะไปเองก็ไม่เป็นปัญหากับกายที่น้องทิ้งไว้บัดนี้เปรียบ ดั่งคล้ายท่อนไม้เพียงแต่ยังมีลมหายใจเท่านั้น ถ้าหากกลับไม่ทันเข้าร่างธาตุทั้งสี่ก็จะแตกแยกกันออก ไปตามสภาพแห่งกฏธรรมชาตินะน้อง” “ถ้าเป็นแบบนี้ขอให้พี่ช่วยพาน้องไปท่องเที่ยวชมสักพัก ให้เป็นบุญตาบุญใจแก่น้องด้วยเถิด” สาวชบาเอ่ยกับพี่นางทั้งสอง แล้วร่างทั้งสามก็ลอยละล่องผ่านเมฆหมอกข้ามภพมิติหนึ่งไป ยังมิติหนึ่งก่าวย่างเข้าไปยังดินแดนแห่งสรวงสวรรค์เบื้องต้น............. * แก้วประเสริฐ. *
6 มกราคม 2554 00:46 น. - comment id 121075
จะติดตามอ่านนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ สักตอน.....รักในน้ำใจคุณชายฯค่ะ ....ขอบคุณที่แนะนำค่ะ
6 มกราคม 2554 08:17 น. - comment id 121077
ท่านพี่ ข้าพเจ้าตามอ่านไม่ทัน อิอิ
6 มกราคม 2554 17:02 น. - comment id 121098
รอให้ครู เขียนให้จบครับ จะรวบรวม แต่ไม่ใช่เพื่อขายนะครับครู
6 มกราคม 2554 17:33 น. - comment id 121102
คุณ ทางแสงดาว อย่าคิดอย่างนั้นซิจ๊ะเราคนกันเอง สิ่งใดพอจะช่วยเหลือได้ก็ช่วยแต่ไม่ต้อง กังวลใดๆหรอกจ้า รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
6 มกราคม 2554 17:37 น. - comment id 121103
คุณ คิดถึงเสมอ ก็ค่อยๆอ่านไปก็แล้วกันจ๊ะทุกๆอย่าง มันเกิดจากจินตนาการบ้างเรื่องจริงปัจจุบัน บ้างอดีตบ้างคละกันแต่ได้ผูกเรื่องไว้ให้ร้อย เรียงกันจ๊ะน้องสาวสุดสวย คนเรานะหากจะ ทำอะไรแล้วหากมีประสบการณ์และความรู้ ก็สามารถจะทำได้จ้า รักน้องสาวสุดสวยที่ซู๊ด แก้วประเสริฐ.
6 มกราคม 2554 17:42 น. - comment id 121104
คุณ กิ่งโศก ศิษย์ที่รักของครู เรื่องนี้ครูเองเอาทั้ง ปัจจุบันอดีตเหตุการณ์ต่างๆที่ประสบมาเข้า มาร้อยเรียงพบกันหมดในนิยายเรื่องนี้จึง ค่อนข้างจะยืดยาวหน่อย แต่ทุกๆบทตอบจะ เกี่ยวพันตลอดไม่ทิ้งช่วงไว้นานหรอกจ้า ศิษย์รักเราจะทำอะไรก็ได้ตามใจศิษย์ เราเสมอๆล่ะ ด้วยครูเองก็อายุมากแล้วนอก จากฝากสิ่งที่ทำไว้ทิ้งเอาไว้เป็นอนุัสรณ์ เท่านั้นแหละ ครูแต่งนี้เวลาอ่านทบทวน ก็ให้นึกแปลกใจเหมือนกันว่าเขียนไปได้ อย่างไรกันนะ บางครั้งก็สอดแทรกบาง อย่างไว้ไม่ให้เครียดเท่านั้นเองจ้า อ้อๆ เรื่องตัวยาสมุนไพรนั้นไม่ได้ใช้สมองมาก ด้วยนำเอาทั้งท่อนมันไม่สนุกเหมือนครู เขียนเองนอกจากแทรกในสิ่งที่บางคน อาจจะนึกสงสัยให้กระจ่างเท่านั้น วางไว้ ก่อนแต่ไม่ลืมลงหรอกนะหากไม่ตายไป เสียก่อนด้วยเริ่มมาเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น เอง เธอก็รู้นิสัยครูว่าไม่ค่อยชอบนักจะ มาเลียนแบบใครๆเขา หากไม่ใช่ความนึก คิดสร้างสรรค์ของเราเองจ๊ะ รักศิษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.