อทิสมานกาย ๖๖ ยามโพล้เพล้หนุ่มชวนหลังจากไปพบกับเพื่อนๆมาและทานอาหาร กับเจ้าของร้านแสนสวยแล้ว เขาก็ขอตัวกลับบ้าน อ้างว่าต้องไปดูแล อาการของพ่อก่อน ครั้นมาถึงบ้านก็พบทุกๆคนกำลังนั่งสนทนากันในห้องโล่งกว้าง ส่วนใหญ่ใช้เป็นที่กินอาหารร่วมกัน เขาถือของพะรุงพะรังขึ้นมาบนบ้าน วางของลงข้างๆตัว แล้วยกมือไหว้พ่อกำนันหวนและแม่เย็น พลางเอ่ยขึ้นว่า “พ่อครับแม่ครับ ผมซื้อขนมมาฝากและฝากน้องด้วยครับ บงกช เอาขนมไปใส่จานมานั่งทานกันซิน้อง” “ซื้ออะไรมาหรือลูก พ่อเขากำลังบ่นหาอยู่พอดีเชียวล่ะ” แม่เย็นเอ่ยทักลูกชาย “ผมซื้อขนมแบบไทยๆครับแม่ มี ฝอยทอง ทองหยอด ขนมชั้น ทองหยิบ ขนมหม้อแกง และพวกของขบเคี้ยวไว้ให้บงกชไว้ กินเล่นๆครับ” “แล้วไปคุยได้ความว่าอย่างไรบ้างละลูก????......” กำนันหวนหันมาถาม “ก็ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อเรื่องเมื่อคืนนี้แหละครับแต่ไม่ได้แพ่ง พรายอะไรหรอกนอกจากสนุกสนานกันไปตามประสาคนหนุ่มๆครับ อ้อๆๆน้องกชไม่ต้องหาข้าวให้พี่กินนะ พี่กินที่ร้านอาหารแม่ดาเขา พร้อมกับพวกๆมาแล้วล่ะ” ชายหนุ่มหันไปเอ่ยกับน้องสาวคนเดียว “พอกินข้าวเสร็จพี่ก็เลยแวะไปร้านของป้าเชยหาของกิน ไม่รู้จะซื้ออะไร เพราะด้วยแกขายแต่ของพวกนี้ ก็เลยซื้อขนมจากร้าน ป้าเชยมาฝากพ่อกับแม่และน้อง ได้ยินข่าวว่าเขาคุยกัน ในร้านว่ากำนันมั่นถูกจับครั้งนี้ ตำรวจเขาไม่ให้เยี่ยมให้ประกันตัวด้วย และทางเสี่ยเม้งกำลังวิ่งเต้นหาทางช่วยเหลืออยู่ ผมรู้เพียงเท่านี้แหละ ต้องรีบกลับนึกได้ว่านี่เข้าวันที่สามที่พี่โชติเคยบอกไว้ เลยเป็นห่วงทางบ้านมากครับ ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา แต่พ่อเคยสั่งไว้ว่าไม่ให้ประมาท ฉะนั้นคืนนี้อาจจะรู้เบาะแสบ้างก็ได้ครับ” “นั่นนะซิ...พ่อกับแม่และน้องถึงยังไม่เข้านอนและนั่งคุยกันเรื่องต่างๆ นาๆ คอยลูกด้วย เพราะนี้ก็เริ่มจะมืดแล้วล่ะ” พ่อกำนันหวนเอ่ยขึ้น พลางหันไปทางกชลูกสาว เอ๊าๆๆรีๆรอๆอะไรล่ะ พี่เขาให้นำของไปใส่มา พ่อแม่จะได้ชิมดู ซึ่งจริงๆแล้วแม่เชยคนนี้ฝีมือ ด้านนี้ก็ไม่เลวนะ พ่อเคยกินมาบ้างแล้วล่ะ” “อย่างนั้นผมขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ” แล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องไปและลงไปอาบน้ำ สักครู่หนึ่งเมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ออกมานั่งสนทนา จนเวลาล่วงไปสามทุ่มได้ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมีลมกรรโชก ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทันใดนั้น เจ้าด่างและเจ้าดำที่ทางบ้านเลี้ยงไว้ เพื่อเฝ้าบ้านกระเห่ากรรโชกและพากันส่งเสียงหอนอย่างเยือกเย็น ไฟฟ้าเดี๋ยวก็ดับเดี๋ยวก็เปิดสลับกันไปๆมาๆ สิ่งที่ทำให้ทั้งหมดตกใจคือประตูหน้าต่างปิดๆเปิดดังปังๆ สะบัดไปๆมาคล้ายจะหลุดออกจากกันให้ได้ ทั้งหมดต่างหันมามองหน้ากัน กำนันหวนเอ่ยปาก หรือว่าจะเป็นพวกนั้นนี่เอง เสียงยังกล่าวไม่จบประตูทางขึ้นหน้าบ้าน ก็ คล้ายถูกคนกระชากเปิดอย่างแรงไหวโยกไปๆมาๆ หน้าต่างที่ใส่กลอนเปิดไว้กลอนก็หลุดสะบัดไปๆมาๆ และแล้ว ทั้งหมดก็ตกตลึงเมื่อแลเห็นหน้าอันน่าเกลียดหน้ากลัว บนใบหน้ามันล้วนแต่เละเทะมีน้ำเหลืองเจิงนองส่งกลิ่นเหม็นฟุ้ง ไหลเยิ้มย้อยออกมา ใบหน้าใหญ่เต็มหน้าต่าง ประตูบ้านไปเกือบทุกๆบานเต็มไปด้วยใบหน้าของเหล่าปีศาจร้ายทั้งสิ้น คนทั้งสี่ ต่างผวากันเข้ากอดกันทันที บงกชหลับตาปี๋ร้องไห้ลั่นพุ่งตัวเข้า ไปกอดแม่เย็นทันทีส่วนกำนันหวนก็ดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยเช่นกัน แสงจันทร์เริ่มส่องแสงเป็นนวลใยสาดส่องทำให้มองเห็นบริเวณลานบ้าน เต็มไปด้วยเหล่าฝูงผีปีศาจต่างๆนาๆ ทั้งหญิงและชาย หญิงบ้างก็อุ้มลูกแต่ หัวของลูกมันใหญ่เท่ากระพ้อมใส่ข้าว เสียงร้องกรี๊ดๆๆอย่างโหยหวน อย่างเยือกเย็น ร่ำร้องเรียกหาแต่กำนันหวน บ้านหรือก็รู้สึกว่าจะยวบยาบๆไหวแกว่งไกวไปๆมาๆ ซึ่งทุกอย่างในบ้านล้วน โอนเอนไปๆมาๆหมดทำท่าจะพังครืนลงมา กำนันเ..เอ๋...ย???...อย่าบวชเลยมาเป็นพวกข้าดีกว่านะ ทุกๆคนด้วย กำนันหวนและชวนซึ่งจะรู้สติมากที่สุดหันไปมองเสียงร้อง เป็นร่างผอมแห้งเห็นแต่ซี่โครงผอมแห้งเนื้อหนังติดกับกระดูกเดินได้ หมายจะก้าวขึ้นมาบนบ้าน พลันหนุ่มชวนนึกถึงคำของพี่โชติขึ้นมาได้ พ่อแม่น้องเร็วๆเข้ารีบเอาพระออกมาจากนอกเสื้อโดยเร็วด้วย เร็วๆๆๆๆ???... พร้อมทั้งตัวเองก็นำพระที่ห้อยคอไว้ออกมาให้พ้นเสื้อผ้าข้างนอก ทันใดนั้นก็บังเกิดสีพราวสดใสคล้ายสีของรุ้งพุ่งออกจากองค์พระ ไปยังบรรดาผีร้ายทั้งปวง เมื่อทุกๆคนนำพระออกจากเสื้อผ้าแล้ว ต่างก็แลเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเห็นมืออันยาวใหญ่ที่ยื่นมือเข้ามาหมายจะคว้าร่างของคนทั้งสี่ต่าง ก็เกิดไฟลุกขึ้นไหม้ไปยังฝ่าเมือทั้งหลาย เสียงร้องกรี๊ดๆๆๆกร๊าดๆๆ อย่างโหยหวนอึงคนึงไปทั่วบริเวณบ้านหลังคาบ้านตลอดทุกๆหน้าต่างบ้างก็ แลบลิ้นออกมายาวจากบานหน้าต่าง เข้ามาแต่มันก็ต้องรีบหดลิ้นหายไป บางตัวก็หายวับไปแต่ ดูเหมือนว่ามันหนีสิ่งที่อยู่ภายนอกไม่ได้ กลับกระเด็นย้อนกลับเข้ามาอีก เมื่อประกายรังสีขององค์พระแผ่กระจายออกไป พวกที่พวกเหล่าปีศาจอาศัย อยู่ในบริเวณบ้านต่างไม่สามารถจะออกจากบริเวณบ้านได้เลย มึงนะมึงพวกกูไม่กลัวพวกมึงหรอก โอ้ยๆๆ!!!!!.....ว๊าย!!!!....แม่จ๋...า.... ช่....ว...ย หนู ด้...วย...เสียงของผีเด็กระงมไปทั่ว บัดดลร่างของอสุรกายต่างก็เข้า มาช่วยบรรดาผีร้าย พลางเป่าลมลงไปยังบรรดาผีร้ายทั้งหลาย ไฟก็ดับจากร่างกาย ของมัน...ทันที....และแล้ว....ร่างของอสุรกายประมาณห้าหกตัวก็ย่างสามขุม ก้าวนำหน้านำพวกผีทั้งหลายเข้ามาอีก ต่างแยกย้ายกันเดินเข้าหมายจะขึ้นบนบ้าน แต่มันร่างมันทั้งหมดก็ต้องชะงักไม่สามารถจะขึ้นมาบนบ้านได้ด้วยรังสีแผ่กระจาย ทั้งสี่ตอนนี้นัยน์ตาต่างเบิกค้างดูการกระทำร่างกายหนาวเย็นจับหัวใจ แม่เย็นเองก็ ทำท่าจะเป็นลมใส่ บงกชต้องรีบเอายาดมมาให้ดม ทุกๆคนร่างสั่นเทิ้มงกๆงันๆ ไปหมดท่ามกลางกระแสรังสีหลายหลากก็ส่งประกายเจิดจ้าขึ้นอีก ทำให้อสุรร้ายทั้งหมดที่นำหน้ามา ครั้นถูกลำแสงของรังสีจากองค์พระต่างล้มลงดิ้นพลาดๆๆแล้วมันก็ลุก ขึ้นมาอีกจะเป็นด้วยอะไร ทำความแปลกใจให้แก่หนุ่มชวนยิ่งนัก มันตอนนี้ลุกเดินก้าวขึ้นบันไดมาทั้งห้าหกตน แต่แล้วมันก็ต้องกระเด็นตกลงไปยังพื้นล่างทันที เหมือนถูกอะไรบางอย่างทำ คนทั้งสี่มองเห็นบัดนี้มีร่างของชายหนุ่มสองคนยืนขวางทางขึ้น ปากประตูบ้านเอาไว้อยู่ทั้งซ้ายและขวา ขวางกั้นมิให้เหล่าบรรดาผีร้ายต่างไม่ให้ก้าวย่างขึ้นบนเรือนได้ พวกผีร้ายต่างๆก็ต่างแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆนา พากันฉีกอก แหกอก แลเห็นข้างใน ตับ ไต ไส้ พุง ซึ่งพวกมันก็ช่วยกัน นำสิ่งของเหล่านี้ออกมาและ ลากใส้ออกมาซึ้งกลื่นเหม็นคละคลุ้งตลบอวบอวบแผ่กระจายไปทั่วบริเวณบ้าน ทำให้ทุกๆคนทั้งสี่ต่างเอาผ้ามาปิดจมูกป้องกันทุเลากลิ่นเหล่านี้ค่อยทุเลาลงบ้าง มันช่างเหม็นร้ายกาจเหมือนซากศพที่เน่าเปื่อย ฉุนเฉียวอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ชายสองคนที่ยืนขวางก็ยกมือพนมขึ้นแล้วท่องอะไรก็ไม่รู้ แล้วคนหนึ่งขว้างปา สิ่งของออกไปยังเหล่าพวกของผีปีศาจร้ายและอสุรทั้งหลายนั้น เห็นอีกคนหนึ่งยกมือขึ้นพนมมือบริกรรมแล้วยกมือขึ้นโบกมาทางกำนันหวน เจ้าชวนแม่เย็นและก็สาวบงกชทันที ก็ปรากฏกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นกระแจะจันทร์ และน้ำอบไทย ฟุ้งเข้ามาแทนทีดับกลิ่นเหม็นหายไปสาบสูญไปคงเหลือเพียงจางๆ ตัวเรือนบัดดลต่างโยกเหยกไปมาหลังคามีเสียงวิ่งเกรียวกราวไปทั่ว เสียงดังสนั่นลั่น เสทือนคล้ายๆหลังคาจะยุบลงมาให้ได้ บ้างก็เลิกหลังคาบ้านเอาหัว ลอดออกมาส่ายหัวมันไปๆมาๆ แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอนบรรดาคนทั้งหมด ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหาคนทั้งสี่ทันที พลางเอ่ยปากบอกให้คนทั้งหมด อย่าตกใจจนเผ่นหนีและออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาด ให้นั่งรวมๆกันไว้ที่นี่ จะได้ปลอดภัยมิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายได้ “ไม่ต้องกลัวหรอกครับมันทำอะไรไม่ได้ ให้พยายามตั้งสติให้มั่นรำลึกนึกถึง คุณพระรัตนตรัยเอาไว้ พยายามสวดมนต์หากใครสวดได้ก็รีบให้สวดทันที บทเจริญ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณแล้วภาวนา คำ อรหัง เสียงดังๆไว้นะครับ” “ครั้นหนุ่มชวนได้สติก่อนใครทั้งหมด พลางหันไปถามว่าคุณเป็นใครหรือ ถึงได้มาช่วยพวกผม” ด้วยสำเนียงสั่นๆแทบจะไม่มีเสียงลอดออกมาจากลำคอ ชายหนุ่มรูปงามคนนั้นก็เอ่ยให้ฟังว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงรับคำสั่งจากนายมา “นายโชติเขาสั่งผมให้มาคอยดูแลรักษาเหตุการณ์ทางนี้พร้อมกับพี่แสงสีเพื่อ ช่วยเหลือคนทั้งหมด ผมมาคอยเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นานแล้วแต่ไม่เข้ามาด้วย ไม่ถึงเวลาที่จะทำการก่อนได้ ต้องคอยรอคนมาช่วยอีกทีหนึ่งครับ โน่นพี่แสงสีกำลังสั่งให้หัวหน้าเพิ่มกับเริ่มสั่งลูกน้องลงมือกำจัด ผีปีศาจร้ายเหล่านี้โดยจับพวกมันแล้วครับ ทางนี้ผมจะดูแลเอง” “แล้วนายโชติเป็นใครหรือคุณ” หนุ่มชวนถามด้วยเสียงสั่นๆคางกระทบกันกึกๆด้วยความสงสัย “อ้อๆๆๆนายโชติก็คือลูกของพ่อเชียรแม่เข็มอย่างไรเล่าครับ ที่พวกท่านไปหานั่นเอง” คราวนี้หนุ่มชวนก็เข้าใจแล้ว รวมทั้งคนที่สามอีกด้วย ก็ให้มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง แต่หน้าตายังตื่นๆกลัวๆอยู่ เพราะบ้านรายล้อมไปด้วยเหล่าภูตผีปีศาจทั้งล่างและ บนหลังคา ที่มันพยายามจะเข้ามาแสดงอาการหลอกหลอนต่างๆนา เพื่อให้คนทั้งหมดขวัญเสียไปตามๆกัน จะได้วิ่งหนีออกจากบ้านมาหาพวกมัน ทั้งหมดมองไปยังบริเวณลานบ้านต่างแลเห็นรังสีหลายหลากสีแผ่กระจาย รอบๆบริเวณบ้าน ทำเอาพวกผีทั้งหลายต่างร้องกรี๊ดๆๆโอดโอยๆๆไปตามๆกัน วิ่งวนเวียนกันไปทั่วหาทางหลบหนีออกจากบ้านไป ร่างอสุรกายทั้งห้าหกคนกำลังต่อสู้อยู่กับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งแลดูเป็นนักรบ แบบโบราณสมัยก่อนเกือบทั้งสิ้นล้วนแล้วแต่ร่างกายกำยำล่ำสันใช้อาวุธได้คล่องแคล้ว ว่องไวยิ่งนัก ไปในกลุ่มปีศาจได้ล้วนแล้วแต่ทำให้ร่างกายของพวกมันขาดกระจุยไป ซึ่งในมือเขาเหล่านั้นมีทั้งกรีช ดาบ หอก โล่ห์ใช้ฟาดฟันไป อาวุธทั้งหลายต่างหากฟาดถูก ตามร่างของบรรดาผีทั้งหลายต่างขาดแยกออกจากกัน เมื่อบรรดาอาวุธถูกต้องร่างกายมัน แทบจะเกือบทุกตัวตนไม่เว้นชายหญิงเด็กเล็กๆที่หัวมันช่างใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก แต่มันพยายามจะเข้ารวมตัวอีกแต่อำนาจของมีดดาบอาวุธต่างๆไม่สามารถจะรวมตัวกัน ได้อีก ผีบางตัวหัวขาด ร่างกายขาดเป็นสองท่อน แต่หัวมันร้องคร่ำครวญโหยหวนเยือก เย็นนัก ได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมา ส่วนแขน ขาที่ขาดก็ดิ้นกระแด๋วๆ พยายมกลิ้งเข้าไปหาร่างของมัน จะพยายามมารวมตัวกันอีกแต่คล้ายมีรังสีมาคอยกั้นขวางเอาไว้ สิ่งที่ขาดก็กระเจิงแต่ก็ยังพยายาม ไฟฟ้าที่ตอนแรกเปิดๆปิดๆดับๆ บัดนี้สว่างไสวขึ้นบ้างแต่เฉพาะภายในบ้าน ส่วนนอกบ้านอาศัย แสงของดวงจันทร์ที่เต็มดวง สาดสองไปยังทั่วบริเวณบ้าน มืดบ้างสว่างบ้าง ถูกบังจากสิงอื่นบ้าง บ้านที่ถูกโยกไปโยกมา หลังคาที่มีเสียงเกรียวกราวก็เงียบหายไป เกือบจะหมดสิ้นจะมีก็นิดๆหน่อยๆ ทั้งหมดจ้องมองไปบริเวณลานบ้าน เห็นผีบางตัวพยายามจะหนีให้พ้นบริเวณ ร่างมันสูงชะลูด เก้งก้างหมายข้ามออกนอกรั้ว แต่ไม่อาจจะหนีไปได้ ทุกตัวถูกอะไรไม่รู้ต่างทะยอย กระเด็นย้อนกลับเข้ามาในลานบ้านอีก แล้ววิ่งวนเวียนหาทางเพื่อหลบหนีให้ได้ บางตัวหลบหนีไปบนต้นไม้ ต่างก็ร่วงผล๊อยตกลงมา เมื่อยามถูกอาวุธธนุที่ยิงใส่มันบนต้นไม้ คนทั้งสี่มองเห็นที่บริเวณรอบรั้วนั้นเรียงรายไปด้วยเหล่าทหารทั้งสิ้นก็ให้แปลกใจนัก อสุรกายทั้งหกต้องร้องเสียงดังลั่นเรียกร้องหาคนช่วยทันที ด้วยมันรู้แล้วว่าสู้ทางฝ่ายนี้ ไม่ได้อีกต่อไปแล้วเพื่อจะหนีกลับด้วยมันมาเพื่อช่วยพวกผีปีศาจร้ายเหล่านี้ตามที่ได้รับคำสั่งมา ร่างของเหล่าปีศาจทั้งหญิงและชายเด็กต่างถูกมัดกันเป็นพรวนกันทั้งหมด แม้แต่อสุรกาย ก็เช่นเดียวกัน ด้วยเกิดจากหนุ่มอีกคนหนึ่งนั้นเหวี่ยงเชือกสีขาวๆออกไป เชือกเหล่านั้น ต่างเข้าไปมัดบรรดาผีปีศาจร้ายทั้งสิ้น บางไม่มีหัว ส่วนหัวและแขนขาที่ขาดก็ถูกเชือกด้ายสีขาวผูกรวมกันไว้ด้วยอย่างแน่นหนายิ่งดิ้น เชือกนั้นยิ่งรัดมากยิ่งขึ้น ไม่สามารถใช้อิทธิฤทธิ์ต่างๆที่มันมีหนีไปจากเชือกอาคมได้เลย “ปล่อยข้าเถิดๆๆๆข้ากลัวแล้วๆๆๆ จะไม่มารังควาญอีกแล้วๆๆๆ ข้ายอมแพ้แล้วปล่อยเถิด” เสียงร้องโหยหวนเยือกเย็นคร่ำครวญร้องแผ่วบ้างดังบ้างสลับกันไปอย่างน่าเวทนายิ่งนัก ส่วนเจ้าอสุรกายก็ต่างร้องเรียกให้คนมาช่วยมันให้หลุดพ้นจากเชือกอาคมเหล่านี้ทันที “นายๆๆๆมาช่วยข้าทีเถิดๆๆๆมาช่วยข้าทีเถิดๆๆๆ ข้าสู้อำนาจมันไม่ได้นาย” ทันใดก็เกิดลมพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงแว่วใกล้เข้ามา บรรดาต้นไม้ต่างๆแกว่งไกว แทบจะหักลงราบพนาสูรเสียสิ้น เสียงลมพัดอู้ๆๆ ฝุ่นต่างๆฟุ้งแผ่กระจายไปในอากาศ เสียงท้องฟ้าคำรามลั่นทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูกาลเลย และมีประกายแลบแปลบปลาบไปทั่วบริเวณ “ฮ่าๆๆๆๆ ข้ามาช่วยพวกเอ็งแล้วไม่ต้องกลัว เดี๋ยวข้าจะไปปล่อยพวกเจ้าเอง” ร่างอันดำมะมืนสูงใหญ่ก้าวเข้ามา แต่ร่างมันก็ต้องชะงักเมื่อเจอรังสีของแสงหลายหลากสี พวยพุ่งเข้าใส่ร่างมัน มันร้องลั่นพลางเอ่ยเชิงตัดพ้อขึ้นมาทันทีว่า “นี่ไม่เรื่องของพระพุทธองค์เลย ท่านก็ตัดกิเลสไปแล้วนี่นา เหตุใดจะมายุ่งเกี่ยวอะไร อีกล่ะหาใช่กิจของพระองค์ก็หาไม่” ฉับพลันรังสีหลายหลากสีอันสวยสดแพรวพราวก็รวมตัวบังเกิดเป็นพระพุทธรูป ยกพระหัตถ์ขึ้นเกิดมวลรังสีอีกนาๆนัปการแผ่ออกมาจากฝ่ามือที่รังสีรวมตัวจากองค์ พระพุทธรูปพุ่งเข้าหาร่างที่ยืนทะมึนนั้นถึงกลับต้องทรุดกายลงคุกเข่าลงไป เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทั้งสี่คนมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงสิ่งเหล่านี้ในการรำพันอ้อนวอน อีกทั้งบรรดาแสงสวยงาม ตลอดจนรังสีที่รวมตัวกันเป็นองค์พระพุทธรูป ต่างคนก็พากันยกมือขึ้นพนมมือก้มลงกราบแสงสีที่เป็นองค์พระทันที แล้วลุกขึ้นนั่งพนมมือปากก็กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ดังกังวานเพื่อกลบเสียงบรรดาเหล่าฝูงภูตผีปีศาจ ซึ่งเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์ทำให้ เกิดอาการต่างๆแก่บรรดาเหล่าภูตผีปีศาจทั้งปวงทันที บ้างเกิดไฟลุกขึ้นไหม้ร่างกายมัน แล้วกล่าวคำ อรหัง ด้วยวนเวียนไปๆมาๆอาการสั่นค่อยๆทุกเลาลงอย่างน่าประหลาด มหัศจรรย์ยิ่งนักด้วยการผสานเสียงคำสวดมนต์ภาวนาของบรรดาคนทั้งหมดที่ตั้งจิตมั่นคง พลันเหลือบไปมองยังชายหนุ่มทั้งสองก็เห็นต่างก้มลงกราบองค์พระที่เกิดจากแสงสี อันสวยสดงดงามที่แผ่ออกมาจากคนทั้งสี่เป็นวงกลมรายล้อมร่างแล้วกระจายออกไป รวมตัวเป็นองค์พระพุทธรูปงดงามอันตระการตายิ่งนักแพรวพราวด้วยรัศมีนาๆประการ มิแค่เพียงเท่านั้นรังสีนั้นก็ยังแผ่ไปยังบรรดาคนของชายหนุ่มทั้งสองและตัวชายหนุ่ม ที่เข้ามาช่วยเหลือพวกเขาเองอีกด้วย ทำให้ก่อเกิดพลังงานอันสูงยิ่งสร้างพละกำลังแก่ บรรดาพวกที่กำลังทำหน้าที่ไล่ทำลายล้างบรรดาเหล่าฝูงภูติผีปีศาจนับจำนวนมากมาย ในการจัดการแก่เหล่าอสุรร้ายและบรรดาผีปีศาจอีกด้วย จนต่างวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกันไป ร่างที่มาใหม่ที่สูงใหญ่ปานภูเขานี้พลันเอ่ยกับเหล่าอสุรร้ายว่า “ข้าเองเห็นจะช่วยเหลืออะไรพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ถึงแม้ว่าท่านพญามารท่านจะ มาเองก็ไม่อาจจะต้านทานพุทธานุภาพได้หรอก ข้าจำเป็นต้องไปแล้วล่ะด้วยสู้อำนาจนี้ไม่ได้ จะไปรายงานให้ท่านพญามารทราบถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ถือว่าเป็นเวรกรรมของเจ้าเสียแล้ว” มันพอกล่าวเช่นนั้นร่างก็พลันหายไป เสียงฟ้าร้องคำรามพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ในตอนขามานั้นก็ค่อยๆจางซาแล้วก็หายไป สภาพภายในบริเวณบ้านก็เข้าสู่ความสงบ เป็นปกติทันที คงเหลือไว้แต่เหล่าปีศาจร้ายที่บัดนี้ต่างถูกเชือกมัดดิ้นกันไปตามๆกัน รังสีร่างของพระพุทธรูปก็ค่อยๆกระจายแผ่ไปทั่วบริเวณบ้านทั้งหมดเกิดรังสีอันสวยงามขึ้น ฉับพลัน เสียงร้องดังกึกก้องก็แทรกเข้ามา ทำให้คนทั้งสี่ต่างตกใจขึ้นนึกว่าจะมีเหตุอะไรอีก เสียงดังกังงานแว่วใกล้เข้ามาอีกครั้งหนึ่ง พลางหันไปมองหน้ากันไปๆมาๆ เหลียวไปยังต้นเสียงทันที ก็แลเห็นชายร่างสูงใหญ่สี่นายกายดำทะมึนมือถือบ่วงบาศก์ ข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งถือกระบอง ก้าวย่างเข้ามาในบริเวณบ้านแล้วทรุดตัวลงนั่งวางอาวุธไว้ ข้างๆตัว ก้มลงกราบไปยังรังสีต่างๆที่แผ่กระจายทันที พลางเอ่ยพึมพรำเบาๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มทั้งสองก็เข้าไปหาร่างชายทั้งสี่ที่นุ่งโจงกะเบนด้วยผ้าสีแดงสดเผยอกที่เป็นแผง กำยำล่ำสันเห็นก้อนเนื้อเป็นมัดๆ สง่าผ่าเผยร่างกายออกสีน้ำตาลปนดำเป็นมันละเลื่อมๆ มีสายสะพายพาดเฉลียงจากไหล่มายังเอวส่งประกายแสงวูบๆวาบๆยามกระทบแสงไฟ “ข้าแต่ท่านยมฑูต ข้าได้รับคำสั่งจากนายโชติมาช่วยเหลือครอบครัวนี้ครับท่าน ตลอดจนเหล่าบรรดาบริวารของพวกข้าด้วย” “ข้าทราบแล้วจากท่านพระยายมราชพระองค์ทรงบอกให้ไว้แล้วล่ะกับนายของท่าน เอๆๆ พ่อหนุ่มผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์ ขอพ่อจงหมั่นเพียรฝึกฝนต่อไปนะ นี่ก็จะใกล้เทวะเข้าไปแล้ว ข้ามาในหน้าที่มิอาจจะรับการคาราวะจากท่านได้หรอกด้วยตอนนี้ท่านนี้มีศักดิ์ศรี สูงกว่าข้ามากแล้ว และยิ่งเป็นคนของเทวะที่มาจากเบื้องบนชั้นสูงอีกด้วยที่ลงมานี้เหตุใด ไหนเลยเหล่าข้าจะกล้าอาจเอื้อมได้ เพียงขอร้องให้ท่านช่วยกราบเรียนท่านเทวะ ด้วยว่าทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงทางด้านนี้หรอกท่านข้าจะจัดการตามคำสั่งท่านท้าวพระยายมราช ที่จริงข้ามานานแล้วแต่ที่ไม่เข้ามา เพื่อจะให้เหล่ามารมันได้ซึ้งถึงอำนาจพุทธบารมี ก่อนเท่านั้นเองแหละ แม้ว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพานไป แต่พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยมหากรุณาธิคุณเมตตาแก่มวลเหล่าที่ยังเคารพใน พุทธศาสนานี้ด้วยรังสีพุทธบารมียังคอยปกปักรักษาไว้หาได้ทอดทิ้งแต่ประการใดไม่ ถ้าหากผู้ใดหมั่นเจริญสวดมนต์ภาวนา ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด พุทธบารมีของ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเป็นสรณะประจำใจของตัวเองแล้ว ย่อมจะได้รับรังสีแห่งพุทธานุภาพเสมอๆขจัดสิ่งเลวร้ายไปได้ไม่ว่ามันจะร้ายกาจเพียงใด ต่อไปจะได้ไม่มีเหล่าฝูงปีศาจตนใดเข้ามากล้าล่วงเกินต่อผู้ที่จะมาเป็นพุทธบุตร ในพระองค์ได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยบารมีที่เขาสะสมไว้จะได้บังเกิดขึ้นแก่คนในบ้านนี้ตลอด ให้พวกมันได้สำนึกรู้ถึงพุทธานุภาพบ้าง ไหนเลยแม้แต่ท่านพญามารมาก็ตามทีถิดนั้นก็จะ ยังต้องพ่ายแพ้ในพุทธบารมีที่พระองค์ทรงแผ่ไว้ให้เหล่าพุทธสานิกชนของพุทธองค์เอง ส่วนมันทั้งหกนี้และอีกตลอดเหล่าผีปีศาจนั้น ตลอดจนที่ไปอาศัยในหมู่บ้านต่างๆอีก สถานอื่นๆซึ่งครบกำหนด ข้าได้ใช้คนไปนำพาตัวไปสู่ยังอเวจีก่อนจะมาที่นี่แล้วล่ะท่าน ส่วนพวกเหล่านี้ข้าก็จะนำไปสู่ยังดินแดนอเวจีต่อไปรับโทษทัณฑ์มากน้อยตามตามโทษานุเวร ซึ่งเวรกรรมที่มันก่อกรรมเอาไว้ แต่อย่าลืมกราบเรียนให้แก่ข้าด้วยเถิดนะท่าน” “ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านยมฑูตด้วย และจะกราบเรียนนายข้าให้ทราบทุกประการท่าน มิต้องกังวลหรอก ขอเชิญท่านทำงานได้แล้วล่ะ ส่วนข้าเพียงมัดไว้ด้วยพุทธาคมเท่านั้น คิดว่าเมื่อเข้าสู่แดนของท่านแล้วอำนาจนี้ก็จะคืนกลับมาหาข้าเองแหละ” แสงสีเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นท่านเรียกของท่านกลับได้แล้ว ข้าจะใช้บ่วงบาศก์อันได้รับจากองค์ท่าน ท้าวพระยายมราชเอง” เมื่อแสงสีได้ฟังเช่นนั้นก็หลับตายกมือขึ้นพนมมือร่ายเวทย์พระพุทธมนต์ที่ร่ำเรียนมา ฉับพลันเชือกเหล่านั้นก็คลายมัดบรรดาอสูรและภูตผีปีศาจทั้งปวงกลับคืนสู่ชายหนุ่มแสงสี ทันที พวกมันต่างรวมแขนขาหัวร่างกันได้แล้วก็เริ่มจะแผลงฤทธิ์อีก แต่แล้วพวกมัน ก็ต้องตาค้างชะงักงันไปทันที เมื่อเกิดมีบ่วงบาศก์จำนวนมากมามัดมันเข้าอีกแต่ร้ายกาจกว่า ไม่เหมือนเชือกของชายหนุ่มแสงสีเลย กลับมีเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นในบ่วงบาศก์ที่มัดมันด้วย ทำให้มันต่างร้องคร่ำครวญโหยหวนทนทุกขเวทนา ร้องเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณทันที พิษอันร้อนแรงของบ่วงบาศก์นี้ช่างร้ายกาจกว่าเชือกที่มัดมันก่อนมากมายนัก ปลายเชือกบ่วงบาศก์นั้นอยู่ในมือท่านยมฑูต ลากมันออกเดินทางทันที หากตัวใดพยายาม ขัดขืนก็จะถูกกระบองตีกระหน่ำอย่างไม่ยั้งมือ ที่ดิ้นรนไกลหน่อยกระบองนั้นก็ยึด ขึ้นเองหวดกระหน่ำจนพวกมันร้องโอดครวญ ยินยอมถูกนำพาไปทั้งหมด พากันถูกนำแล้ว หายไปจากบริเวณบ้านนั้นทันใด ความสงบกลับคืนมาสู่ดังเดิม ชายหนุ่มแสงสีสินชัยก็เข้ามากล่าวอำลาแก่คนทั้งหมดแล้ว แสงสีสินชัย ก็ค่อยๆลงบันไดไป คนทั้งสี่ก็แลเห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองนายเข้ามาหา ก็เห็นหนุ่มทั้งสองกล่าวอะไรไม่รู้ ก็มองเห็นเหล่าทหารหลายสิบนายต่างเดินแถวกัน ออกจากบ้านเดินหายลับไปกับความมืดทันที.............. * แก้วประเสริฐ. *