อทิสมานกาย ๕๗ ระหว่างการกินอาหารร่วมกันโดยมีสาวชบาร่วมด้วย กำนันหวนและแม่เย็น ต่างก็ชมสาวชบาว่า ช่างสวยจริงนะ มีสง่าราษีอีกด้วย แล้วหันไปถามพ่อเชียรว่า “ลูกสาวน้องออกเรือนหรือยังล่ะ???...แล้วอายุเท่าไหร่ล่ะ??....” “ยังหรอกพี่ พึ่งจะย่างเข้ายี่สิบเก้า กระมัง ใช่ไหมล่ะ??...” พ่อเชียรพลางหันไปถามสาวชบาพร้อมตอบคำถามกำนันหวนไปด้วย “จ๊ะพ่อ พึ่งจะเต็ม ยี่สิบเก้าเดือนนี้เอง???...” หญิงสาวชบากล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยยิ่งนัก “ไม่มีอะไรหรอกหนู ที่ถามนี่ว่าจะอายุไล่เลี่ยกับลูกสาวลุงหรือเปล่านะ” กำนันหวนกล่าวขึ้น “เอ๊ะๆๆแปลกนะพี่หวน คนบ้านนี้ทำไมมีอายุกันแต่ร่างกายกับไม่สม กับวัยเสียเลย???” แม่เย็นแทรกขึ้นมา พร้อมหันไปจ้องใบหน้าหญิงสาวชบา “ดูซิพ่อโชติหรือก็ปาเข้าไป สี่สิบห้า แล้วก็ยังเหมือนพึ่งจะขึ้นเลขสาม เท่านั้นนะ ไม่มีแววว่าจะมีอายุมากขนาดนี้ ข้ามองไปดูคนทั้งหมด อีกทั้งแม่เข็มพ่อเชียรเล่าหรือก็ดูไม่แก่เอาเสียเลย” แม่เย็นย้ำขึ้นอีก “ก็ไม่ได้คิดมากอะไรนี่นาแม่เย็น ทุกๆคนเมื่อไม่คิดมากก็ย่อม ต้องไม่แก่จริงไหมพี่หวน???. ด้วยทุกๆอย่างมีเพียบพร้อมกันอยู่แล้ว เพียงแค่คอยระวังรักษากันเอาเอง เท่านั้นแหละ ผลเก็บเกี่ยวหรือก็ไม่ต้องไปส่งให้เขา มีคนมาถึงไร่สวน นา หรือก็แค่ทำกินไปปีๆหนึ่งเท่านั้นเอง” พ่อเชียรเอ่ยขึ้นบ้าง “นั่นซิแม่เย็น น้องเชียรกล่าวไว้ถูกต้องแล้วล่ะ??...อย่างหลวงพ่อก็เคยกล่าว กับข้าว่าอย่าไปคร่ำเคร่งกับงานให้มากนัก หามามากก็อันตรายซ้ำยังให้เราคิดมาก อีกด้วย ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว” กำนันหวนเอ่ย “ก็จริงอย่างพี่ว่าแหละจ้า แต่พี่ดิ้นรนหาเรื่องเองนี่นาจะมาบ่นอะไรอีกล่ะ???...” แม่เย็นได้โอกาสเสริมขึ้นทันที “อืมมๆๆ...ก็จริงอย่างแม่เย็นพูดก็ถูก ข้ามันหาเรื่องไปเองทั้งๆที่เราก็มีกิน อยู่สมบูรณ์แล้วมาตัดใจได้ก็ตอนใกล้จะตายนี่แหละ จึงปลงตกได้และจะเข้าวัด ถือศีลแต่มาคิดอีกที การถือศีลอย่างเดียวคงไม่พอแก้ไขได้หรอก นอกจากบวชแล้วไม่สึกนั่นแหละถึงจะช่วยเหลือได้” กำนันหวน กล่าวพลางสีหน้าสลด “ช่างเถอะน่าพี่...ไหนๆเรื่องมันก็ผ่านไปแล้วมาคิดให้เปลืองสมองทำไม มันเป็นอดีตไปนี่แล้วนา เริ่มต้นใหม่ก็ยังไม่สาย และข้าเองก็ขออนุโมทนาด้วยคนหนึ่งล่ะ” พ่อเชียรเอ่ยตัดบท “จริงอย่างพ่อเชียรพูดจริงๆจ๊ะ คนเราทุกๆคนย่อมพลาดกันได้ แต่พลาดแล้วรู้สึกตัวกลับตัวเองก่อนอะไรๆมันจะสายก็ยังดีกว่าไปหลงงมงาย มันอีก ใช่ไหมแม่เข็ม???...” แม่เย็นพลางไปผู้ช่วยสนับลนุนทันที “ที่แม่เย็นพูดมานี้ก็ถูกอีกล่ะ เห็นทีแม่เย็นจะทำใจได้แล้วกระมัง???....” “ทุกๆอย่างฉันไม่เคยขัดวางเขาหรอกแม่เข็ม เคยเตือนเหมือนกัน คนเราเมื่อโตๆกันแล้วทำไมจะต้องพูดกันมากนัก ผิดชอบชั่วดีย่อมรู้แก่ใจ เองแหละ อายุหรือต่างก็มากๆกันแล้วนาจะคอบพร่ำสอนเหมือนเด็กได้อย่างไร” แม่เย็นตอบพลางหันไปพยักหน้ากับแม่เข็ม “แล้วพ่อเชียรเห็นว่าอย่างไรล่ะ ไหนๆมันเรื่องก็ผ่านไปแล้ว แต่ไม่รู้ซินะ ทำไมเรื่องนี้จึงมาคุยกันได้ที่นี่ได้นา หรือว่าเราทั้งสองครอบครัวคง จะเคยทำบุญร่วมกันมานา” “ที่แม่เย็นกล่าวก็มีเหตุผลเหมือนกัน พี่หวนเองก็ทำใจได้เถอะนะทุกอย่าง ปล่อยให้เวรกรรม เขาตัดสินใจกันก็แล้วกันจะได้สบายใจ อย่าไปคิดอะไรอีกเลยทุกๆอย่างมัน ก็เลยไปแล้ว นี่พี่ก็จะหันหลังให้ทางโลกแล้ว คงอีกไม่นานก็จะเกิดพุทธบุตรอีก การเกิดคราวนี้จะถาวรเสียด้วยซิ ด้วยผ่านเหตุการณ์ต่างไปกันมาแล้ว แสดงถึงว่าบุญยังคุ้มครองพี่หวนอยู่น๊ะ????” “ข้าเองได้ยินคำของน้องเชียรแม่เข็มและแม่เย็นก็ให้รู้สึกคลายใจได้มากโข เอาล่ะต่อไปนี้ข้าจะไม่คิดอะไรอีกแล้ว นอกจากจะเคร่งครัดในธรรมวินัย อย่างเดียวเท่านั้น” “สาธุๆๆๆอนุโมทนาด้วยกันจ้า” เสียงของพ่อเชียรแม่เข็มและแม่เย็น ต่างยกมือไหว้เหนือหัว “ข้าให้สัญญาไว้ต่อพวกเรานี่แหละว่าจะอาศัยร่มผ้ากาวพัตรเป็นเรือนตาย ไม่ออกมาอีกแล้วด้วยสัจจะวาจาของลูกผู้ชายชื่อไอ้หวนนะ ทุกๆคนสบายใจได้แล้ว งั้นพวกข้าจะขอลากลับเสียเลยนี่เวลาก็บ่ายโขแล้ว เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน แล้วน้องเชียรน้องเข็มพาเด็กๆไปเยี่ยมพวกข้าบ้าง ด้วยนะ ข้ามานั่งคิดดูที่นี่แหละก็เห็นว่าที่นี่เท่านั้นจะเป็นที่พึงพิง ของครอบครัวข้าได้เสียแล้ว” “เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาหรอกพี่หวน โอกาสว่างๆจะต้องไปเยี่ยม ครอบครัวพี่หวนและจะคอยเอาใจใส่ให้ด้วย ให้ไปบวชให้สบายใจได้เถอะพี่” “ข้ายิ่งมาได้รับคำรับรองจากน้องเชียรและแม่เข็มทำให้จิตใจข้าที่กังวลหายไป เกือบหมดเชียวล่ะ เอาล่ะๆๆแม่เย็น เจ้าชวน บงกช ไปลาพ่อเชียรแม่เข็มและพี่ๆน้องๆได้แล้วล่ะ สมควรแก่เวลาแล้วน้องๆจะได้พักผ่อนบ้าง” กำนันหวนเอ่ยขึ้น แล้วทั้งหมดก็เข้าไปร่ำลากันตามอาวุโส ระหว่างที่กำนันหวนและพ่อเชียร และแม่บ้านคุยกันนั้นชายหนุ่มได้แต่นั่งอมยิ้มฟังการสนทนาของทั้งหมดนั้น ใจของชายหนุ่มวาดไปถึงอดีตของกำนันหวน คงมีแต่เขาเท่านั้นที่จะช่วยได้ และเมื่อเห็นพ่อแม่และน้องๆต่างก็ให้ความรักสนิทสนมกัน เขาจึงอดอมยิ้มไม่ได้ พลันก็เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าลุงและน้าและน้องๆจะกลับ คอยข้าเดี๋ยวนะ ข้านึกสังหรณ์อย่างไร ชอบกลนักจึงอยากจะให้ของไว้ป้องกันตัวในยามค่ำๆคืนบ้าง อาจจะช่วยลุงและน้าตลอดน้องๆได้ครับ” “มีอะไรหรือลูก????....” พ่อเชียรแม่เข็มถามขึ้นด้วยความสงสัย “ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่ผมสังเกตุใบหน้าทุกๆคนอาจจะมีเคราะห์ ที่ซ่อนเร้นบางอย่างอยู่” ชายหนุ่มกล่าว เมื่อได้รับฟังคำเอ่ยของลูกทำให้พ่อเชียรชักเอะใจด้วยรู้ว่าลูกนั้นเป็นอย่างไร ก็นั่งหลับตาสักครู่ พลันเข้าใจเหตุการณ์ที่ลูกกล่าวดังนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ดีแล้วล่ะลูก รีบๆหน่อยนะด้วยจะมืดค่ำเสียก่อน” พ่อเชียรเอ่ย “ครับคุณพ่อ” กล่าวเสร็จชายหนุ่มก็หันไปยิ้มให้กับทุกๆคนทางบ้านบางโค แล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง “มีอะไรหรือน้องเชียร ” กำนันหวนถามด้วยความสงสัย “เดี๋ยวก็รู้หรอกพี่ ไม่มีอะไรมากนักหรอก” พ่อเชียรกล่าวพลางหัวร่อเบาๆ สักครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ก้าวออกมาจากห้อง เขาถือสายร่มพร้อมสิ่งของ เดินเข้ามาหาแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ให้ลุงและน้าน้องๆนำเอาสิ่งนี้ไปห้อยคอไว้ในระยะนี้ อย่าได้ถอดออก เป็นเด็ดขาดแม้จะเข้าห้องน้ำก็ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ” พลางยืนสิ่งของในมือให้แก่พวกบางโคทันที “พ่อว่าให้แกสวมพระให้แก่ทุกๆคนแหละดีนะ ด้วยมีอะไรชอบกลๆอยู่ใน บางอย่างบอกพ่อด้วยล่ะ” พ่อเชียรเอ่ยขึ้น “จะดีหรือครับคุณพ่อท่านเป็นผู้ใหญ่นา” ชายหนุ่มกล่าว “เออนาเชื่อพ่อเถอะใครสวมจะสู้ลูกสวมได้หรือ” แล้วหันไปทางกำนันหวนและพวก พลางกล่าวว่า “พี่หวนและแม่เย็นตลอดจนเจ้าชวนแม่บงกชเข้ามาหาเจ้าโชติมันซิ มันจะได้สวมวัตถุมงคลให้ คงจะเป็นหลวงพ่อทองสั่งแก่ลูกโชติไว้กระมัง” ครั้นกำนันและพวกได้ยินพ่อเชียรเอ่ยถึงหลวงพ่อทองในเรื่องนี้ ความสงสัยต่างๆ ก็หายไปหมดสิ้นคงมีแต่เพียงแค่กังขานิดๆเท่านั้น แต่ก็ทำตามคำพูดของพ่อเชียร ต่าง ก้มศีรษะไว้คอยให้ชายหนุ่มสวมวัตถุมงคล เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นพลางหลับตาแล้วเขาก็เป่าลงไปในวัตถุมงคล สามคาบทันที แล้วค่อยเข้าไปหายังเบื้องหน้าของกำนันหวนก่อน พลางยกมือขึ้นไหว้ขออภัย แล้วกล่าว “ลุงผมขอโทษนะครับที่ต้องสวมสิ่งนี้บนคอผ่านศีรษะลุงครับ” “ไม่เป็นไรหรอกหลานชาย ทำตามพ่อเขาบอกเถอะ” กำนันหวนตอบ ชายหนุ่มก็ค่อยๆขยับร่างไปหากำนันหวนทันที แล้วบรรจงสวมพระ ที่เลี่ยมไว้กันน้ำในเชือกสายร่มสวมไปคล้องคอกำนันหวน ทันใดร่างของกำนันหวนก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกทำความแปลกใจแก่แม่เย็นและเจ้าชวน สาวบงกชเป็นอันมาก ที่เห็นร่างของกำนันหวนสั่นเทาๆเหมือนราวกับเป็นไข้ เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แลเห็นร่างกำนันสั่นๆไปๆมาๆตลอดเวลาที่ชายหนุ่มเป่าลง บนศีรษะ ของกำนันหวนถึงสามครั้งสามครา ก็ทำความประหลาดใจยิ่งนัก ด้านกำนันหวนเมื่อชายหนุ่มสวมวัตถุมงคลแล้วยามที่กายกระทบกับองค์พระ ร่างกายรู้สึกมีกระแสเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายถึงก็หนาวสั่นขึ้นทันที ยิ่งได้สัมผัสกับลมปากจากชายหนุ่มที่เป่าตามไปด้วยก็ยิ่งสะท้านเหมือนถูกราด ด้วยน้ำแช่เย็นจากน้ำแข็งมิปาน เมื่อแม่เย็น เจ้าชวนและสาวบงกช ครั้นได้รับการสวมคล้องคอด้วยพระเครื่อง ที่ชายหนุ่มนำมาสวมให้ก็สัมผัสอาการเช่นเดียวกับพ่อกำนันหวนเช่นเดียวกัน ต่างให้รู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างยิ่งนัก สาวบงกชจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่โชติ???...ทำไมเวลาพี่สวมพระให้กชแล้วจึงหนาวอะไรเช่นนี้เล่าพี่???...” “ข้าเองก็เหมือนกันแปลกจริงๆ???...”แม่เย็นเอ่ยขึ้นบ้าง “ผมก็เหมือนกันครับแม่และน้องกช แปลกจริงๆ คราวไปให้พระที่มาท่านเป่า ขม่อมยังไม่รู้สึกอะไรๆเลย ไม่เหมือนพี่โชติเพียงแค่สวมพระเท่านั้นเอง???....” พ่อเชียรแม่เข็มครั้นได้รับฟังเช่นนั้น ไม่กล่าวอะไรเพียงได้แต่หันมามองหน้ากัน แล้วต่างก็อมยิ้มกันไปตามๆกัน เจ้าชัยหรือก็ให้แปลกใจจึงเอ่ยขึ้นว่า “แล้วผมกับพี่ชบาล่ะพี่โชติไม่ได้พระเลยหรือ???...” ชายหนุ่มหันมายิ้มกับน้องชายและสาวชบาพลางเอ่ยว่า “สำหรับเจ้ากับน้องชบาเห็นจะไม่ต้องกระมังด้วยพี่เคยสอนอะไรๆให้แล้วนี่นา” เจ้าชัยและสาวชบาครั้นได้ยินเช่นนั้นต่างก็เข้าใจก็เงียบเสียงไม่เอ่ยแต่ประการใด กำนันหวนนั้นตอนแรกคิดใคร่จะกลับก็อดสงสัยหันไปมองหน้าพ่อเชียรแม่เข็ม “ไม่ต้องสงสัยอะไรหรอกพี่หวน เจ้าโชติมันร่ำเรียนวิชาอาคมจากหลวงพ่อทอง จนสำเร็จทุกๆแขนงแล้วล่ะ พี่ก็รู้ว่าหลวงพ่อท่านเก่งขนาดไหนนี่นา” พ่อเชียรเอ่ยขึ้น “ หากพ่อหนุ่มสำเร็จวิชาจากหลวงพ่อทอง พี่เองก็ไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว ทำให้พี่รู้สึก ว่าความกังวลในครอบครัวมันหายไปสิ้น ภายในใจหลังจากสวมพระแล้วให้รู้สึกว่า ช่างปลอดโปร่งภายในเสียเหลือเกิน” กำนันหวนกล่าว “ข้าเองก็เหมือนกัน แล้วนี่เป็นพระของหลวงพ่อทองท่านสร้างในงานสงกรานต์คราว ที่แล้วใช่หรือเปล่าล่ะพ่อโชติ” แม่เย็นถาม “ถูกแล้วล่ะแม่เย็น เป็นพระที่ท่านทำเป็นครั้งแรกหรืออาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้คง จะไม่มีการสร้างวัตถุมงคลใดๆอีกแล้ว ฉนั้นขอพวกเราจงเก็บรักษาให้เป็นอย่างดีด้วยนะ” พ่อเชียรสั่งกำชับไว้แก่ทุกๆคน “เป็นอย่างนี้นี่เองถือว่าพวกข้ายังมีวาสนาได้สัมผัสกับวัตถุมงคลของหลวงพ่อทอง ถึงแม้ข้าจะเคยติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่สมัยท่านยังหนุ่มๆรู้ก็รู้ว่าท่านมากมายไปด้วย วิชาต่างๆ เคยรบเร้าท่านให้สร้างเหมือนกัน ท่านเพียงตอบข้าว่า เวลายังมาไม่ถึงน้อง” “ฉะนั้นพี่หวนก็เถอะถึงจะบวชไปแล้วก็ไม่ควรให้พระองค์นี้ห่างตัวเป็นเด็ดขาดนะ” พ่อเชียรเอ่ยกับกำนันหวนทันที “อืมๆๆ...ข้าก็คิดเหมือนกันแหละน้องเชียรถึงแม้ว่าจะบวชสละแล้วก็ตามแต่นี่เป็น พระพุทธรูปขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เก็บเอาไว้เวลาสวดมนต์จะได้นำมาตั้งไว้ แล้วสวดมนต์แทนพระพุทธรูปบูชาก็ได้นา” กำนันหวนเอ่ยลอยๆ “ได้เลยพี่ใช้แทนกันได้และดีเสียด้วย นาพี่ลองเอาพระท่านออกมาดูซิว่าเป็นอย่างไร” เมื่อได้ยินคำพ่อเชียรกล่าวดังนี้ ทั้งหมดต่างนำพระออกมาดูต่างก็สะดุ้งในใจด้วยความ แปลกประหลาดยิ่ง ที่เห็นองค์พระช่างงดงามและยังมีประกายพราวสดใสด้วยสีกระจาย ออกมาจากองค์พระด้วย ยิ่งทำให้บังเกิดความปิติยินดีเป็นล้นพ้น พลางหันไปทางชายหนุ่ม กล่าวขึ้นว่า “ข้าทั้งหมดนี้ขอขอบใจพ่อหนุ่มยิ่งนักที่ไม่หวงแหนในสิ่งนี้อุตส่าห์มอบให้ด้วยความ เป็นห่วงเป็นใจแก่ครอบครัวข้า เป็นยิ่งนัก” พลางเข้าไปสวมกอดชายหนุ่มทันที “ผมเห็นใบหน้าของทุกๆคนปรากฏรอยหมองไหม้ขึ้นครับพ่อกำนันเลยนึกถึงพระนี้ได้ และคิดว่าภายในสองสามวันนี้อาจจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นในบ้าน ฉะนั้นพ่อกำนันไม่ต้อง กลัวหรือห่วงอะไร หากพบสิ่งนั้นให้อาราธนาพระให้อาศัยบารมีช่วยแผ่คุ้มครองด้วยเท่านั้น เภทภัยต่างๆจะทำอะไรพ่อกำนันและครอบครัวไม่ได้หรอกครับ” ชายหนุ่มเอ่ย “ถึงอย่างไรก็ต้องขอขอบใจทุกๆคนที่นี้ด้วยนะ นี่ก็ชักจะเย็นมากแล้วล่ะ งั้นพวกข้าขอ ลากลับบ้านก่อนนะ หากว่างๆก็ไปเยี่ยมบ้างนา” กำนันหวนเอ่ยชักชวน ดังนั้นทั้งหมดก็พากันร่ำลากันแล้วทะยอยก้าวลงจากชานเรือนบ้านเพื่อ ออกเดินทางกลับบ้านบางโคทันที.................. *แก้วประเสริฐ.*
28 ธันวาคม 2553 22:23 น. - comment id 120828
เรื่องราวถูกร้อยเรียงจนต้องตามต้อยๆแล้ว อิอิ
29 ธันวาคม 2553 11:47 น. - comment id 120836
คุณ แจ้นเอง ผมเคยกล่้าวไว้แล้วว่าผมเขียนแต่ละ เรื่องนั้นไม่เคยจะคิดลอกเลียนแบบใครๆ มักจะเป็นเอกเทศเสมอๆ การติดตามหรือ เดาผมนั้นค่อนข้างจะยากสักหน่อยครับ ด้วยอารมณ์บ้าๆบอๆของผมครับ แต่ไม่สำคัญ รักแจ้นมากเสมอ แก้วประเสริฐ.