เมฆหมอกและสายลม ตอนที่ 12 งานวัด
พ.จินดา
.....ตอนที่ 12 งานวัด
...กลางลานวัดเต็มไปด้วยริ้วธงหลากสีที่ชาวบ้านนำมาขึงพาดอยู่ด้านบนล้อมไปมาเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ตามยอดไม้ติดตั้งดอกลำโพงเพื่อกระจายเสียง ตรงกลางลานคณะกรรมการจัดงานจัดทำซุ้มสอยดาว มีของรางวัลตั้งเรียงรายอยู่หลายอย่างจากชิ้นเล็กไปถึงชิ้นใหญ่ เรียกให้ผู้ชอบแสวงโชคจ้องกันเพื่อมาสอยดาวเอารางวัลในคืนนี้ ห่างออกไปริมบริเวณงานมีจอหนังจอใหญ่ตั้งตระหง่าน พร้อมลำโพงยักษ์ด้านข้าง รอบจอประดับไปด้วยหลอดไฟสีที่วิ่งรอบจอเป็นราวเพื่อความสวยงาม เครื่องฉายหนังเตรียมติดตั้งม้วนฟิล์มสำหรับให้ความสำราญ
ห่างไปหน่อยมีเวทีมโนราห์และโรงลิเกอยู่ใกล้กัน มหรสพนับว่าขนาดนี้ก็เป็นงานวัดที่ใหญ่พอสมควรสำหรับคนบ้านนอกในชนบท
"นานที เราจะมีงานวัดกันสักครั้ง" กำนันกล่าวหลังจากลงมาจากศาลาวัด ปล่อยให้หลวงพ่อนั่งรับแขกในเมืองตามลำพัง
"ครับ เอแล้วใครกันละครับที่เหมาเรือลำใหญ่สวยงาม มาหาหลวงพ่อ"
กำนันมองไปบนศาลา ก่อนที่จะตอบหมอกร " อ๋อ ก็พวกเถ้าแก่ในเมืองนั่นแหละ คงมาขอหวยขอเลขเด็ดอีกตามเคย"
"ท่านคงใบ้หวยแม่นซิท่า" กำนันขยับผ้าขาวม้าที่รัดรอบเอวก่อนหัวเราะ
"คงแม่นล่ะ งวดที่แล้วบังเอิญท่านเอ่ยวันที่ที่จะมีงานที่วัด ก็งานวันนี้นี่แหละ พวกที่มาก็พากันเอาไปซื้อหวย พับผ่าดวงท่านปากพระร่วง หวยงวดนั้นดันไปออกตรงกับเลขที่ท่านพูด ทีนี้ล่ะท่าเรือของเราจึงมีเรือรับส่งแขกแปลกหน้ากันแทบทุกวัน"
หมอกรนึกถึงยายมาคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จัก แกชอบขอหวยจากพระเพื่อนำไปเสี่ยงโชคอยู่เป็นประจำ นั่นยายมาเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ รายได้ก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง อดมื้อกินมื้อ เขายังเคยให้อยู่อาศัยที่สถานีอนามัยอยู่พักหนึ่ง จนแกได้สามีใหม่จึงหอบหิ้วกันไปอยู่ที่อื่น ธรรมดาของคนเช่นยายมาต้องรอวาสนารอเสี่ยงดวง แต่นี่คนมีอันจะกิน มีฐานะดีกว่ายายมาก็ยังมีความต้องการเช่นเดียวกัน คนไทยมักมีชีวิตอยู่คู่กับการพนันหรือการเสี่ยงดวง ไม่ว่าจะจนหรือรวย มีครั้งหนึ่งเมื่อเข้าพรรษา ยายมาเคยบอกเขาว่าจะหยุดกินเหล้าและก็หยุดได้จริงๆ หยุดไปได้ประมาณเกือบเดือน ยายมาดีใจก็บอกหมอกรว่า "เห็นไหมหมอ ว่าฉันหยุดกินเหล้าได้แล้ว และจะหยุดให้ได้จนถึงวันออกพรรษา มาหมอมา มากินเหล้าแสดงความสำเร็จในการอดเหล้าของฉันหน่อย" นั่นปะไร เขายกมือเกาศรีษะก่อนจะยิ้มส่ายหน้าแล้วเดินจากยายมาไป ปล่อยให้แกยืนงง ว่าแกพูดอะไรผิด
จริงอย่างกำนันว่า หลังจากที่มีข่าวลือว่าพระที่วัดบอกหวยแม่น นับจากวันนั้นผู้คนก็มาทำบุญที่วัดกันมากมาย จนวัดมีเงินสะพัด ชาวบ้านบนเกาะก็พลอยเปลี่ยนอาชีพจากการทำประมงมาเป็นพ่อค้า แม่ขายชั่วคราว ช่วงนั้นเงินสะพัดไปทั้งเกาะ และชื่อเสียงเลื่องลือก็ดังกระฉ่อน เจ้าอาวาสหรือหลวงพี่ท่านเคยเปรยว่าหมู่นี้แทบไม่ค่อยได้จำวัดเพราะกลัวจะหลับแล้วเสียงหายใจเข้าออกจะดังจนผู้คนได้ยินจะนำไปตีเป็นเลขเด็ดได้ แต่หมอกรกระเซ้าท่านว่า
"คงไม่ใช่มั้ง ที่ไม่อยากจำวัด เพราะคอยระวังตัว คอยดูว่างวดไหนที่หวยไม่ออกตรงกับเลขที่ผู้คนเอาไปซื้อ แล้วจะโดนคนเหล่านั้นตามทวงแค้น" เท่านั้นทั้งพระ ทั้งกำนันก็ฮากันสนุก
....นี่แหละชีวิตความเป็นอยู่ของคนบ้านนอกหรือคนชนบท มักจะใกล้ชิดกับพระกับเจ้า ไปมาหาสู่ทำบุญเข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ โดยแท้จริงแล้วคนที่นี่ไม่ได้คิดที่จะทำบุญเพื่อหวังสิ่งแลกเปลี่ยนหรือสิ่งตอบแทนอื่นจากวัดเลย เขาทำบุญด้วยความเต็มใจ ตามประเพณีที่มีมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งไม่เหมือนกับคนบางคน บางกลุ่ม ที่ทำบุญเพื่อหวังสิ่งตอบแทนหรือโชคลาภ เช่นหวังของขลัง ของปลุกเสก หวังเลขเด็ด เป็นต้น การทำบุญไม่ใช่ธุรกิจ หรือธุรกรรมการเงิน แต่เป็นธุรกรรมใจ มากกว่า
......ตะวันคล้อยลงมากแล้ว ต้นมะพร้าวสลับกับต้นสน ที่ทอดยาวเป็นทิวแถวขนานไปกับชายหาดหน้าวัด ทำให้บริเวณลานงาน ร่มรื่นและทอดเป็นเงายาวทับลานงาน ทำให้ดูมืดลง แสงสว่างจากหลอดไฟเริ่มสว่างขึ้น เสียงเพลงจากเครื่องขยายดังสลับกับเสียงโฆษกที่เชื้อเชิญผู้คนให้รีบเข้ามาหาความสนุกสนานในงานคืนนี้
.......เสียงปี่ตะโพน เสียงมโหรี ดังแข่งกันจนฟังไม่ออกแต่ก็เพราะไปอีกแบบ หนุ่มสาว เด็ก คนชราที่หอบหิ้วกันมาบ้างก็ปูเสื่อ บ้างก็เตรียมกระดาษหนังสือพิมพ์ เพื่อมาปูนั่งบ้าง นอนบ้าง เพื่อชมมหรสพที่ตัวเองชอบ เสียงกลางลานดังครึกครื้นโห่ฮาเพราะผู้คนกำลังสนุกกับการสอยดาว ข้างๆกัน หมอกรนั่งมองยิ้มอย่างมีความสุขกับการได้เห็นและเที่ยวงานวัดคืนนี้ แต่เขาไม่ได้มาเที่ยวตัวเปล่าถือว่าได้บุญช่วยงานวัดด้วย เพราะในมือนั้นมีไฟฉาย หูฟังสำหรับตรวจโรค ที่สำคัญบนไหล่ของชายหนุ่มวัย 20 กว่าๆแบกหิ้วกระเป๋ารูปทรงสี่เหลี่ยมสีดำอยู่ตลอดเวลา เจ้าน้อยผู้คอยติดสอยห้อยตามเมื่อเห็นหมอกรคว้ากระเป๋าใบนี้เมื่อไหร่ มันก็คว้ารองเท้าสวมใส่ทันที