ตอนที่ 6 น้ำตาเทียน .........ดึกแล้ว แสงดาวส่องประกายระยิยระยับพร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า เหมือนหนึ่งถูกแต้มไว้ด้วยเกล็ดเพชรที่ล้ำค่า คละเคล้ากับเสียงลมที่พัดหอบเอาคลื่นน้ำทะเลพัดกระแทกฝั่ง ฟังดูเหมือนบางครั้งประหนึ่งโกรธใครมา เสียงดังครืนๆไม่ขาดตอน หากชีวิตคนเราหมุนเวียนเช่นดังเกลียวคลื่นไม่มีวันสิ้นสุด ก็คงจะดีไม่น้อย จริงสิน่ะ คลื่นทะเลมันไม่เคยลืมฝั่ง แม้อยู่ห่างไกลแค่ไหน คลื่นมันยังหวนกลับเข้าซบฝั่งที่เป็นหาดทรายสีขาวส่องประกายสว่างโพลงอยู่ท่มกลางความมืด ในยามนี้ แม้บางครั้งจะหอบทรายที่สกปรกดำด่างปานใดคลื่นน้ำทะเลก็จะโอบกอดชะล้างให้ทรายขาวใสดังเดิม ไม่มีวันทอดทิ้งหรือปล่อยให้ทรายดำด่างอยู่เช่นนั้น เสียงถอนหายใจออกจากกร หนุ่มหน้าใสร่างสูงโปร่งบาง ผิวขาว เคยมีคนชมว่าเขาหล่อไม่แพ้ดาราเกาหลีที่วัยรุ่นคลั่งไคล้ หลงไหล แต่ท่วานัยน์ตาแทนที่จะสุกใสส่องประกายน่ารักเฉกเช่นวัย 20 ต้นๆของเขา กลับดูหม่นเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เคยมีคนถามว่าทำไมแววตาของเขาจึงดูเศร้า ชอบกล กรได้แต่ยิ้มบางๆเท่านั้น กร ค่อยๆทรุดกายลงนั่งบนขอนไม้ใต้ต้นมะพร้าว ที่ทอดเงาทะมึนลงทับหาดทรายที่ส่องประกายขาวโพลนอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางความมืดในยามวิกาล แต่กลับไม่มืดสนิท ทำไมหนอความรัก ความสมหวังจึงไม่จิรังเหมือนกับหาดทรายและทะเล มันคงเป็นธรรมชาติที่เลือกแต่งสรรมาให้กระมัง ก่อนนี้กรมีความสุขในชีวิต มีเพื่อนสนิทที่สนิทกันมากจนเวลาที่ผ่านไปแสนนานเปลี่ยนแปลงความเป็นเพื่อนสนิทเป็นคนรักที่รักกันมาก จนคิดว่าจะใช้ชีวิตรักร่วมกัน มีบุตรที่น่ารักสัก 2 คน ใช้ชีวิตเหมือนชีวิตคู่ของคนทั่วไป แต่ความคิดความหวังกลับกลายเป็นแค่ความฝันจะเป็นความจริงไปไม่ได้ เพราะธรรมชาติสาปให้เขาต้องกลายเป็นคนที่เก็บตัว ใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยวเช่นนี้ "ทำไมถึงทำตัวเหินห่างกับเรา ล่ะ เจน" กรเคยถามเมื่อครั้งเรียนจบจาก นศ.แพทย์ใหม่ๆ (แพทย์ชนบท) "ก็เราเบื่อกร กรคิดถึงแต่คนอื่น คิดถึงแต่งาน หายใจเข้าออกคนไข้ คนไข้ เราเบื่อ เราอยากมีคนรักคอยเอาใจดูแลเดินเคียงข้าง แต่กรไม่ นี่พอเรียนจบมากรก็จะขอย้ายลงทำงานในท้องที่กันดาร เราเบื่อ" "ลาก่อน น่ะ ขอให้โชคดี" เป็นประโยคสุดท้าย ที่เธอบอกลาพร้อมชายหนุ่มนักธุรกิจคนรักใหม่ ก่อนที่เขาทั้งคู่จะใช้ชีวิตร่วมกันในเวลาไม่นานนักหลังจากบอกลากับกร กรยังได้ไปในงานวิวาห์ของทั้งคู่เป็นงานที่ใหญ่โตหรูหราพอสมควร สมกับเป็นงานวิวาห์ของนักธุรกิจหนุ่มและแพทย์สาวสังคมไฮโซ ของขวัญวันแต่งงานที่กรนำมามอบให้ในงาน ยังจำได้เป็นภาพวันวานสมัยเป็น นศ.แพทย์ด้วยกัน เป็นรูปถ่ายหมู่ แต่ทุกอย่างนั้น ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว เหลือเพียงภาพแห่งความทรงจำที่เจ็บปวดและเป็นบทเรียน ที่กรต้องยอมแลก ยอมเสียเพื่อความสุขกับการได้มาทำงานในชุมชนที่กันดารแห่งนี้ บางครั้งกรคิด มันไม่ยุติธรรมเลย ที่คนเช่นเขาต้องเสียสละกับเรื่องส่วนตัวถึงเพียงนี้ ทำไมธรรมชาติจึงไม่ให้ทุกสิ่งแก่เขา ทำไมต้องให้เขาเลือกได้อย่าง เสียอย่างนั้นเล่า ......ดวงดาวยังคู่ท้องฟ้า แต่จริงสิน่ะ ยามเมื่อมีดวงจันทร์ส่องประกายสุกพราว ยามนั้นประกายของแสงจันทร์จะบดบังประกายสุกใสของดวงดาว แต่ยามมีประกายสุกใสของดวงดาวเช่นยามนี้เราจะไม่พบแสงเหลืองนวลสวยงามของดวงจันทร์เลย แต่เมื่อใดที่มีทั้งดวงจันทร์และดวงดาว เมื่อนั้นความสวยงามของทั้งสองสิ่งจะลดลงเพราะธรรมชาติไม่ยอมวร้างสิ่งที่ดีมาคู่กันเสมอ .......ปูลมต่างวิ่งไล่ลงรูกันสับสนไปหมดเหมือนมันหยอกล้อกับชะตาชีวิตของกรหรือเพื่อต้องการให้กรเลิกคิดถึงสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ ให้ดูปูอย่างมันเป็นตัวอย่าง บางครั้งพวกมันยังสับสนวิ่งลงผิดรูเลย ยามที่มีคนนำปิ๊บมาฝังล่อใส่อาหารลงไปข้างในปิ๊บนั้นเช่นกะปิ เพื่อให้มันไต่ลงไปแล้วออกไม่ได้จนกลายเป็นอาหารทอดกรอบอันโอชะนั้น มันก็ยังมีความสุขที่ได้เป็นปูลมวิ่งเล่นรับแสงดาวกับแสงเดือนอยู่บนชายหาดนี้ ความทุกข์นั้นคู่กับความสุขเสมอ อยู่ที่เราจะเลือกเอาสิ่งที่เป็นทุกข์หรือสิ่งที่เป็นสุขต่างหากนั้นเล่า แต่สำหรับปูลมตัวน้อยนี้ มันหยุดอยู่ที่ข้างตัวกร พลางกลอกนัยน์ตาสีดำที่โปนออกมาเหมือนจะบอกให้กรรู้ว่ามันเลือกเอาความสุข แม้ว่าอีกไม่นานปูลมตัวน้อยนี้ ซึ่งวิ่งเล่นไปมาอย่างมีความสุขอาจจะตกลงไปในปิ๊บและกลายเป็นอาหารที่ว่าไปในที่สุด มนุษย์ที่ฉลาดเลือกครองตนบนสังคมนี้ได้ ด้วยการมองโลกให้เป็นสุขแล้วชีวิตเราจะเป็นสุขหากเลือกเอาสิ่งที่เป็นทุกข์ ชีวิตทั้งชีวิตเราก็จะมีแต่ความทุกข์ สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน อยู่ที่เราต่างหากว่าจะเลือกอยู่กับอะไร เสียงลูกมะพร้าวแห้งหล่นตุบอยู่ห่างเบื้องหน้ากรไปไม่ไกล ตามแรงเหวี่ยงของขาชายหนุ่มที่เหวี่งเอาลูกมะพร้าวแห้งนั้นออกไป ..........คงจบสิ้นกันที กับความรักที่จอมปลอม ความรักที่หลอกลวง ความหลังที่ขมขื่น ให้สิ่งเหล่านี้ จงถูกลมที่พัดดึงเอาเกลียวคลื่นของทะเลที่กระทบฝั่งเมื่อครู่ ออกสู่กลางทะเลโพ้นและอย่าได้นำมันกลับมาอีกเลย ถ้าธรรมชาติต้องการให้เขามาอยู่ที่นี่ มาสร้างสิ่งเจริญ มารักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หากจะเป็นที่กันดารแห่งนี้หรือแห่งไหน เขาก็ยอมทั้งนั้น กร บอกกับตนเองว่า คนเราฝืนอะไรฝืนได้แต่ฝืนธรรมชาตฝืนโชคชะตาไม่ได้ ชะตาคนเราถูกกำหนดมา ถูกขีดเส้นมาตั้งแต่เกิดแล้ว....................
13 กรกฎาคม 2553 09:41 น. - comment id 118004
ผู้อ่านอาจจะเครียดกับเรื่องราวที่ผู้เขียนสื่อออกไป แต่นั่นผู้เขียนเจตนาที่จะสื่อว่าทุกชีวิตที่ผ่านร้อยเรื่องราวหรือมากมายหลายเรื่องที่ผ่านมาและผ่านไปในชีวิต นั้นย่อมหนีความจริงของสัจจธรรมและธรรมชาติไม่พ้นทำอย่างไรที่เราจะเลือกใช้ชีวิตร่วมสังคมให้เกิดสุข นั้นย่อมสำคัญกว่า ผิดพลาดประการใดติชม แนะนำด้วยค่ะ พ.จินดา อดีตปลายปากกาจากนิตยสารเรื่องสั้น เมื่อ 20 ปีที่แล้ว
13 กรกฎาคม 2553 09:45 น. - comment id 118005
ผู้เขียนจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลาเกือบอาทิตย์ ไว้กลับมาจะสื่อเรื่องราวในอดีตที่เป็นจริงเปรียบเทียบกับสังคมและเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันร่วม 20 ปีได้เสมอ หากคุณยังให้กำลังใจดิฉันอยู่ น่ะค่ะ พ.จินดา
13 กรกฎาคม 2553 20:04 น. - comment id 118011
ตอนที่ 1,2 คุณใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า "ผม" และลงท้ายคำว่า"ครับ" ตอนที่ 6 นี้คุณใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า "ดิฉัน และลงท้ายว่า"ค่ะ".......คนอ่านสับสนจ้า......... รึว้า....เป็น สองอย่างบาทจ๊ะ......อิอิ...... แต่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็จะติดตามจนครบ 40 ตอนนะ......
17 กรกฎาคม 2553 21:25 น. - comment id 118157
ขอขอบคุณมากน่ะที่ติดตามงานของผู้เขียนทุกตอน เป็นอย่างดี จากใจจริง