บุรุษ คนใดคนหนึ่ง(นิทานธรรมบท)

กระต่ายใต้เงาจันทร์


เรื่องที่  ๒๑  บุรุษ คนใดคนหนึ่ง
	มีเรื่องเลากันว่า  ในมหรสพวันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิ  โกศลทรงกระทำทักษิณพระนคร   ทรงช้างเผือกล้วนเชือกหนึ่ง  ทอดพระเนตรเห็นภรรยาของบุรุษเข็ญใจคนหนึ่ง  ซึ่งมองดูพระองค์ที่ปราสาทเจ็ดชั้น  พอพระองค์ทอดพระเนตรเห็น  นางก็หลบพระองค์  ภาพของนางเหมือนพระจันทร์หายเข้ากลีบเมฆ
	พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเสียดายเป็นกำลัง   อำนาจความรักทำให้พระองค์เป็นประหนึ่งว่าจะตกจากหลังช้าง   รีบกระทำปทักษิณพระนครแล้วรับสั่งให้อำมาตย์ไปสืบ  พอได้ความว่า  เธอผู้นั้นเป็นภรรยาของบุรุษเข็ญใจคนหนึ่ง  จึงสั่งให้บุรุษคนนั้นเข้ามาเฝ้า  บอกกับเขาว่า  ให้ปฏิบัติพระองค์อยู่ใกล้ชิดพระองค์  การที่พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้น  ก็เพื่อจะหาโอกาสฆ่าเขาเสีย   แล้วริบเอาภรรยาของเขามาสมความปรารถนาของพระองค์
	แต่ว่า   พระเจ้าไม่ได้เข้าคนผิด  พระองค์ไม่ได้โอกาสสักที  แม้ว่า  พระองค์จะกระทำวางแผนใด ๆ  กับเขา  ก็ไม่สามารถทำให้เขาเป็นผู้มีความผิด  พอที่พระองค์จะสั่งประหารได้   จนกระทั่งครั้งสุดท้าย  พระองค์ได้ทรงสั่งให้เขาไปเอาดินสี่อรุณกับดอกโกมุทและดอกอุบล  ซึ่งอยู่ในใต้บาดาลมาแต่ว่าโชคก็คงเข้าข้างเขาอีก  โดยเขาได้บริจาคข้าวเป็นทานแก่ปลาในน้ำ  แล้วประกาศให้ส่วนบุญแก่พระยานาค  พระยานาคได้นำมาให้เขา
	พระเจ้าปเสนทิโกศลคิดกลัวว่า  จะไม่สำเร็จ  จึงสั่งให้ปิดประตูเสียแต่วัน  เพื่อมิให้เขาเข้าเมืองได้คิดว่า   รุ่งขึ้นก็จักจับเขามาประหารเสีย  แล้วริบเอาภรรยาของเขามาถึงประตูพระนครแต่วันแต่ไม่ทัน   ประตูพระนครปิดเสียก่อนเขาจึงปาดินและดอกโกมุท  ดอกอุบล   เหล่านั้นเข้าไปในประตูพระนครพร้อมทั้งประกาศว่า   เขาได้นำสิ่งที่พระราชาต้องการมาให้แล้ว  แล้วนอนอยู่ที่ศาลาภายนอกพระนคร
	คืนนั้น  พระเจ้าปเสนทิโกศลบรรทมไม่หลับ  ด้วยทรงคิดถึงหญิงนั้นเป็นกำลัง  ตกดึกทรงได้ยินเสียงเปรตจากอเวจีร้องว่า   ทุ   ส   น   โส     พระองค์ทรงตกพระทัยเป็นกำลังรุ่งเช้ารีบให้หาโหรมาดำรัสถาม   ฝ่ายโหรเองไม่รู้ไม่ชี้ก็ทูลพระองค์ว่า  เป็นพระเคราะห์ของพระองค์   ขอให้พระองค์รีบบูชายัญญ์  โดยให้จับช้าง   ม้า  โค  แม่โคนม  แพะ   แกะ  ไก่  สุกร   เด็กชาย   เด็กหญิง   อย่างละร้อย   มาฆ่าบูชายัญญ์ซึ่งพระองค์ก็ทรงสั่งให้ราชบุรุษจับคนและสัตว์เหล่านั้นมาขังไว้เพื่อจะได้จัดการฆ่าบูชายัญญ์ในวันรุ่งขึ้น
	ฝ่ายเหล่าชนที่เป็นญาติของเด็กชายเด็กหญิงเหล่านั้นต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญมาหาพระนางมัลลิกาเทวี   พระนางได้เข้าไปทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล  ทรงเตือนให้พระองค์ทรงระลึกถึงพระศาสดา   แล้วได้พาพระองค์ไปเฝ้าพระศาสดา  ทูลเรื่องนั้นให้พระศาสดาทรงทราบ
	พระศาสดาทรงทราบเรื่อง   ก็ตรัสว่า  มิใช่เคราะห์กรรมอะไรของพระองค์ดอก   แต่หากเสียงที่พระองค์ได้ยินนั้นเป็นเสียงเปรตจากอเวจี   ซึ่งจมลงในโลหกุมภีถึง  ๓  หมื่นปีจึงได้ขึ้นมาบนปากหม้อครั้งหนึ่ง  และเขาจะกล่าวคาถา  แต่ว่าไม่สามารถจะกล่าวได้   กล่าวคนละอักษรแล้ว   ก็หมุนกลับเข้าไปสู่หม้ออย่างเดิมอีก   แล้วทรงตรัสพระคาถาเต็มว่า
พวกเราเมื่อโภคะมีอยู่  ไม่ได้ถวายทาน  ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน  พวกเราจัดว่ามีชีวิตอยู่อย่างชั่วช้าที่สุด
เมื่อเราถูกไฟไหม้อยู่ในนรกครบ  ๖  หมื่นปีโดยประการทั้งปวง   เมื่อไรที่สุดจักปรากฏ  
ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย  ที่สุดย่อมไม่มี   ที่สุดจักมีแต่ที่ไหน  ที่สุดจักปรากฏ  เพราะว่ากรรมชั่วที่เราและท่านได้กระทำไปแล้วในกาลนั้น   เรานั้นไปจากที่นี้แล้ว   ได้กำเนิดเป็นมนุษย์จักเป็นผู้รู้ถ้อยคำที่ยาจกกล่าว  ถึงพร้อมด้วยศีล   ทำกุศลให้มากแน่
พระศาสดาตรัสเช่นนั้นแล้ว   ตรัสว่า  มหาบพิตรเปรตทั้ง  ๔  นั้น  ปรารถนาจะกล่าวคาถาคนละคาถา   แต่ไม่สามารถจะกล่าวได้  กล่าวได้เพียงคนละอักษรเดียวเท่านั้นแล้วเข้าไปสู่โลหะกุมภีนั้นอีกด้วยประการฉะนี้แล
	ฝ่ายพระราชา  เกิดความสังเวช  เพราะได้สดับเทศนานั้น  ทรงดำริว่า   ชื่อว่าปรทาริกกรรมนี้หนักหนอ   ทราบว่าชนทั้ง  ๔  นี้ไหม้ในอเวจีนรก  ตลอดพุทธันดรหนึ่ง  จุติจากอเวจีนั้นแล้วเกิดในโลหกุมภี   อีกถึง  ๖  หมื่นปี   แม้อย่างนี้ยังไม่ทราบว่า   เมื่อไรจักพ้นทุกข์   เราทำความเยื่อใยในภรรยาของคนอื่น   ไม่ได้หลับตลอดคืนยังรุ่ง   บัดนี้   ตั้งแต่นี้ไป   เราจักไม่ผูกความไม่พอใจในภรรยาของชายอื่นละ  แล้วจึงกราบทูลพระศาสดาว่า   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ทราบความที่ราตรีนานไนวันนี้เอง
	บุรุษนั้น   นั่งอยู่ในที่นั้น  ฟังถ้อยคำนั้น  คิดว่า  เราได้ปัจจัยมีกำลัง  จึงกราบทูลพระศาสดาว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระราชาทรงทราบว่าราตรีนั้นนาน   ในวันนี้ก่อนข้าส่วนพระองค์เองได้ทราบว่าโยชน์ไกลในวันวาน
	พระศาสดาทรงเทียบเคียงถ้อยคำ  ของคนทั้งสองแล้วตรัสว่า   ราตรีของคนบางคนย่อมเป็นเวลานาน   โยชน์ของคนบางคนเป็นของไกล   ส่วนสงสารของคนพาลย่อมเป็นสิ่งที่ยาว   แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
	ราตรีของผู้ตื่นอยู่   นาน   โยชน์ของคนเดินทางไกล  เมื่อยล้า   ไกล   สงสารของคนพาลทั้งหลายผู้ไม่รู้สัทธรรม   ย่อมยาว
	ในเวลาจบเทศนา  บุรุษนั้นบรรลุโสดาปัตติผล   ฝ่ายพระราชาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว  เสด็จกลับไปรับสั่งให้ปล่อยสัตว์เหล่านั้นจากเครื่องจองจำ   ทั้งหญิงทั้งชายต่างดีอกดีใจ   กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระนางมัลลิกาเป็นอันมาก
	ตกเย็น  พวกภิกษุสนทนาในโรงธรรมว่า   น่าสรรเสริญ   พระนางมัลลิกานี้ฉลาดมาก   ทรงอาศัยพระปัญญาของพระองค์   ได้ประทานชีวิตแก่ชนเป็นอันมากได้
	พระศาสดาเสด็จมาทรงตรัสถามพวกเธอ   เมื่อทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว   จึงตรัสอดีตนิทานว่า
	นานมาแล้ว   โอรสของพระเจ้าพาราณสีองค์หนึ่ง   เข้าไปบนบานศาลกล่าวกับเทพเจ้าที่สถิตอยู่ที่ต้นไทร  ขอให้ได้ราชสมบัติ   เมื่อพระราชบิดาทรงสวรรคตแล้ว  จะจับพระราชาในชมพูทวิปทั้งสิ้นพร้อมด้วยพระอัครมเหสี  ๑๐๑  พระองค์มาเชือดคอสังเวย
	ต่อมาไม่นาน  พระองค์ได้ราชสมบัติ   ทรงระลึกถึงปฏิญญาณที่ตนได้ให้ไว้ต่อเทพเจ้าที่ต้นไทรต้นนั้น   จึงทรงพาเสนาหมู่ใหญ่  ไปจับพระราชาทั้ง  ๑๐๑  พระองค์  นำมา  ณ  ที่นั้น  ฝ่ายเทพดาเห็นดังนั้นก็ตกใจ  ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร   กลัวว่าพระราชาในชมพูทวิปเหล่านั้นจะต้องสิ้นพระชนม์เพราะตนคนเดียว  จึงเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเทพดาองค์อื่น   ก็ไม่มีใครสามารถจึงเขาไปหาท้าวสักกะ   ท้าวเธอได้ทรงตรัสบอกอุบายให้ว่า   จงแสดงตนให้พระราชาเห็น   นุ่งผ้าแดง   แสดงอาการดุจออกไปจากต้นไม้ของตน   เมื่อเป็นเช่นนี้  พระราชาจะคิดว่า   เทวดาของเราไปเสียแล้ว   เราจักให้เทวดากลับมาแล้วจักอ้อนวอนท่านด้วยประการต่าง ๆ  ท่านบนต่อเราไว้ว่าจักนำพระราชา  ๑๐๑  กับพระอัครมเหสีทั้งหลาย   มาทำพลีด้วยโลหิตในพระศอของพระราชาเหล่านั้น  แต่ท่านทิ้งเทวีของพระเจ้าอุคคเสนไว้   เราจักไม่รับพลีของคนผู้มักพูดเท็จเช่นกับพระองค์   เมื่อท่านพูดเช่นนี้  พระราชาก็จักให้นำพระเทวีนั้นมา   พระเทวีนั้นแสดงธรรมแก่พระราชาให้ชีวิตทานแก่พระราชาทั้งหมดได้   เทวดาได้กระทำเช่นนั้นทุกประการพระราชาได้รับสั่งให้นำพระเทวีนั้นมาแล้ว
	ฝ่ายพระเทวี   มาถวายบังคมพระราชาผู้สามีของตนเท่านั้น   แม้ประทับนั่ง  ณ  ที่สุดของพระราชาเหล่านั้น  พระราชากริ้ว  ตรัสว่า
	เธอไม้ไหว้เราที่เป็นใหญ่กว่าพระราชาทั้งหมด   ไหว้สามีของเธอ  ซึ่งเป็นผู้น้อยกว่าพระราชาทั้งหมด
	เรื่องอะไรของหม่อมฉันต้องเกี่ยวข้องกับพระองค์เล่าพระราชาองค์นี้เป็นสามีผู้ให้ความเป็นใหญ่แก่หม่อมฉัน   ไม่ไหว้พระราชาพระองค์นี้  แล้วจักไหว้พระองค์ทำไม
	เทวดากล่าวว่า   ถูกแล้ว   พระเทวีผู้เจริญ  แล้วบูชาพระเทวีด้วยดอกไม้กำหนึ่ง
 	ฝ่ายพระราชาตรัสต่อไป  ถ้าเธอไม่ไหว้เรา   ทำไมจึงไม่ไหว้เทวดาของเราผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้   ผู้ให้สิริราชสมบัติแก่เราเล่า
	ข้าแต่มหาราช   พระราชาทั้งหมด   พระองค์ทรงตั้งอยู่ในบุญของพระองค์  จึงจับได้  ไม่ใช่เทวดาจับถวาย
	ขณะนั้น  เทวดาได้บุชาพระนางด้วยดอกไม้อีกกำหนึ่ง
	พระองค์ตรัสว่า   พระราชาทั้งหมดนี้   เทวดาจับให้เรา   พระเทวีตรัสต่อไป  บัดนี้ต้นไม้ถูกไฟไหม้  ณ  ข้างซ้ายในเบื้องบนเทวดา   เทวดาของพระองค์  ทำไมเทวดานั้นจึงไม่สามารถจะดับไฟนั้นได้   ถ้าเทวดามีอานุภาพมากอย่างนั้น
	เทวดาได้บูชาเธออีก
	ขณะที่พระเทวีตรัสอยู่นั้น  พระองค์ทั้งทรงกันแสงทั้งทรงพระสรวล  พระราชาจึงตรัสถามว่า  เธอบ้าหรือดีนี่
	ขอเดชะ   ทำไมพระองค์จึงเหมาคนอย่างหม่อมฉันว่าเป็นบ้า   พระเทวีย้อนถาม
	เธอทั้งร้องไห้  ทั้งหัวเราะ   ก็จะไม่ให้ฉันว่าเป็นบ้าได้อย่างไร
	พระองค์จงสดับเถิด   พระเทวีตรัสตอบ   นานมาแล้ว   หม่อมฉันได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งไหม้ในนรก   ด้วยเศษผลห่างกรรม   จึงได้ถูกตัดศีรษะด้วยการนับขนแม่แพะตัวนั้น  แต่ว่าพระองค์ฆ่าคนถึงขนาดนี้เมื่อไรจึงจะพ้นจากทุกข์ได้   หม่อมฉันเห็นเหตุนี้   จึงได้ร้องไห้
	แล้วทำไมเธอจึงหัวเราะเล่า   พระราชาตรัสถามต่อไป
	หม่อมฉันยินดีว่า   หม่อมฉันพ้นทุกข์แล้ว   จึงได้หัวเราะ
	คำพูดของพระเทวีทำให้พระราชาทรงสลดพระทัยยิ่งจึงได้สั่งให้ปล่อย  พระราชาเหล่านั้นกลับไปยังพระนครของตนโดยอาการขอขมาทั่วทุกพระองค์  ดังนี้แล ฯ
คติจากเรื่องนี้
การฆ่าคนอื่นเพื่อความสุขของตนเองนั้น  มิใช่การกระทำของคนที่ฉลาดเลย   หากเป็นการกระทำของคนที่โง่บัดซบนั้นมากกว่า
				
comments powered by Disqus
  • กะเทยไทยใต้เงาพระมหาเจดีย์ชเวดากอง

    5 มิถุนายน 2553 01:42 น. - comment id 117105

    หนูเข้ามาอ่านแค่ 3 บรรทัดล่างจริงจริงนะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน