ในตัวตนคนเรา มักยอมรับในสิ่งที่ชอบ และใช่ และเกิด ความพึงพอใจ แต่ถ้า เมื่อไร เราเรียนรู้ ความไม่ชอบ และปฎิเสธ ในสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่ยอมรับ และกล้าก้าวออมาในสิ่งเหล่านั้น ไม่ยึดติด กับ อารมณ์สุข ทางกาย ความสุขสบาย ฟุ้งเฟ้อ ห่วงหน้าตา และลาภยศ ในสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้ ทำให้ตกเป็นทาสสิ่งเรานี้ ไม่กล้าเพราะ กลัวหนทางข้างหน้า กลัวการเปลี่ยนแปลง รู้สึกว่า ช้าหรือสายเกินไป สำหรับชีวิต แต่ถ้า เราตั้งเป้าหมาย และมองสิ่งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา และเมื่อ ถึงจุด ในความ ไม่ชอบ และปฎิเสธ นั่นเอง เป็นการเริ่มต้น ของ การต่อสู้ อีกครั้ง ฉันคิดเสมอ และวางแผน ชีวิตเสมอ ตั้งแต่วัยเด็ก จนเติบใหญ่ แต่ฉัน ลืมไป ตอนนั้น ว่า โลกนี้ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงแม้ว่า คุณคิดว่า คุณทำดีที่สุดแล้วก็ตาม ในกระบวนการคิด คงมีพลังลี้ลับ และกระบวนการรักษาเยียวยาตัวเอง ไม่ว่า เจอเรื่องเลวร้ายเพียงใด ฉันมักจะหาเหตุผลที่ดีมารองรับเพื่อให้ทุกข์ น้อยลง คนเราทำได้ทุกคน ถ้าเรา หาเหตุผลกับสิ่งนั้นไม่เจอ น่าจะหาทางแก้ไขโดยสติ และคิดซ้ำๆเสมอว่า เราสามารถผ่านช่วงนี้ไปได้ ต้องมีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิตในเมื่อเราไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ดี ตั้งใจกระทำแต่สิ่งดี กระบวนการคิดของคน ทางจิตวิญญาณจะมีพลังดึงดูดถ้าเราซึมซับและคิดแต่สิ่งที่ดีเข้าหา และ ผลักสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป คงเหมือนการทำอะไรซ้ำๆ เช่น คนชอบซุบนินทา กระทำอยู่ทุกวัน ทำจนเป็นนิสัย จนเป็นความเคยชินเลยกระทำอยู่เช่นนั้น คงเหมือนคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกวัน เพราะคิดว่า ต้องดื่ม นั่นติดในอารมณ์เสียมากกว่าเพราะคิดไปเอง อารมณ์โกรธเป็นสิ่งหนึ่ง ทำยังไงให้เรา โกรธน้อยลง พอโกรธต้องคิดแล้ว เครียด อยากตะโกน ปากคอสั่น มือสั่น หายใจรัวและเร็วเหนื่อยและโทรมง่าย เราต้องคิดแล้ว ถ้าตัวเราเองไม่เจอคนแบบนี้ เราอยากเจอไหม อยาก โดนไหม อยากคุยด้วยไหม สิ่งสำคัญ โกรธแล้วแก่เร็ว ความชรามาหาเราไวขึ้น ไม่เห็นประโยชน์อะไรตรงนี้เลย คนขี้โมโห อาจมาจากหลายปัจจัย ก่อนอื่นเราต้องดูตัวเองก่อน ว่า เรายึดติดเรายึดติดในตัวตนความคิดตัวเองมากไปรึปล่าว สิ่งสำคัญต้องเอาใจเขามาใส่ในเรา ไม่มีอะไรที่คนเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ถ้าคุณกล้าพอ แต่คุณต้องซื่อสัตย์และตั้งมั่นและกระทำอย่างต่อเนื่อง จักรวาลคงกำหนดเวลาความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณเอง เราต้องรักและเคารพนับถือความคิดตัวเองในการกระทำที่ถูกต้อง แต่อย่าหลงตัวเอง ถ้าเรารักและนับถือตัวเองเมื่อไร ฉันคิดว่าการรักคนอื่นไม่ใช่เรื่องยากมันเกิดขึ้น โดยอัติโนมัติ แต่ในสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง ย่อมทำผิดพลาดได้เสมอเพราะ มัน เป็นธรรมชาติที่จัดสรรลงมา เราคงต้องมาเรียนรู้ การ ปล่อยวาง ยอมรับ และ อภัย คำหลังคงทำได้อยากที่สุด เพราะเรามักคิดเสมอ ว่าในเมื่อมีคนอื่นทำร้ายเรา เราทำไมต้องดีด้วย มันต้องตาต่อตา ฟันต่อ ฟันสิ ร้ายมาก็ร้ายไป ดีมาก็ดีไป ฉันใช้เวลาเรียนรู้ และทำว่า ให้อภัย มาหนึ่งปีเต็มๆจึงทำได้ ฉันไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่ฉันกระทำและหาเหตุผลมารองรับรักษาเยียวยาตัวเองนั่นคือ หลักธรรมมะ จนฉันได้ นั่งสมาธิและปฎิบัติธรรม นั่นจึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทุกคน เพราะฉันคิดว่า ทุกคน ย่อมมีธรรมมะอยู่ในใจ มนุษย์คงมีสองขั้วเหมือนขั้วไฟฟ้า คือ บวกและลบ อยู่ที่ฝ่ายไหนขึ้นมาควบคุมและเหนือจิตใจเราก็เท่านั้น บางครั้งความถูกต้องก็ทำให้เราต้องสูญเสียอะไรมากมาย แต่เราต้องฝึกและบังคับให้มันเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางชีวิตที่ดี ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา คงเหมือนการให้อภัย เราให้อภัย เสียอะไรไปบ้าง เสียเงิน เสียทองนั่นไม่ใช่เพราะ หลายคนคงเสียไปแล้ว แต่เราได้อิสระ อิสระทางความคิด ความเคียดแค้น จากกองไฟที่เผาไหม้ใจเราเอง ใช่ว่า คนที่เราแค้น จะทุกข์กับเรา เขาเหล่านั้นอาจกำลังมีความสุข เรา โง่หรือบ้าแน่ ที่ ยังทุกข์ โกรธ แค้น อดีตเราย้อนไปแก้ไขไม่ได้ เราจึงต้องเรียนรู้การให้อภัย และเมตตา ยากค่ะ ข้อนี้ แต่ถ้าใครหรือคุณทำได้ คุณจะหลับอย่างเป็นสุข หน้าตาสดใส รู้สึกจิตใจโล่ง โปร่งสบาย ตอนแรก ต้องฝืนตัวเองสักนิด แต่ทำบ่อยๆจนเคยชินสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในอัติโนมัติ ทุกคน มีภาระ มีหน้าที่ กับสังคมและครอบครัวทำอย่างไรให้ชีวิตสมดุลย์และมีความสุขแค่วันนี้ เราคิดดี ทำดี เราก็ถือว่าเราได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่แล้ว การปฎิบัติธรรม ทำสมาธิ เราทำที่บ้านก็ได้ ที่ทำงาน หรือที่ใดๆ มีเวลาแค่ไหนก็ทำเท่านั้น ค่อยๆเป็นไป สิ่งสำคัญคือ ใจเราต้องปฎิบัติ