ฟ้าเพียงดิน (๑๑) สิ่งที่เขาแลเห็น รปภ.สองนายกับชายฉกรรจ์สองนาย เข้าขวางกันไม่ให้หญิงสาวทั้งสามเดินผ่านทางเล็กๆ ไปยังบ้านหลังน้อยที่เขาอาศัยอยู่ “ขอโทษครับ คุณผู้หญิงผมไม่อาจจะอนุญาตให้คุณเข้าไปได้หรอกครับ เห็นใจผมเถอะครับ” พร้อมยกมือ ตะเบ๊ะด้วย ระหว่างทางเบื้องหลังชายหนุ่มฉกรรจ์ไม่ได้กล่าวอะไรเพียงยืนรักษาทางเดินไว้เท่านั้นเอง “นี่แกๆ....ทำไมฉันจะเข้าไปเดินเล่นทางบ้านหลังนี้ไม่ได้ ในเมื่อคุณป้าท่านอนุญาตแล้วนี่นา” เสียงหญิงสาว ในสามคนกล่าวขึ้น “ บ้านหลังนี้ท่านอนุญาตให้เฉพาะ กับยายผันและหลานเท่านั้นขอรับคุณผู้หญิง นอกนั้นเข้าไปไม่ได้ หรอกครับ” รปภ. กล่าวขึ้น “ บ้านนี้มีความสำคัญมากเชียวหรือ ฉันจะไปชมสวนเท่านั้นไม่ได้เข้าไปในบ้านหรอก” หญิงสาวอีกคนหนึ่ง กล่าวขึ้นบ้าง “ ไม่ได้หรอกขอรับ ภายในอาณาเขตนี้ไปถึงบ้านห้ามทั้งสิ้นขอรับเห็นใจพวกผมด้วยเถอะขอรับ” “ ฉันจะเข้าไปดูซิว่าจะมีอะไรไหม???.....” หญิงสาวอีกคนหนึ่งกล่าวบ้าง พลางตบหน้าและ ผลักอก รปภ.ให้ถอยออกไปทันที พลางหญิงสาวทั้งสามก็กล่าวคำผรุสวาทขึ้นหลายๆคำ ต่างช่วยกันระดมกล่าว ทันใดนั้น รปภ. ร่างเซไปเล็กน้อย ใบหน้าแดงกล่ำหมวกหลุดกระเด็นไปอีกทาง ก็พลันพลางกล่าวขึ้นว่า “ ในเมื่อผมพูดจาดีๆแล้ว คุณผู้หญิงยังดื้อรั้นอีก ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ” พอกล่าวเสร็จพลางจับแขน หญิงที่กล่าวพลางเหวี่ยงกระเด็นออกไปชนซุ้มต้นไม้ทันที เสียงร้องกรี๊ดดังลั่นไปทั่วบริเวณ ทั้งสองต่างพากันแยกย้ายกันไปพยุงร่างหญิงสาวที่ถูกเหวี่ยงกระเด็นไป พร้อมๆแยกย้ายกันเพื่อจะเข้าไปยังบ้านเล็กทันที และร่างสองสาวก็ถูก รปภ.เข้าขัดขวางพร้อมผลักร่างไม่ให้ เข้าไปบริเวณนั้นทันที ส่วนหญิงสาวอีกหนึ่งก็ถลันเข้าไปยังทางเล็กที่ทอดยาวไปสู่บ้านเล็ก แต่ถูกชายฉกรรจ์ สองคนสกัดไว้แต่หนุ่มทั้งสองไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้นพลาง หัวปีกคนละแขน โยนออกไปจากบริเวณ ร่างลอยไป กระแทกร่างของหญิงสาวอีกผู้หนึ่งทันที ตอนนี้ทั้งสามสาวต่างร้องเอะอะโวยว้าย ส่งเสียงร้องกรีด ดังไปทั่วบริเวณ คุณหญิงคุณนายทั้งสามที่กำลัง คุยกันกับ หญิงเจ้าของบ้านและเจ้าบ้าน ต่างตกใจพากันลุกขึ้นมา แล้วเดินลงบันไดไปยังที่มาของเสียงทันที ครั้นพอเห็น เหตุการณ์ดังนั้น ฝ่ายแม่ของหญิงสาวทั้งสามต่างก็เข้าช่วยพยุงลูกสาวตนเองไว้แล้วหันไปกล่าว กับ เจ้าของบ้านทันที “ นี่คุณหญิงคุณผู้ชาย เห็นไหม มันจะมากไปแล้วน๊ะ ที่ รปภ.และหนุ่มทั้งสองทำกับลูกฉันอย่างนี้ได้ไง” คุณหญิงไม่กล่าวตอบพร้อมหันไปทาง รปภ.และชายฉกรรจ์ทั้งสองสอบถามทันที เมื่อได้รับทราบเช่นนั้น คุณ อัศวโรจน์เมื่อได้ยินพลางหัวร่อ “ ในเมื่อ รปภ.กล่าวขอร้องและยังถูกตบหน้าอีกมันก็เจ๊าวากันละน่า อย่าคิดมากไปเลย” “ทำไมคุณอัศวฯถึงกล่าวเช่นนี้ ต้องใช้กำลังด้วยหรือ พูดจาดีๆก็ได้นี่นา” คุณหญิง ผกามาศกล่าวขึ้น “อ้าวก็เขาบอกแล้วนี่นาว่า ในบริเวณนี้เป็นเขตหวงห้าม ห้ามใครเข้าไปยกเว้นบางคน ที่อื่นมีที่ชมตั้งแยะ สวนดอกไม้ต่างๆเอย ส่วนบ้านเล็กนี้เป็นของเจ้ากานต์มันมีแค่ร่องสวนนิดเดียวเท่านั้น แม้แต่พ่อแม่มันก็ยัง ไม่อยากล่วงเกินไม่จำเป็นจริงๆยังไม่เข้าไปเลยนะ” “ ใช่แม่ผกา ฉันเองก็ยังไม่กล้าเข้าไปเลยล่ะ” คุณหญิงพิริยะวดีเอ่ยขึ้น “แต่นี่ลูกสาวฉันเป็นหญิงนะ แม่พิริยะคุณอัศฯ ไม่น่าจะทำรุนแรงกับเขานี่นา” “หากหลานไม่ไปตบหน้าเขาก่อน เรื่องก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก นี่ไปทำเขาก่อนนะและเขาก็พูดจาดีๆแล้ว ก็ยังลุแก่อำนาจเกินไป ผมเองไม่จำเป็นยังไม่กล้าเข้าไปเลย ผมปล่อยให้เป็นที่ส่วนตัวเขาเท่านั้นไม่เคยไป ยุ่งเกี่ยวทั้งสิ้น” คุณอัศวโรจน์กล่าว “ นี่แสดงว่าคุณเข้าข้าง รปภ.กับคนของคุณใช่ไหมล่ะ” “ผมพูดไปตามเนื้อผ้านะคุณหญิง หากไม่ถือทิฐิใช้อำนาจเกินไปเรื่องก็คงไม่เกิดขึ้น นี่ไปลงมือเขาก่อน นี่ดีนะ เจ้ากานต์มันไม่รู้หากรู้มันจะยิ่งโกรธพวกคุณหญิงมากกว่านี้อีก” เจ้าของบ้านกล่าวลอยๆ ชายหนุ่มที่ยืนแอบอยู่หลังต้นไม้แอบหัวร่อในใจเสียมิได้ เมื่อเห็นคุณพ่อคุณแม่เข้าข้างตัวเอง แต่ก็ยังไม่ออก ไป ปล่อยให้ผู้ใหญ่เจรจากันเอง เพื่อดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ครั้นคุณหญิงได้ฟังคำพูดดังกล่าวต่างก็หันมามองหน้ากัน ด้วยทั้งสามหมายมั่นปั้นมือว่าจะเกี่ยวดองกับเขา หากมีเรื่องมากไปก็ทำให้สายสัมพันธ์ขาดลงแน่นอน จึงหันไปทางลูกสาวกล่าวขึ้นว่า “กลับกันเถอะลูก นี่ก็มืดค่ำแล้ว” “อ้าวๆๆๆ?????........จบกันแบบนี้หรือหนูไม่ยอมนะค่ะคุณแม่ “ สามสาวกล่าว “ หากคุณลุงคุณป้าไม่ไล่ รปภ.และหนุ่มไพร่สองคนออก หนูไม่ยอมแน่นอนค่ะ” “ ฮ่าๆๆๆในบ้านนี้เป็นสิทธิ์ของผม จะให้ใครออกหรือไม่ อยู่ที่วินิจฉัยผมเอง พวกเธอไม่มีส่วนยุ่งเกี่ยวอะไร อย่าให้เรื่องบานปลายมากกว่านี้ หากบ้านนี้ไม่เหมาะสมก็ไม่ต้องมาอีกก็ได้นี่นา” คุณอัศวโรจน์เอ่ยทันที คราวนี้เล่นเอาคุณหญิงคุณนายและบรรดาลูกๆตาค้างไปตามๆกัน เมื่อได้ยินเจ้าของบ้านกล่าวเช่นนี้ พลางหันมาทางคุณหญิงพิริยะวดี “แล้วคุณหญิงล่ะจะว่าอย่างไร เราเป็นเพื่อนกันนะ” “ ในบ้านนี้คุณพี่อัศวฯ เขาเป็นใหญ่เพียงคนเดียวในเมื่อเขากล่าวอย่างไรก็ควรเป็นอย่างนั้นจ้า แม้ว่าเราจะเป็น เพื่อนกันก็จริงอยู่ แต่นี่เป็นบ้านของพี่อัศวฯเขา ฉันเองย่อมต้องเชื่อฟังเขาจ๊ะ เอาอย่างนี้ดีกว่าเธอและลูกสาว กับไปก่อนแล้วฉันจะค่อยๆเจรจาคุณพี่อัศวฯเอง” คุณหญิงกล่าวขึ้น “แหมๆๆๆ????.... ต่างเข้ากันเป็นปี่ขลุ่ยกันเชียวนะย่ะคุณหญิง นั้นพวกฉันกลับก่อนล่ะ นี่ดีนะเป็นที่บ้านคุณ หากเป็นที่อื่นพวกฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด” คุณหญิงคุณนายต่างช่วยกันกล่าว “ เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้าประชุมแม่บ้าน ฉันก็จะลาออกจากประธานฯเสียไม่ยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว” คุณหญิงได้ฟังเช่นนั้นก็ เกิดอาการฉุนเฉียวทันที ที่เพื่อนขึ้นย่ะกับหล่อน “ อย่าถึงกับเป็นอย่างนั้นเลยแม่พิริยะฯ เรื่องแบบนี้คุยกันได้นะ” คุณนายพัชริน เอ่ยไกล่เกลี่ยทันที พร้อม สะกิดพวกเพื่อนๆ หากมากไปกว่านี้สิ่งที่พวกหล่อนตั้งใจไว้ก็จะพังพินาศสิ้น ครั้นเมื่อเพื่อนสะกิดเช่นนั้นทำให้ คุณหญิงคุณนายทั้งสองรู้ตัวทันที รีบหันไปยกมือไหว้คุณอัศวโรจน์แล้วกล่าวขอโทษและขอลา พร้อมจูง ลูกสาวเดินไปขึ้นรถหน้าตึกทันที พร้อมขับออกไป ส่วนคุณหญิงพิริยะวดีกับคุณอัศวโรจน์ต่างมองหน้ากันหัวร่อ ฝ่ายคุณอัศวโรจน์ก็เอ่ยขึ้น “นี่แม่พิริยะ พวกเพื่อนเธอนั้นมามีแผนการหวังเอาลูกสาวมาล่อลูกชายเรานะ” “ ทำไมคุณคิดเช่นนั้นล่ะคุณพี่” “อ้าวก็เธอไม่สังเกตหรือว่าพอเอ่ยถึงเจ้ากานต์ พวกเพื่อนเธอต่างชะงักกันเป็นแถว” “อืมม????.....ใช่ก่อนนี้ไม่เคยมาบ้านเราบ่อยๆเหมือนเดี๋ยวนี้เลย ตั้งแต่เจ้ากานต์กลับมา รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน” คุณหญิงเอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ เราขึ้นตึกกันไปเถอะ” แล้วหันไปทาง รปภ.ให้กลับไปทำหน้าที่เดิมได้ พลางหันไปทาง ชายฉกรรจ์พลางกล่าวขึ้น “นี่เจ้าผ่องเจ้าพัน เล่นหิ้วปีกโยนไปทั้งสองคนเชียวนะ หากลูกเขาแขนหักจะทำอย่างไรเล่า” “โธ่ๆๆ....นายท่านขอรับ คำพูดของพวกสาวนั้นหากท่านได้ยินแล้ว ก็คงจะทำเช่นผมเหมือนกันขอรับ” “ เออๆๆๆ ช่างหัวมันเถอะ นี่ดีนะโยนใส่พวกหล่อนไปหากไปทางอื่นเห็นจะแย่กว่านี้อีก” กล่าวเสร็จก็ ชวนคุณหญิงภรรยากลับขึ้นตึกไป ครั้นทั้งสองสามีภรรยา มาถึงห้องรับแขก คุณอัศวฯก็นั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนคุณหญิงนอนเอนกายลงบนตั่ง คุณ อัศวฯ กล่าวว่า “นี่ดีนะเจ้ากานต์มันไม่อยู่ หากมันอยู่ยังไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์บานปลายกว่านี้อีก ด้วยเจ้ากานต์มันเกลียด พวกคุณหญิงคุณนายอยู่ด้วยแล้ว ยิ่งลูกสาวทำแบบนี้อีกสงสัยมันจะเกลียดยิ่งขึ้นไปอีก ดีไม่ดีมันจะไล่ออก ไปเสียดื้อๆ พวกเราก็รู้นิสัยเจ้ากานต์ บทมันดีก็ดีใจหาย บทมันร้ายล่ะก็คุณเอ๋ยตอนมันเรียนมหา’ลัย พ่อเอง ได้ข่าวว่ามันออกนำหน้านำเพื่อนสองสามคน เล่นงานต่างคณะตั้งหลายคนหมอบกระแตไปต่างกระเจิง ครั้งแรกพ่อก็ไม่เชื่อหรอก ครั้นให้คนไปสอบถามดูถึงรู้ว่า ลูกเราแอบไปฝึกวิชาการต่อสู้หลายๆแบบมาเพื่อ ป้องกันตัวไว้ มันไม่บอกเราก็กลัวว่าเราจะเสียใจนะแม่” “จ๊ะพ่อ....ลูกสาวชื่อฉวีวรรณลูกสาวคุณหญิงก็เคยเล่าให้ฟังแม่เขาฟัง แม่เขามาเล่าให้แม่ ถึงจะได้รู้ว่าลูก เราทำตัวเป็นเสือซ่อนเล็บจ๊ะ” คุณหญิงเอ่ย “พูดถึงเรื่องลูกกานต์แล้วก็ให้นึกอดีต พ่อเองก็ใช่เล่นเสียเมื่อไหร่ล่ะตอนเรียนมาด้วยกัน เพียงแค่คนมา ตอแยแม่เท่านั้น พ่อยังเล่นเจ้านั่นเสียหมอบกระแตไปเลยล่ะ แม่ต้องรีบห้ามมิฉะนั้นปางตายแน่ๆเลยล่ะ” คุณอัศวฯได้ยินก็หัวร่อ พลางกล่าวว่า “นั่นซิเลือดมันไม่ทิ้งแถวหรอก แม่เองก็ใช่เล่นเสียเมื่อไหร่ ควบคุมเป็นถึงจ่าฝูงของเพื่อนๆต่างซูฮกแม่ ไปหมดเชียวล่ะ” “เจ้ากานต์มันจะมาเมื่อไหร่แม่รู้ไหม มันบอกอะไรกับแม่หรือเปล่าล่ะ” “มันเพียงบอกว่าไปเที่ยวสวนจ๊ะ สงสัยจะไปหาพี่แย้มกระมัง” “ พูดถึงพี่แย้มแล้วก็ไม่ใช่ใครอื่น ศักดิ์เป็นญาติแม่ไม่ห่างนัก เป็นลูกสาวของป้าซึ่งเป็นพี่สาวของคุณ แม่ของแม่นั่นแหละ เออๆๆ....ไม่ยอมแต่งงานไม่รู้พี่แกคิดอย่างไรกันเป็นโสดจนปัจจุบันที่ทางหรือก็มาก ราคาก็แพงด้วยบ้านเต็มไปด้วยผลไม้ นี่ดีนะอาศัยข้าเก่าเต่าเลี้ยงคุณลุงคุณป้าดูแลให้เห็นได้ข่าวว่าซื้อที่เพิ่ม อีกมาก ไม่รู้จะเอาไปให้ใคร เอๆๆๆ...พ่อสงสัยแกจะยกให้เจ้ากานต์มันกระมังเพราะเลี้ยงดูมันมาตั้งแต่ เกิดไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูกน่ะ เจ้ากานต์ก็เรียกพี่แย้มว่าแม่ทุกๆคำ พ่อเองก็ปล่อยแกตามใจเลี้ยงดูจนโตหนุ่ม พอเข้ามหา’ลัยถึงได้กลับไปสวนด้วยลุงป้าเสียนั่นแหละ” “จ๊ะพ่อ แม่เองก็คิดเหมือนพ่อแหละและพี่แย้มแกก็รักเจ้ากานต์มันมากเสียด้วย พ่อแม่ซิก็มีมันเพียงคน เดียวเสียด้วย ส่วนพี่แย้มไม่แต่งงานจึงรักลูกกานต์เหมือนกับลูกตัว ตอนมันกลับจากต่างประเทศสิ่งแรกที่ มันไปพบคือแม่แย้มนี่แหละจ๊ะพ่อ” “นั่นซิแม่ ลูกกานต์เรามีบุญจริงๆนะครอบครองทรัพย์สินจำนวนมาก แต่เราสองก็มาจากดินต่างช่วยเหลือ กันและกันจากยากจนไม่มีอะไรเลย พ่อพี่ทิ้งสมบัติไว้ให้นิดเดียวเราสองก็ช่วยกันมาจนใหญ่โตเป็นที่นับน่าถือตา ของคนทั่วๆไป เงินทองก็มากมาย แถมยังได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของพี่แย้มอีก ใครได้เป็นเมียมันคงจะสบาย นี่เองแหละกระมังที่ เพื่อนของแม่ถึงได้ให้ลูกสาวมาล่อให้เจ้ากานต์หลง แต่พ่อเองรู้นิสัยเจ้ากานต์มันดีว่ามัน ไม่ลืมตัวถือว่าเป็นลูกคนรวยนะ แม่ก็คงจะทราบดีนะ” คุณอัศวฯกล่าว “จ๊ะพ่อแม่เองถึงไม่สนใจหญิงที่เจ้ากานต์มันจะเลือกหรอกจ้า แม่เชื่อใจมัน ถึงคนที่มันเลือกจะยากจนอย่างไร แม่ก็ก็ไม่ถือหรอก แม่ไม่ลืมอดีตหรอกพ่อ” “ใช่จ๊ะพ่อเองก็ไม่ลืมอดีตหรอก เราเคยยากจนมาก่อน สมัยก่อนเพื่อนฝูงพ่อมันไม่ยอมคบกับพ่อหนีไปหมด พอพ่อมาถูกทางเกิดความเห็นใจจากบริษัทต่างประเทศเขา ให้เป็นตัวแทนและตั้งตัวได้ด้วยเราทั้งสองคนนั่น แหละแม่เอ๋ย เพื่อนที่เคยดูถูกพ่อกับหันมาหาพ่อเป็นทิวแถว แต่พ่อก็คบไว้เพื่อการหลอกใช้มันการค้าแหละ จะให้คบเหมือนเดิมคงจะไม่มีอีกแล้ว พ่อเป็นคนไม่ลืมง่ายๆหรอกจ๊ะ” คุณอัศวฯเอ่ยขึ้น “นั่นซิพ่อ ปล่อยให้เขาเลือกของเขาเองแหละดี หากพวกเราเลือกให้หากวันข้างหน้าเกิดเหตุการณ์ไม่ดี มันจะมาถอนหงอกเราได้ จริงไหมพ่อ” คุณหญิงเอ่ยกึ่งถาม “เหมือนพ่อเปี๊ยบเลยล่ะแม่ พ่อเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน สมัยเรายังหนุ่มสาวจะแต่งงานกันคุณพ่อคุณแม่ ทั้งสองฝ่ายก็ให้เราเลือกกันเอาเอง เพียงแค่ว่าคิดดีแล้วหรือแน่ใจแล้วหรือว่าเมื่อแต่งงานแล้วจะสัญญาได้ไหม ว่าจะอยู่จนแก่เฒ่าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ ความรักไม่ใช่ความใคร่นะลูก ความรักต้องเกิดจากความเข้าใจเห็นใจ รู้ใจให้เกียรติกันและตลอดช่วยเหลือกันและกันหากเพลี่ยงพล้ำก็อย่าได้ดูถูกกันและกัน จงหันหาเข้าหากัน ค่อยๆปรึกษากันหาทางแก้ไข ชีวิตคนเราทุกๆคนย่อมไม่ตกต่ำตลอดไปหรอกต้องมีจังหวะหนึ่งที่เป็น โอกาสทอง เมื่อถึงครานั้นอย่าปล่อยให้รีบไขว่คว้าเอาไว้แล้วจะดีขึ้นเอง พ่อยังจำคำคุณพ่อคุณแม่ได้ซึ้งถึง ทุกวันนี้เลยล่ะแม่” คุณอัศวฯกล่าวขึ้น “จ๊ะพ่อ แม่ก็ได้รับการสั่งสอนอบรมมาคล้ายๆกับพ่อนั่นแหละ เราถึงได้อ้าปากลืมตาได้ทุกวันนี้ เราถึง ไม่ลืมตัวเราเอง พ่อกับแม่ไม่เคยดูถูกใครมีแต่คอยช่วยเหลือคนที่มีความตั้งใจจริงต่อสู้กับชีวิตจ๊ะพ่อ” แล้วคุณอัศวฯก็ลุกจากเก้าอี้มาที่ยังตั่งแล้วสวมกอดคุณหญิงพลางหอมแก้มทั้งสองคุณหญิง ทันใดนั้นก็ต้อง สะดุ้งสุดตัวรีบแยกจากกันทันที เมื่อได้ยินเสียงกระแอมกระไอดังขึ้นหน้าประตู.......... * แก้วประเสริฐ. *
6 เมษายน 2553 20:09 น. - comment id 116299
สวัสดีค่ะคุณชาย...... แถมของหวานเล็กน้อยๆตอนท้ายด้วยนะคะ เคารพค่ะ
8 เมษายน 2553 11:04 น. - comment id 116326
คุณ ทางแสงดาว สวัสดีครับคุณหญิง ระยะนี้อารมณ์ผมไม่มี หงุดหงิดอย่างไรชอบกล ผมชอบชื่อคุณมากไว้ วันหนึ่งหากมีอารมณ์ จะเขียน กลอน ใช้ชื่อคุณ ไว้ตั้งใจเหมือนกัน ส่วนเรื่องเขียนหากไม่รับ ปากใครจำไม่ได้แล้วก็คงจะไม่เขียนอีกครับแต่ ผมเป็นคนรักสัจจะ หากพูดว่าจะทำก็ต้องทำครับ รักคุณหญิงเสมอ แก้วประเสริฐ.