ลุ่มลึกอิสราวดี 23 “ โอ้ๆๆ....โอ้ๆ...ท่านมหาอุปราชใช่ไหมพระเจ้าค่ะ” เสียงชายชรากล่าวพร้อมย่อร่างลงนั่งพับเพียบพนมมือทันที ด้วยสีหน้าแสดงความดีใจ “ท่านผู้เฒ่ากล่าวอะไรหรือ?????....ท่านผู้เฒ่าจำผิดหรือเปล่า” ชายหนุ่มขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยในอากัปกิริยาของผู้ชราที่ เขาคิดว่า คงจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ทำให้นึกคิดถึงเหตุการณ์ที่ริมแม่น้ำอิรวดีขึ้นมาทันใด น่าจะมีการเข้าใจผิดแน่นอนด้วยเราไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับบุคคลพวกนี้เลยนี่นา ชายหนุ่มรำพึง ครั้นชายชราได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ พลางเงยหน้าขึ้นพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่ผิดหรอกพระพุทธเจ้าข้า ข้าอยู่กับท่านมาตั้งแต่ท่านยังเล็กนักและเลี้ยงดูแลท่านมา พระเจ้าข้า” ชายชราย้ำอีกครั้ง ทันใดนั้นชายหนุ่มได้ยินเสียงกระซิบของแม่นางพรายข้างหูว่า “ไม่ผิดหรอกก่อนนั้นพี่ ท่านเคยดำรงมหาอุปราชมาก่อนจ๊ะ แต่ทว่าท่านพี่???.....” “อะไรหรือแม่นาง เราเองเกิดคนละยุคกับปัจจุบันนี้นะ “ชายหนุ่มยิ่งกล่าวยิ่งงุนงงมากขึ้น “ถูกแล้วท่านพี่ก่อนนั้นท่านดำรงในตำแหน่งมหาอุปราชแห่งนครนี้มาก่อน แม้นว่าปัจจุบัน เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปจ๊ะท่านพี่” นางพรายทั้งสองกล่าวพร้อมๆกัน “เอาอะไรมาพูดจ๊ะแม่นาง ในเมื่อเราก็รู้ตัวอยู่มิได้ฟั่นเฟือนไปนี่นา” “ท่านพี่ลองนึกซิ เมื่อก่อนนั้นกับตอนนี้ทำไมถึงได้แตกต่างกันล่ะท่านพี่” นางพรายย้ำอีก คราวนี้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ จริงซินะก่อนนั้นกับปัจจุบันนี้มันแตกต่างไปหมดอะไรๆก็ดูไม่ เหมือนอดีตที่เราเคยอยู่เลย เอาล่ะไหนๆก็ไหนๆ” สุภาษิตว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม” หากเราจะอธิบายอย่างไร ก็คงจะไม่มีใครยอมรับฟังเราหรอก จึงได้เปลี่ยนท่าทีตามสภาพการ นั้นๆ จึงย่อร่างลงก้มพยุงร่างชายชราให้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวขึ้น “ในเมื่อท่านผู้เฒ่าว่าเราเป็นท่านมหาอุปราช ไหนๆลองเล่าให้เราฟังซิเราหลงๆลืมๆไปหมด สิ้นแล้ว ว่าตัวเราเคยเป็นอะไรมาก่อน” ชายหนุ่มกล่าว “ได้พระเจ้าข้า ขณะที่เราสองกำลังฝึกอาวุธกันอยู่ภายในอุทยานสวนกันอยู่นั้น ภายหลัง การฝึกเสร็จสิ้นลง พระองค์ขณะที่เป็นวัยหนุ่มหมาดๆอยู่ชวนข้าเล่นซ่อนหากัน ข้าฯเองไม่ อาจจะทัดทานแต่ประการใดไม่ แล้วพระองค์ก็ไปแอบซ่อน ข้าฯเองค้นหาเท่าไหร่ไม่เจอจวบ จน พระบิดาของพระองค์เมื่อทราบเหตุด้วยทรงมีพระโอรสเพียงพระองค์เดียวกริ้วข้าฯยิ่งนัก แต่ด้วยความภักดีที่ข้ามีต่อราชสำนักและเคยช่วยเหลือพระบิดาพระองค์มา จึงงดเว้นโทษประหาร แต่ได้มาสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นมากักขังห้ามข้าฯออกจากปราสาทนอกเขตกำแพงเสียจนกว่า พระองค์จะเสด็จมาถึงจะอนุญาตให้ ข้าพระพุทธเจ้าพ้นผิดพระเจ้าข้า” ชายชรากล่าวด้วยสีหน้า รัดทดยิ่งนัก “อ้าวแล้วเหตุใดปราสาทหลังนี้ถึงได้ทรุดโทรมมากนักล่ะท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าว “เหตุดังนี้ด้วย ภายหลังจากข้ามาถูกกักกันเสียหลายๆปี ทางเมืองได้ถูกข้าศึกเข้าล้อมและ เสียเมืองให้แก่นครที่มารุกราน ครั้นข้าพุทธเจ้าจะออกไปช่วยหรือก็ติดโทษานุโทษด้วยอำนาจ เวทย์มนต์ที่เสด็จพ่อของพระองค์ขีดกำกับไว้ด้วยพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าข้าจะมีวิชาอาคมมากมายก็จริงแต่สู้ฤทธิ์อำนาจของเสด็จพ่อพระองค์ไม่ได้ อีกประการหนึ่งก่อนที่จะมาอยู่ที่นี้ได้ให้สัจจะแก่เสด็จพ่อพระองค์ไว้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแก่เราก็ตามมิให้เราออกจากปราสาทได้จนกว่าพระโอรสเราจะคืนกลับนคร นั่นแหละถึงจะพ้นอำนาจของเรา ข้าฯเองก็ให้สัจจะไว้ แต่ด้วยต่อมาข้าฯได้ฝึกฝนวิชาอาคมจน สามารถพ้นจากอำนาจเวทย์มนต์ของเสด็จพ่อพระองค์ แต่ด้วยมีสัจจะวาจาไว้แล้วจึงต้องทนอยู่มา นานนับนานพระเจ้าข้า” ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมองยิ่งนัก “ต่อมาได้รับทราบว่าเมืองเสด็จพ่อพระองค์ล่มสลายด้วย เสด็จพ่อพระองค์ให้ประชาชนอพยพ ไปหมดสิ้นแล้ว ใช้อำนาจมนตราทำลายเมืองเสียสิ้นแล้วพระองค์ก็ปลงประชนม์ชีพภายในเมือง นั้นนั่นเอง มิให้ข้าศึกกับพวกก่อการร้ายสำเร็จตามที่มั่นมุ่งหมายไว้ ที่ข้าทราบก็ด้วยมีทหารเอกได้มาแจ้งแก่ข้าฯพระพุทธเจ้าข้า” ชายชรากล่าวด้วยหยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาอันแจ่มใส แม้ว่าร่างกายจะเฒ่าชราก็ตามที ชายหนุ่มครั้นได้รับฟังแล้วให้รู้สึกสะท้านใจลึกๆไม่ทราบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไหนๆเมื่อ ยอมรับต่อคำของชายชราแล้วก็เห็นทีจะต้องปล่อยเลยตามเลย “เอาล่ะท่านผู้เฒ่าลุกขึ้นเถอะในเมือเป็นเหตุการณ์เช่นนี้ หมายถึงว่าการเป็นมหาอุปราชได้สิ้น สุดลงเสียแล้ว ท่านเราก็เสมือนบุคคลธรรมดาแล้ว อย่าได้ยึดถือขนบธรรมเนียมไปอีกเลยนะ อ้อๆๆ ท่านมีนามว่าอะไรล่ะ คุยกันมานานยังไม่ทราบชื่อท่านเลย” ชายหนุ่มถามชราชราทันที “ข้าพระพุทธเจ้ามีนามว่า “มังมหาสุรเดชาธิบดี” พระเจ้าข้า “ไหนๆว่าไม่ต้องถือขนบธรรมเนียมกันอีกแล้วให้เรียกชื่อเฉยๆนะ คำ มหาอุปราชก็ยกเลิกไปก่อนจนกว่า เราสองจะหาทางตั้งเมืองขึ้นมาใหม่นั่นแหละ ถึงจะย้อนกลับขนบธรรมเนียมประเพณีอีกครั้ง ส่วนเรานั้น เราเองก็จำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไรไหนๆท่านลองกล่าวให้เราฟังซิ” ชายหนุ่มกล่าวมิได้บอกชื่อจริงในปัจจุบันให้ชายชราทราบ “ในเมื่อพระองค์อนุญาตเช่นนี้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็น้อมรับคำบัญชาพระเจ้าข้า อันนามของพระองค์มีชื่อว่า มังสุรกานต์นรินทร์เดชา” พระเจ้าข้า “มังสุรกานต์นรินทร์เดชา” อือๆๆชื่อนี้คลับคล้ายคลับคลาจริงๆนะ” ทำให้เขานึกถึงความฝันที่ยามก้าวล่วงเข้าแผ่นดินนี้ หญิงสาวในฝันมักเอ่ยนามนี้เสมอๆ แต่เขาไม่สนใจนึกว่าแค่เพียงความฝันเท่านั้น ยามเมื่อชายชรากล่าวเช่นนี้ทำให้นึกขึ้นได้อีก “แต่ชื่อเรากับท่านดูออกจะคล้ายๆกันนะ” ท่านผู้เฒ่า “ เหตุที่เป็นเช่นนี้ ด้วยเรากับเสด็จพ่อท่านเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย อีกอย่างหนึ่งเราก็ไม่ มีครอบครัวไม่มีทายาทสืบทอดสกุลเรา พระองค์จึงให้ชื่อท่านคล้ายๆกับเราเพื่อจะได้สมานน้ำใจ ไมตรีกันไว้ เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ทำให้ข้านึกบางอย่างได้แล้ว สงสัยว่าเสด็จพ่อพระองค์คงจะทราบ เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เกรงเราจะได้รับอันตรายถึงได้กระทำการเช่นนี้ ด้วยพระองค์รู้จิตใจเราดีว่าเป็นคนภักดีต่อเสด็จพ่อพระองค์และรักสัจจะวาจายิ่งกว่าชีวิตนั่นเอง” ชายชรายิ่งกล่าวน้ำตาก็รินหลั่งไหลมาอีกครั้งหนึ่ง พลางยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้เสียงดังลั่น “ในเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเช่นนี้ท่านอย่างได้เสียใจไปอีกเลย พวกเราต่างมาช่วยคิดอ่านกอบกู้ สร้างนครขึ้นใหม่ดีกว่าจะมาเสียอกเสียใจเช่นนี้นะท่านผู้เฒ่า อ้อๆอย่าลืมนะว่าคำราชาศัพท์ต่อไป นี้ห้ามกล่าวโดยเด็ดขาด ให้กล่าวกับเราแบบชาวบ้านธรรมดาก็แล้วกันนะ” ชายหนุ่มกล่าว ดังนั้นชายชราจึงหยุดความเสียใจพลางหันไปถามชายหนุ่มว่า “ขอล่วงเกินแล้ว เหตุใดท่านจึงมาถึงที่นี่ได้ล่ะขอรับ” “เราเองก็ไม่รู้ท่านผู้เฒ่า เพียงแต่ว่ากว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็ผ่านอุปสรรคนานานัปการไม่ถ้วน แต่จะด้วยเป็นบุญของเราจึงได้เดินทางระเหเร่ร่อนมากระมังท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าว ชายชราหันไปมองเจ้าขนทองและดาบตลอดจนเสื้อที่เขาสวมจึงกล่าวว่า ขอรับ????....แต่สงสัยว่าเหตุใดจึงมีเจ้าลิงขนทองที่ไม่ธรรมดา ดาบและเสื้อที่ทำด้วยขนนก อันขนนกที่เป็นสิ่งหายากยิ่งนัก ด้วยเป็นขนของนกวายุภักดิ์ซึ่งมีฤทธิ์เดชมาก มันชอบกินงูและ สิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร ยากนักที่จะรอดพ้นจากจงอยปากและอุ้งเล็บมันได้ อนึ่งเจ้าลิงขาวของเรา มันก็อยู่ยงคงกระพันชาตรีนัก เหตุใดจึงพ่ายแพ้แก่เจ้าลิงของท่านได้ขอรับ” ชายชราถามด้วย ความสงสัย “ ด้วยเจ้าลิงขาวนั้นไม่เคยเกรงกลัวเป็นจ่าฝูงของลิงทั้งหลายและไม่เคยพ่ายแพ้แก่ลิง ใดๆมาก่อน ถึงจะมีลิงที่ยกพวกมาต่อสู้กับมันก็ต้องล้มตายและหนีไปเกือบทุกๆครั้ง” “อ้อๆๆ....อันขนนกข้าฯเองได้ฆ่ามันมันมาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่อาจต่อต้านอาวุธข้าได้ เมื่อมันตายเกือบหมดหนีไปได้เพียงสองสามตัวเท่านั้น ข้าฯเองเสื้อผ้าขาดหมดไม่มีเสื้อใส่จึง ได้นำขนมันมาทำเป็นเสื้อใส่ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเจ้าลิงขนทองนั้นข้าเองช่วยมันที่พวกมัน ต่อสู้กับฝูงลิงขนสีดำมีจำนวนมากได้ล้มตายไป จนเหลือเพียงตัวเดียว ในขณะที่มันเป็นลูกลิงอยู่ ข้าจึงได้ช่วยเหลือมันแล้วจึงได้ฆ่าเจ้าพวกลิงขนดำเสียสิ้น แล้วเลี้ยงดูมันก็มาอยู่เป็นเพื่อนข้าเปรียบดังสหายรักก็ได้ ส่วนแม่นางพรายทั้งสองตอนนี้อาศัยยังฝักดาบและมีดน้อยข้าฯแล้วชายหนุ่มก็เล่าเรื่องทั้งหมด ให้ชายชราฟังตั้งแต่ต้นจนจบ” ชายชรารับฟังแล้วก็ยังอดสงสัยมิได้ จึงกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าลิงขนทองของท่านจึงสามารถสร้างบาดแผลให้กับลิงขนขาวของข้าได้ล่ะด้วยมัน อยู่ยงคงกระพันชาตรี ยากจะหาอาวุธใดๆทำร้ายมันได้ นี่มันเป็นบาดแผลเหวอะหวะไปทั่ว” “ที่เป็นเช่นนี้ ด้วยเจ้าขนทองของข้ามันมีเขี้ยวพิเศษที่เป็นแก้วใสบริสุทธิ์ “ กล่าวพลางก็ เรียกเจ้าขนทองเข้ามา แล้วแหกปากให้ชายชราดูเขี้ยวที่แหลมคมเป็นแก้ว ยามกระทบกับแสง อาทิตย์ก็เป็นประกายแวววาวหลากสี ครั้นชายชราเห็นดังนั้นถึงกับอุทานออกมา ความสงสัยหายไปสิ้นยามแลเห็นเขี้ยวแก้ว ของเจ้าขนทอง “อ้อ...ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง มันเป็นเขี้ยววิเศษสามารถทำลายล้างอาถรรพ์ต่างๆได้ด้วยธรรมชาติ มอบไว้ให้แก่มัน ดีนะที่มันรักพระองค์ อุ๊ย???...ของท่านขอรับและเป็นลิงที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ยิ่งนักและฉลาดด้วยสามารถยอมตายแทนเจ้าของได้ขอรับ” ชายชรากล่าว “ข้าฯขอเชิญท่านเข้าไปข้างในปราสาทหน่อย ด้วยภายในข้าเองได้สะสมสิ่งต่างๆไว้อาจจะเป็น ประโยชน์แก่ท่านในภายภาคหน้าได้ขอรับ” ชายชราเชื้อเชิญพร้อมผายมือให้ชายหนุ่มเดินนำหน้า เมื่อเหตุการณ์ลงเอยด้วยดีต่างเข้าใจกันและกันแล้ว ทั้งสามก็พากันเดินเข้าไปยังปราสาท ชายชราเรียกเจ้าลิงขนขาวเข้ามาและแสดงอาการให้มันรับรู้ว่า เป็นพวกเดียวกัน เจ้าลิงขนขาวหันมา มองชายหนุ่มและเจ้าขนทอง พลางเดินเข้าไปเกาะแขนชายหนุ่มทันที เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงขู่คำรามแยกเขี้ยวทันที ชายหนุ่มก็ส่งเสียงห้ามปราม และส่งสัญญาณให้มันรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน นั่นแหละเจ้าขนทองถึงหยุดการกระทำของมัน ส่วนเจ้าลิงขนขาวก็หันมาทางเจ้าลิงขนทองพลางแสดงอาการอ่อนน้อม ต่อเจ้าขนทอง ตามวิสัยของลิงว่ายอมแพ้แก่เจ้าขนทองด้วยการประจบประแจงเขาคิด ดังนั้นมันทั้งสองต่างก็เข้ากันได้และหยอกล้อตีลังกาเล่นด้วยกัน พร้อมทั้งเจ้าขนขาวก็ส่งเสียงเรียก พวกพ้องมันให้มารู้จักกับเจ้าขนทองทันที บรรดาลิงทั้งหลายต่างก็เข้ามาทำความรู้จักกับเจ้าขนทอง ในไม่ช้านัก ลิงทั้งหมดก็เข้ากันได้และต่างหยอกเย้ากันตามประสามัน แต่เจ้าขนทองก็ยังไม่ยอมผละ จากชายหนุ่ม จนกระทั่งชายหนุ่มส่งสัญญาณให้มันนั่นแหละ มันถึงได้ไปเข้ากับพวกฝูงลิงทั้งหลาย เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนี้แล้ว ก็แจ้งให้ชายชราเดินนำหน้าเพื่อเข้าไปในปราสาททันที ภายในนั้น มีแสงสว่างชัดเจน เนื่องจากประตูหน้าต่างทั้งหมดตรงกันลำแสงสามารถลอดช่องส่งมาถึง ทำให้ภาย ในสว่างไสว ชายชราไปเปิดห้องต่างๆให้ชายหนุ่มมองดู ที่ห้องหนึ่งปรากฏมีทรัพย์สินมากมายนัก หากจะคิดสร้างเมืองย่อมเพียงพอแก่ค่าใช้จ่ายได้อย่างง่ายดาย นับว่าชายชราคนนี้ชาญฉลาด ยิ่งนักคาดการณ์ได้ถูกต้องต่อเหตุการณ์ต่างๆได้เป็นอย่างดี อีกห้องหนึ่งกับสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย มีดาบ ธนูพร้อมลูก หอก ง้าว โล่อีกนาๆนับชนิด วางเรียงรายเหมาะแก่การไขว่คว้า อีกห้องหนึ่งเป็นที่พักผ่อนของชายชราเพื่อใช้ในการฝึกสมาธิ แต่ชายหนุ่มหาได้สนใจทรัพย์สินใดๆไม่และสิ่งอื่นๆ ยังมีห้องว่างอีกสองห้องแต่เป็นที่โล่งเปล่า ไม่มีสิ่งใดๆนอกจากเตียงเปล่าๆเท่านั้น ซึ่งเตียงนั้นกลับทำด้วยหินทั้งสิ้น ครั้นชายหนุ่มตรวจเห็นเสร็จก็คิดจะล่วงหน้าเดินทาง จึงหันไปกล่าวกับชายชราทันทีว่าจะต้อง ออกเดินทางต่อไปแล้ว ครั้นชายชราทราบดังนั้นก็จะขอร่วมเดินทางไปด้วยแต่ชายหนุ่มกล่าวว่า “ข้าฯเองเห็นว่าท่านอยู่ที่นี่ก่อนดีกว่า หากต้องการจะให้ท่านช่วยเหลือจะให้คนมาส่งข่าวให้ ทราบภายหลัง” ชายหนุ่มกล่าว “แต่ทว่าคนที่จะมาส่งข่าว คงไม่อาจจะมาถึงที่นี้ได้หรอกด้วย ข้างหน้านั้นยังมีภัยอันตรายมากนัก ข้าฯคิดว่าให้ท่านนำเจ้าขนขาวไปด้วย หากมีเหตุจำเป็นต้องใช้ข้าก็จะได้ใช้มันมาส่งข่าวด้วยมันชำนาญ ถิ่นบริเวณเท่านี้อย่างดียิ่งและป้องกันตัวมันเองได้” ชายชรากล่าว “อ้อๆๆ....เดี๋ยวท่านรอก่อนนะ” พูดจบชายชราหายเข้าไปข้างในปราสาททันที สักครูหนึ่งก็ออกมา พร้อมด้วยสร้อยที่ห้อยด้วยวงกลมแต่ภายในเป็นรูปดาวห้าแฉกล้อมรอบด้วยเพชรพลอยสีต่างๆแลดูงามนัก “นี่คือดวงตราประจำแผ่นดินแห่งนครเสด็จพ่อของท่าน หากแสดงต่อเมืองที่ยังให้ความเคารพแก่เสด็จ พ่อท่านแล้ว ย่อมจะศิโรราบและสามารถนำหน่วยทหารมาช่วยเหลือในการนี้ได้ ข้าฯคิดว่ามีแต่ท่านเท่านั้น ที่เป็นโอรสองค์เดียวเหมาะแก่ของสิ่งนี้ ขอให้ท่านนำติดตัวไปด้วย อ้อๆ...อีกอย่างนี่คือเสื้อไหมสีทองที่ใช้ สวมใส่สามารถป้องกันอาถรรพ์ใดๆและทำให้อาวุธมิอาจจะต้องกายได้ด้วยรังสีของมันจะปกคลุมร่างกาย ท่านไว้ ขอให้ท่านจงสวมใส่ไว้ชั้นในด้วย” ชายชรากล่าวพร้อมยื่นมอบส่งให้ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มรับมาแล้วเปลื้องเสื้อขนนกออกสวมใส่เสื้อคล้ายๆเสื้อกั๊กแล้วจึงนำเสื้อขนนกสวมอีกชั้นหนึ่ง พลางเก็บสร้อยที่ห้อยด้วยดวงดาวนั้นสวมคอไว้แล้วสอดรูปวงกลมเข้าไปยังในชั้นในของเสื้อกั๊กอีกที ครั้นเรียบร้อยแล้วจึง กล่าวลาชายชราทันที ชายชรากล่าวอวยพรพร้อมหันไปสั่งเจ้าลิงขนขาวให้ติดตาม ชายหนุ่มไปด้วย ลิงขนขาวเหมือนจะรู้เข้าไปกอดชายชราทันทีแล้วค่อยผละมายังชายหนุ่ม กุมมือเจ้าขนทองเพื่อจะออกเดินทางติดตามชายหนุ่มต่อไป เมื่อเหตุการณ์เรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มแล้วยกมือโบกอำลาชายชรา ออกเดินทางพร้อมกับลิงขนทองและขนขาวทันที............... * แก้วประเสริฐ. *
18 กุมภาพันธ์ 2553 15:04 น. - comment id 92453
ติดตามต่อครับครูแก้ว ..
18 กุมภาพันธ์ 2553 16:16 น. - comment id 92455
กระต่ายอยากมีเวทมนตร์อย่างในนิยายบ้างจังจะเสกให้ทุกคนมีแต่ความสุข
18 กุมภาพันธ์ 2553 22:20 น. - comment id 92471
ฮั่นแน่....ติดตามอ่านมาตลอด ไม่คิดเลยว่า พะเอก จะเป็นลูกชายเจ้าเมือง อิอิ ขอบคุณมากนะคะครูแก้ว
19 กุมภาพันธ์ 2553 16:46 น. - comment id 92499
ตีตั๋วอ่านค่ะ...อิอิ
19 กุมภาพันธ์ 2553 17:41 น. - comment id 92502
คุณ โคลอน คุณฝน อิอิ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นคนดูโหรง เหรงคงคิดว่าโม้มากไปไม่สนุกกระมังจ้า แต่ช่าง เถอะในเมื่อผมตั้งใจไว้แล้วต้องเขียนให้จบจึงไม่ คำนึงสิ่งใดๆทั้งสิ้นจ๊ะ มากน้อยไม่สำคัญๆที่ตัวผม เองก็พลอยสนุกเพลิดเพลินไปด้วย เขียนเสร็จ มานั่งอ่านดูก็ยังอดหัวร่อไม่ได้ นี่แหละหนาคน บ้าๆบอๆบ๊องส์เช่นผมดันเขียนมาได้อย่างไรก็งงเหมือน กันครับ อิอิ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
19 กุมภาพันธ์ 2553 10:58 น. - comment id 92655
คุณ กิ่งโศก ครูเองสนุกกับงานเขียนนี่แหละพักผ่อน สมองไปด้วยจ๊ะ รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
19 กุมภาพันธ์ 2553 11:01 น. - comment id 92656
คุณ กระต่ายน้อย ลุงเองก็มั่วๆไปเรื่อยๆแต่เพื่อให้สนุกๆเพื่อ จะให้ลุงสนุกพักสมองด้วยจ๊ะ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
19 กุมภาพันธ์ 2553 11:03 น. - comment id 92657
คุณ แขกประจำบ้านกลอน ผมเขียนให้เป็นไปตามเนื้อเรื่องผสมผสาน ไปเรื่อยครับ ตามลักษณะของเรื่องที่นึกอะไรได้ ก็เขียนไปครับ ด้วยผมไม่อยากให้เขาเดาเรื่อง ที่ผมเขียนได้ครับ และมักจะแหวกแนวเสมอๆ ขอบคุณรักเสมอ แก้วประเสริฐ.