ลุ่มลึกอิสราวดี 20 ทั้งสองต่างหยอกล้อกันเพื่อแก้เหงาและมองดูทัศนียภาพอันสวยสดงดงาม ยิ่งนัก เมื่อบัดนี้ชายหนุ่มหลังจากโกนหนวดเคราแล้ว ใบหน้าเขาผิดแผกกับ ตอนแรก แลดูคมขำสง่างามยิ่งนักยิ่งผมซึ่งเกล้ารัดกับหนังศีรษะปล่อยปลาย ผมไว้ด้านหลัง ประกอบกับร่างที่ปราศจากเสื้อผ้ามีแค่เพียงคันธนูดาบกับกระบอก ที่ใส่ลูกธนูซึ่งมีประกายหลากสีสดใสสวยงามลอดออกมา กับเอ็นที่ห้อยดาบไว้ ที่สะพายแล่งไว้ไหล่ทั้งสองข้างห้อยด้วยกระบอกน้ำและเถาวัลย์ที่คล้องอยู่ ยิ่งทำให้ดุจเหมือนนักรบโบราณ มีดน้อยก็เหน็บไว้ที่ผ้าคาดเอวฝักสอดภายใน กางเกงขาสั้นที่ถูกตัดออก ส่วนเท้านั้นเดินเท้าเปล่า ร่างที่ผึ่งผายของเขาหากหญิงใดพานพบก็จะต้องอดที่จะชำเลืองมองเสียมิได้ แต่ในที่นี้เขามีแค่เพียงเจ้าขนทองและนางพราย หากมาเห็นสภาพนี้ไม่รู้ว่านางจะ กล่าวประการใด ซึ่งเวลานี้นางยังอาศัยอยู่ในฝักดาบและมีดน้อยเท่านั้น เมื่อเดินไปตามทางที่ราดด้วยก้อนหินกรวดเล็กๆน้อยๆใหญ่บ้างเล็กบ้าง จนมาสุดปลายทางเป็น ปากถ้ำใหญ่แต่ถูกปิดไว้ด้วยก้อนหินมากมาย ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลาไปเปิดปากถ้ำ ถึงแม้นว่าจะสงสัยก็ตามทีแต่เขาเพียง แค่มองดูและหาหนทางเดินต่อไป ก็พบเป็นทางเล็กๆที่ทอดเข้าสู่ป่าลึกเป็นทางที่ปกคลุม ด้วยวัชพืชน้อยๆ ส่วนสองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่ส่งกิ่งก้านปกคลุมเห็นเพียงแค่ แสงอาทิตย์ที่เล็ดรอดสอดส่องเท่านั้น นี่ก็ตะวันเกือบจะบ่ายคล้อยแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงจูงเจ้าขนทองเลี่ยงหลบลงข้างทางเดินไปตามทางแคบเล็กๆ จะว่าเล็กก็ไม่เชิงนัก หากคงจะเป็นทางของม้าสวนผ่านไปมาได้เท่านั้นเอง ในระหว่างเดินไปตามทางนั้นได้ยินเสียงนกต่างๆร้องขานรับกันทำให้เขาเกิดอารมณ์ สุนทรีขึ้นมา สายลมที่พัดพาเอาอากาศที่แสนจะสดชื่น ล้วนแล้วแต่ทำให้เขาจิตใจสงบ เยือกเย็นมากทุกๆสิ่งล้วนแล้วแต่บริสุทธิ์ปราศจากมลทินใดๆ ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ ที่ผ่านมาในอดีตเสียมิได้ แต่มิอาจจะกลับไปได้อีกแล้วตั้งแต่เขาค้นหาทางกลับจนป่านนี้ ยังไม่มีวี่แววเอาเสียเลย จำต้องปล่อยให้เป็นไปตามเหตุการณ์นั้น โดยบัดนี้เขาทิ้งอดีตไปเสียแล้ว หากนำมาเปรียบเทียบกันแล้วปัจจุบันนี้ล้วนแล้ว แต่ธรรมชาติที่แสนสะอาดบริสุทธิ์ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบไว้ให้แก่มวลมนุษย์ ที่งดงามดีกว่าในเมืองที่มีความศิวิไลย์เสียอีก ซึ่งอุดมไปด้วยความหลอกลวงร้อยเล่ห์มากนัก คนด้อยปัญญามักจะถูกคนที่มีปัญญามากว่ากดขี่ข่มเหงตลอดเวลา หลากเล่ห์ร้อยแปดพันเก้า ชิงดีชิงเด่นหลงมัวเมาในอำนาจตัวเอง เป็นคนเห็นแก่ตัวไม่มีความเมตตาสงสารคนอื่นๆเลย ส่วนสถานที่นี้กับเพียบพร้อมไปด้วยความสดใสสะอาดบริสุทธิ์นัก ถึงแม้ว่าจะมีการ ฆ่ากันก็เพียงเพื่อเป็นอาหาร เมื่ออิ่มแล้วก็ไม่ทำลายกันอีก ผิดกับในเมืองเสียสิ้นที่มีแต่ความ โลภไม่เพียงพอรู้จักหมดสิ้นไป เขานึกแล้วต้องรีบสะบัดศีรษะเบาๆเพื่อขจัดสิ่งทั้งหลายที่ สอดแทรกเข้ามาให้ละลายไป เสียงสวบๆพุ่งตรงเข้ามาแต่เขาหาได้รู้สึกตัวไม่ด้วยมัวแต่นึก ถึงเรื่องในอดีตไปเสียสิ้น จวบจนได้ยินเสียงร้องของเจ้าขนทองกู่ก้องคำราม นั่นแหละเขาถึงได้รู้สึกตัวหันไปมอง แต่ช้าไปเสียแล้วร่างทะมึนยังกับขุนเขาเล็กๆขนาดย่อมๆพุ่งตรงเข้ามาหาเขาทันที เพียงแค่ ชั่ววูบของสายตา ร่างเขาก็ถูกขวิดกระเด็นลอยสูงไปในอากาศเสียแล้วแต่ด้วยการฝึกฝนมาและ ผ่านการต่อสู้มาแล้วทำให้เขา พลิกร่างในกลางอากาศเอื้อมมือไปคว้ายังกิ่งไม้ แต่ก็ทำให้เขา รู้สึกเจ็บไปแถวชายโครงด้านซ้ายมือ เมื่อเหลือบมองลงไปเห็นเป็นกระทิงเปลี่ยวร่างออกสี น้ำตาลอมดำ เขาของมันสีน้ำตาลยาวแหลม แต่อีกเขาหนึ่งกับรู้สึกว่าสั้นไปกว่าเขาที่ยาว แหลมคมมีขนขึ้นบริเวณรอบๆเขาแหลมของมัน ตัวมันช่างใหญ่โตยิ่งนักผิดกับกระทิงทั่วๆไป เจ้าขนทองพุ่งร่างหลบหลีกการขวิดของกระทิงไปๆมาๆแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังมันทันที แต่เจ้ากระทิงตัวใหญ่หาได้ย่นย่อไม่ มันสะบัดร่างเจ้าขนทองจนกระเด็นเข้าพงหญ้าไปทันที แล้วพลันหมุนตัวมันพุ่งก้มหัวมันเสียงดังฟืดๆๆดังลั่นจากปลายจมูก มันก้มหัววิ่งตรงไปยังร่าง ของเจ้าขนทอง ถึงแม้ว่าร่างมันจะใหญ่โตนักแต่ความรวดเร็วหาได้ลดหย่อนตามลำตัวมันไม่ เจ้าขนทองกลิ้งตัวกระโดดคว้ากิ่งไม้หลบหลีกทันทีพร้อมร้องเสียงขู่ก้องคำราม กระโดดไปๆมาๆเพื่อจะหาทางที่จะไปต่อสู้กับมันอีก เจ้ากระทิงก็สะบัดหัวมันไปๆมาๆรี่เข้าใส่ยัง ร่างเจ้าขนทองอีกครั้งหนึ่ง เจ้าขนทองรีบกระโดดหลบไปทางด้านขวามือคว้าเถาวัลย์แกว่งตัว มันไปมาแล้วดึงหางเจ้ากระทิงพร้อมทิ้งตัวลงบนหลังแล้วแยกเขี้ยวกัดบนหลังกระทิงทันที คมของเขี้ยวแก้วฝังลึก มันกระชากจนเกิดแผลเหวอะหวะหลายแห่งเลือดไหลหลั่งมากมาย ยิ่งทำให้เจ้ากระทิงเกิดอารมณ์บ้าระห่ำ มันขวิดต้นไม้ที่ขวางหน้าแตกกระจาย แล้วเอาร่างมันถูเข้ากับต้นไม้ใหญ่ เจ้าขนทองจำเป็นต้องกระโดดขึ้นต้นไม้ทันที ชายหนุ่มไต่ไปตามก้านกิ่งไม้แล้วค่อยๆไต่ลงมา เขากุมมือไปยังชายโครงซ้ายที่ออกบวมๆแต่ ไม่มีเลือดสักหยดเดียวทั้งๆที่ถูกเขาอันแหลมคมขวิดเต็มที่หรือว่าร่างเขาจะคงกระพันชาตรีไปเสียแล้ว หรือว่าฟลุ๊ค แต่มันไม่น่าเป็นไปได้นี่นาเขาคิด แล้วพลางปลดคันธนูพร้อมหยิบลูกธนูที่มีแสงประกาย แวววาวสดใสออกมาทันที ครั้นชายหนุ่มลงมาจากต้นไม้ได้ก็ส่งเสียงเรียกทันทีเมื่อเขาพร้อมแล้ว เจ้ากระทิงครั้นได้ยินเสียงพลางหันขวับมาทางเขา แล้วตระกรุยขาหน้าจนเศษดินกระเด็นไป ข้างหลังเป็นหย่อมๆแล้วก้มหัวมันพุ่งมาหาเขาทันที ชายหนุ่มออกมายืนจังก้าพลางน้าวสายธนูที่มีลูกธนูถึงสามดอกทันที พร้อมคอยรอจังหวะมัน รอจนเข้ากระทิงพุ่งเข้ามาในระยะของธนูแล้วเขาก็ปล่อยสายธนู เสียงดังหวีดหวิวๆๆลูกธนูพุ่งเข้าสู่เป้า ทันที ด้วยตัวมันใหญ่ดวงตาโปนโตของมันที่จ้องมาทางเขาลูกธนูสองดอกเข้าสู่ดวงตามันทันที อีกลูก หนึ่งเข้าเสียบยังแสกหน้ามันช่วงต่ำกว่าเขาเพียงเล็กน้อย ด้วยแรงพุ่งทะยานมาความรวดเร็วหาได้ หยุดร่างของมันไม่ ชายหนุ่มรีบกระโจนหนีบังต้นไม้ใหญ่ทันที ร่างเจ้ากระทิงพุ่งเฉียดร่างเขาไปนิด เดียว ร่างมันเลยพุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักกระแทกจนต้นไม้นั้นหักสะบั้นลง ทันที มันยืนอยู่สักครู่หนึ่งขาหน้าค่อยๆทรุดลงและนอนหมอบลงตรงนั้น ชายหนุ่มคิดมันคงจะสิ้นชีวิตเสียแล้วกระมัง แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ตัวมันนักเพียงรอ คอยสักพัก เข้าขนทองกระโดดเข้ามาเกาะแขนเขาทันที ชายหนุ่มรู้สึกปวดชายโครงซ้ายถึงกับทรุดร่างลง นั่งทันทีพลางมองดูเห็นเป็นรอยเขียวช้ำๆปูดออกมา พลางเอามือขยี้รอยปูดที่เขียวเขาต้องร้องออกมากด้วย ความเจ็บปวด เจ้าลิงขนทองเห็นเช่นนั้นมันพลางตีลังกาแล้วกระโจนหายไปในพงไม้ทันที เขามองดูรอย ช้ำเป็นปืดๆใหญ่ๆตามลักษณะปลายเขาของมัน ค่อยๆขยี้ใบหน้าแหย่เกด้วยความเจ็บปวด อาการปวดเริ่มจะ รุนแรงยิ่งขึ้นเพราะความช้ำของเนื้อ เขาถึงกับค่อยๆเขยิบร่างเข้าพิงกับต้นไม้ใหญ่ไม่สนใจร่างของเจ้ากระทิง เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆเจ้าลิงขนทองก็กลับมาพร้อมกับใบไม้ลักษณะแปลกๆมีขนตามใบด้วย เมื่อมัน มาถึงก็เคี้ยวใบไม้ที่มีขนนั้นทันทีแล้ว นำมาส่งมอบให้เขา ด้วยความที่เคยชินและอยู่ด้วยกันมานานทำให้เขา ล่วงรู้ถึงการกระทำของมันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จึงได้นำมาพอกยังที่มีรอยช้ำเขียวๆทันที พอใบไม้ที่ถูกเคี้ยว แหลกโดยเจ้าขนทองกระทบกับผิวหนังเขา ความเย็นได้แผ่ซ่านออกมาทันทีมันดูดตุบๆอาการปวดค่อยๆเริ่มทุเลา จน เวลาผ่านไปสักอึดใจเดียว อาการปวดดังกล่าวก็หายไปยังกับปลิดทิ้งพร้อมอาการบวมก็ยุบทุกเลาขึ้น แทบเป็นปกติ เขานั่งคอยสักพักจนแน่แก่ใจแล้วว่าเป็นปกติดีจึงได้กล่าวขอบใจเจ้าขนทองแล้วดึงร่างมัน เข้ามากอดแล้วจูบไปที่หัวมันเพื่อแสดงถึงความขอบใจ เจ้าขนทองเงยหน้าขึ้นแยกเขี้ยวเหมือนรับรู้อาการที่ เขาแสดงต่อมัน เขาเดินไปยังร่างเจ้ากระทิงร่างยักษ์ทันทีเห็นมันนอนหงายข้างๆตั้งแต่ไม่ใดไม่ทราบได้ เขาจึงดึงลูกธนูสามดอกออกจากร่างมัน แปลกเขาคิดธนูที่มีประกายหาได้มีเลือดของเจ้ากระทิงติดสักหยด เดียว ทั้งๆที่บริเวณนั้นนองเต็มไปด้วยเลือดเจ้ากระทิง หากเป็นเมื่อก่อนนี้เขาก็คงจะเอาเนื้อมันมาทำอาหาร กิน แต่บัดนี้เขาได้ละเว้นเสื้อสัตว์ไปตั้งนานแล้วจึงไม่คิดจะกินเนื้อมันอีกต่อไป แต่หนังมันคงจะเป็นประโยชน์ แก่เขาบ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงได้จัดการลอกหนังมันพร้อมเดินไปค้นหาลำธารน้ำเพื่อชำระล้างเลือดของมัน ซึ่งเขาคิดว่าคงไม่ไกลนักด้วย ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลเบาๆจึงเดินค้นหาก็ปรากฏเห็น มีสายน้ำลำธารที่แยกจากน้ำตกมา หากไม่พบก็เห็นทีจะต้องโยนหนังกระทิงนี้ไปเสียด้วยเกรงจะเน่า ครั้นเดินไปสักหน่อยก็เห็นสายลำธารเล็กๆที่แยกมาจากน้ำตกจึงได้จัดการชำระล้างหนังกระทิงที่มีขนสี น้ำตาลปนดำ จนสะอาดแล้วนำขมิ้นในย่ามที่รู้สึกว่าจะแห้งไปบ้างออกมาทุบด้วยก้อนหินแล้วทาไปทั่วผืนหนัง ด้านใน นำไปตากแดดที่มีแสงแดงแรงจ้านั้น แล้วมานั่งทานอาหารผลไม้กับเจ้าขนทองเพื่อรอเวลาให้หนังแห้ง ก็จะได้ออกเดินทาง ฉับพลันเขาได้ยินเสียงสัตว์นาๆชนิดกำลังกัดกันที่ยังร่างเจ้ากระทิงยักษ์เขาหันไปมองดูในระยะห่างนัก เป็นพวกฝูงหมาป่ากำลังเห่ากรรโชกไล่งับเจ้าเสือลายพาดกลอนประมาณสองสามตัวที่กำลังกัด กินร่างเจ้ากระทิงยักษ์อยู่ ส่วนพวกหมาป่าเพียงแค่เห่าไล่ แต่เจ้าเสือลายพาดกลอนหาได้เกรงกลัวมันไม่ บางตัว คิดว่าคงรำคาญ มันก็กระโจนเข้าใส่พวกฝูงหมาป่าราวประมาณสักสิบกว่าตัวที่ต่างแยกย้ายกันออกไป ทำให้ พวกหมาป่าวิ่งหนีทันที แล้วมันก็หันกลับมากินเนื้อต่อไป เขาคิดทันทีว่า หากเขาได้เจอกับพวกหมาป่าซึ่งตัวมันไม่เล็กเอาเสียเลยเขาจะทำอย่างไรดี ด้วยกิติศัพท์ว่า สัตว์พวกนี้จะมากันและเข้าทำร้ายศัตรูมันเป็นพวกๆคราวละหลายๆตัว เห็นทีคงจะต้องเหนื่อยแรงอีก หากเขา กำลังเจ็บช้ำอยู่นี้ไม่แน่ว่าจะสู้มันได้อีก แต่สัญชาติสัตว์ป่าหากอิ่มหน่ำแล้วมันจะไม่ยุ่งเกี่ยวนอกจากมันจะหิว เท่านั้นเองถึงจะออกหากินล่าเหยื่อต่อไป เขารู้มาจากหนังสือที่เคยอ่านมาและเขาชอบอ่านด้วยเกี่ยวกับชีวประวัติ ของสัตว์ป่าทั้งหลายสมัยยังร่ำเรียนหนังสืออยู่ แต่นี่เขาต้องมาประสบกับความจริงเสียแล้วโดยที่เขาคิดไม่ถึง จนเมื่อถึงเวลาคิดว่าหนังกระทิงคงจะแห้งแล้ว ด้วยตะวันเริ่มจะคล้อยลงมากๆอากาศเริ่มจะสลัวๆจึงเดิน ไปเก็บหนังกระทิงมาม้วนห่อไว้ด้วยเอ็น ด้วยอากาศบริเวณแถวนี้ร้อนมากๆ อาศัยเขาอยู่ภายใต้ร่มบังของเขา และมวลแมกไม้จึงทำให้อากาศค่อนข้างจะเย็นบ้าง ครั้นเตรียมตัวเสร็จแล้วเห็นว่าจะออกเดินทางต่อไปไม่ได้ จึงเที่ยวค้นหาสถานที่เพื่อใช้ในการพักผ่อน ดังนั้นจึงปีนขึ้นไปยังไหล่เขาอีกครั้งหนึ่งเพื่อค้นหาถ้ำหรือโพรงหิน ตามบริเวณ ข้างๆภูเขาที่ราดทางเดิน ที่พอจะอาศัยได้เพื่อหลุดพ้นจากสัตว์ออกหากินในกลางคืน ด้วยเขาไม่ต้องการที่จะฆ่าพวกมันอีกแต่ค้นหาเท่าไร ก็ไม่พบ จึงย้อนกลับลงมาอีกครั้งเพื่อมองหาต้นไม้ใหญ่ที่พอจะอาศัยคาคบไม้ได้ในที่สุดเมื่อเดินลึกเข้าไปอีกไม่ เท่าใดนักก็เจอต้นไม้ใหญ่สูงมีคาคบกว้างใหญ่พอที่จะให้พวกเขาอาศัยได้ จึงได้ให้เจ้าขนทองจัดการเหมือนเก่า แล้วรีบปีนขึ้นไป ก็พอดีอากาศมืดมิดพอดีพอลงพักผ่อนได้สักพัก ร่างนางพรายทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้นพลาง ถามว่า “พี่ท่านอาการเป็นอย่างไรบ้าง น้องเองรู้แต่มิอาจจะช่วยเหลือได้อย่างไร พอจะกระซิบบอกมันก็มาถึงตัว ของพี่แล้ว” นางพรายเขียวกล่าว “พี่ไม่เป็นอะไรหรอกจ้าน้องนาง เจ้าขนทองได้ไปหาใบยามาสมานพอกให้แล้วตอนนี้เกือบจะหายดีแล้วจ๊ะ” “แต่คืนนี้ให้พี่ระวังตัวไว้ด้วยนะ ด้วยจะมีสิ่งลี้ลับซึ่งน้องเองไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ ด้วยมันแก่กล้า ไสย์เวทย์มากจ๊ะ” ชายหนุ่มถาม “น้องเองก็บอกไม่ได้จ้า ด้วยมองเห็นเพียงแค่เลือนรางไม่ชัดเจนเท่านั้นเอง” นางพรายแดงตอบ “จ๊ะแล้วพี่จะคอยระมัดระวังตัว ขอให้น้องแจ้งพี่โดยเร็วหากพี่ผล๊อยหลับไปนะจ๊ะ” “จ้าๆ...น้องจะคอยเฝ้าดูแลทั้งคืนแหละ ขอให้ท่านพี่นอนพักผ่อนเอาแรงเถอะ” “งั้นพี่ก็จะขอพักผ่อนล่ะจ๊ะ” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมทั้งล้มตัวลงนอนแต่คำพูดของแม่นางพรายสาวแสนสวย หาได้ทำให้เขาหลับลงไปไม่กลับคิดมาก ยิ่งขึ้นว่าจะหาทางป้องกันตัวได้อย่างไรดี จนเวลาผ่านไปๆชายหนุ่มก็เคลิ้มหลับไป กระทั่งเขาได้ยินเสียงกระซิบข้างหูเขาและนางเขย่าตัวพร้อมๆกัน จึงรีบสะบัดใบหน้านั่งขึ้นทันที หันไป มองเจ้าขนทองเห็นมันตื่นขึ้นก่อนแล้วตามวิสัยสัตว์ที่ว่องไวต่อภัยทั้งหลาย แสงจันทร์ทอกระจ่างเต็มดวงสาดส่องไปทั่งพื้นบริเวณของพื้นดิน ที่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นห่างๆกัน กับต้นหญ้าน้อยใหญ่เป็นแสงสว่างที่มองแลเห็นพื้นที่แถวบริเวณนั้น เสียงร้องโฮกๆปี๊ปๆๆๆ ดังแว่วใกล้เข้ามา สิ่งที่เขาเห็นมันเป็นร่างของเสือโคร่งขนาดใหญ่ประมาณสูงกว่าม้าที่เขาเห็นตอนต้นเสียอีก มันเดิน ย่างสามขุม ขู่คำรามลั่นร่างมันแลเห็นสีเหลืองคาดดำเด่นตานัก หากกะความสูงมันเกือบจะถึงคาคบที่เขา อาศัยอยู่ได้ไม่มากมายนัก เมื่อมาถึงมันเดินวนเวียนไปๆมาๆรอบๆโคนต้นไม้แล้วแหงนหน้ามันขึ้นมอง แปลกปกติแล้วนัยน์ตาสัตว์ที่กินเนื้อจะมักออกสีเขียวๆ ส่วนสัตว์ที่ไม่กินเนื้อมักจะออกสีแดงเรื่อๆ แต่ตา มันกับดวงโตเกือบเท่าชามใบหย่อมๆหาเป็นสีเขียวปัด มองดูกลับคล้ายๆแววตาของคนทั่วๆไปผิดกับสัตว์ ทั้งหลาย แปลกๆเขาคิดหรือว่ามันจะไม่ใช่สัตว์ธรรมดา พอมันแน่แก่ใจแล้วพลางกระโจนขึ้น มายังคาคบที่เขาอาศัยทันที ชายหนุ่มล้วงก้อนเลือดของงูยักษ์ที่ได้แปรสภาพกลายเป็นหินสีแดงออกมาแล้วก็ ขว้างไปยังร่างของเสือร้ายที่สูงใหญ่ที่แลเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้แสงของพระจันทร์........... * แก้วประเสริฐ. *
16 กุมภาพันธ์ 2553 13:49 น. - comment id 76798
นึกถึง เจ้าแงซาย เลยครับครู...ท่ายิงธนู นี่
16 กุมภาพันธ์ 2553 14:40 น. - comment id 76833
คุณ โคลอน ผมตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเพื่อความเพลิดเพลิน ใจผมเองเท่านั้นครับ มิได้มุ่งหวังอะไรๆทั้งสิ้นครับ คุณฝนสนุกสนานผมก็ดีใจด้วยครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
16 กุมภาพันธ์ 2553 14:50 น. - comment id 79109
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รัก เรื่องเพชรพระอุมา นั้นครูอ่าน ไม่หมดหรอกด้วยไม่มีให้อ่าน ยืมเพื่อนอ่านบ้าง เป็นบางเล่มเท่านั้น แต่เรื่องนี้ครูใช้ประกอบเพื่อ ให้สอดคล้องกับกองทัพที่ชายหนุ่มพบที่ริมน้ำก่อน ที่จะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง ครู มานึกว่าหากการต่อสู้ระยะใกล้ๆนั้น กับระยะไกล หากพระเอกเราจำเป็นใช้ ก็เลยนึกได้ถึงกองทัพ ที่ยกมาตามหา ย่อมมีธนูพกติดมาด้วยนะ ก็เท่านั้นเอง นอกนั้นครูแต่งขึ้นทั้งสิ้นแหละ อีกอย่างหนึ่งครูไม่ค่อยชอบเลียนแบบใครเขา จึงพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่เคยอ่านมา ด้วยการ คิดเองจ๊ะ รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
16 กุมภาพันธ์ 2553 14:45 น. - comment id 79348
คุณ แขกประจำบ้านกลอน ขอบคุณที่แวะมาอ่านเสมอๆครับ มันเป็นแค่ เพียงจินตนาการที่สร้างอารมณ์สนุกเพลิดเพลิน ให้แก่ผมครับขอบคุณรักเสมอ แก้วประเสริฐ.
16 กุมภาพันธ์ 2553 18:33 น. - comment id 79471
จินตนาการของคุณลุงแก้ว สนุกตื่นเต้นทุกตอน หาถ้ำก็ไม่เจอแถมเจอะนางพราย โห....แถมของก็แปรสภาพได้อีก ยิ่งอ่านยิ่งสนุก อ่านไปตาโตไปค่ะ% รักและเคารพคุณลุงแก้วเสมอ 36%
17 กุมภาพันธ์ 2553 11:13 น. - comment id 79889
คุณ กระต่ายน้อยฯ ลุงเองเขียนไปเรื่อยๆเพื่อความสนุกเท่านั้น มิได้คิดอะไรมากนักหรอกจ้า ด้วยเบื่อๆเล่นกลอน ก็เปลี่ยนมาแนวนี้แหละ รักหลานเราเสมอ แก้วประเสริฐ.
15 กุมภาพันธ์ 2553 16:47 น. - comment id 114846
โห นึกภาพตามเป็นช๊อตๆไปเลยค่ะ ฉากสู้กับกระทิง ถ้าได้โลดแล่นบนแผ่นฟิล์มคงเป็นอีกหนึ่งการต่อสู้ที่ดุเดือด พอๆกับที่ฝูงลิงสู้กันในแากแรกๆนะคะ
15 กุมภาพันธ์ 2553 22:15 น. - comment id 115093
คิดเห็นภาพตามไปด้วยคะ ขอบคุณมากนะคะครูแก้ว