วันโลกาวินาศ....
คีตากะ
บ้านของท่านอินทร์เป็นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งหลัง หลังคามุงด้วยหญ้าคา บ้านของท่านอยู่ลึกเข้าไปจนถึงท้ายทุ่ง บริเวณแถวนั้นล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่และท้องทุ่งนาเรียงรายจนมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา การที่บ้านของท่านอินทร์อยู่กระเด็นห่างออกมาจากหมู่บ้าน ทำให้บ้านของท่านเสมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก บ้านของท่านเป็นเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา หน้าบ้านมีบ่อน้ำเล็กๆซึ่งมีดอกบัวสีชมพูบานสะพรั่ง ข้าพเจ้าจำได้ว่าสมัยตอนที่ยังเป็นเด็กอายุซักประมาณ ๑๐ ขวบเห็นจะได้ เคยติดตามยายไปเยี่ยมท่านอินทร์และครอบครัวครั้งหนึ่งและข้าพเจ้าเคยเผลอตกลงไปในสระบัวของท่าน ดีที่ข้าพเจ้าเกิดในชนบทซึ่งเต็มไปด้วยคลองคูมากมาย เคยจมน้ำมาบ่อยครั้งจนสามารถว่ายน้ำได้สบายไม่ว่าน้ำนั้นจะลึกหรือไหลเชี่ยวขนาดไหน ยังจำได้ว่าชีวิตในวัยเด็กมักชวนเพื่อนๆไปเล่นน้ำในคลองกันแทบทุกวันตอนเย็นๆ แต่ถ้าวันไหนที่เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์พวกเด็กๆอย่างเราก็มักจะเล่นน้ำดำผุดดำว่ายกันทั้งวัน จนมืดค่ำ
หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านหนองม่วง อาชีพส่วนใหญ่ทำนาและเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยท้องทุ่ง มีต้นตาลยืนเรียงรายสลอน มีคลองส่งน้ำของกรมชลประทานตัดผ่านมาถึงหมู่บ้านของเราเป็นแห่งสุดท้าย ชาวบ้านแถวนี้ส่วนใหญ่ยากจน สมัยตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กยังไม่มีไฟฟ้าใช้ พอโตขึ้นมาหน่อยจึงเริ่มมี แต่สมัยนั้นอุปกรณ์ไฟฟ้าเริ่มมีทีวีซึ่งยังเป็นเพียงทีวีขาวดำ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เจริญกว่าเก่าเยอะ ภายหลังจากที่ยายเสีย ข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมท่านอินทร์อีกเลย ท่านอินทร์เป็นชาวนาที่ค่อนข้างยากจนคนหนึ่ง ท่านมีภรรยาคนหนึ่งและลูกสาวอีกคนหนึ่ง ถึงท่านจะไม่มีตำแหน่งที่สำคัญอะไรภายในหมู่บ้าน แต่ท่านก็เป็นที่เคารพของชาวบ้านแถวนี้มานาน ใครมีปัญหาเรื่องใดก็มักจะเดินทางไปหาท่านให้ช่วยเหลือหรือขอคำแนะนำจากท่าน ท่านได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ท่านมีเมตตาและมักช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากเสมอๆ ตามกำลังที่ท่านจะสามารถช่วยได้ ท่านจึงมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ท่านไม่เคยรับตำแหน่งใดๆ และเงินบริจาคใดๆจากใคร แม้ชาวบ้านจะอยากให้ท่านเป็นผู้นำหรือผู้ใหญ่บ้าน หลายต่อหลายครั้งแต่ท่านมักปฏิเสธไม่ยอมลงสมัคร ท่านชอบที่อยู่แบบสันโดษและมีความสุขกับครอบครัวของท่านมากกว่า ชาวบ้านทั้งในตำบลและตำบลอื่นๆ มักจะเชิญท่านไปร่วมงานต่างๆ อยู่เสมอๆ และก็มักให้ท่านพูดปราศรัยในเรื่องต่างๆให้ฟัง ท่านจึงเป็นที่รักของชาวบ้านทั่วไป
ข้าพเจ้าหาโอกาสมานานที่อยากจะสนทนากับท่านอินทร์เป็นการส่วนตัว และไม่เคยหาโอกาสได้สักที จนเมื่อครั้งหนึ่งข้าพเจ้าตกงานและกลับมาอยู่บ้านที่ชนบทแห่งนี้ ความใฝ่ฝันของข้าพเจ้าจึงเป็นจริง ในสมัยก่อนการเดินทางไปบ้านของท่านอินทร์นั้นค่อนข้างลำบาก จำได้ว่าสมัยที่ยายยังมีชีวิตอยู่ ยายต้องลุกตื่นแต่เช้า เตรียมกับข้าวและของฝากเพื่อไปเยี่ยมเยือนท่านอินทร์ ยายเดินเท้าตามถนนซึ่งตัดผ่านทุ่ง ก่อนที่จะลงเดินลัดเลาะตามคันนาไปอีกไกลโข ใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งวันกว่าจะถึงบ้านของท่าน ข้าพเจ้าเดินตามหลังยายผ่านคูคลองและผืนนามากมาย ก่อนที่จะถึงบ้านของท่านยังต้องเดินลัดป่าทึบเข้าไปอีกลึกทีเดียว ป่าทึบส่วนนี้เคยเป็นป่าช้าเก่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมไม่มีใครกล้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่แถวนี้ยกเว้นท่านอินทร์ครอบครัวเดียว แต่สมัยนี้มีถนนหนทางดีขึ้น และก็เริ่มมีบ้านสองสามหลังเข้ามาปลูกอยู่ตรงชายป่าบ้างแล้ว และป่าที่เคยทึบก็เริ่มเบาบางลง กลายเป็นทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ สมัยก่อนบ้านท่านอินทร์ไม่มีไฟฟ้าใช้และครอบครัวของท่านเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่เพิ่งมีไฟฟ้าใช้ได้ไม่นานมานี้ เพราะทางการไฟฟ้าบอกว่ามีบ้านของท่านเพียงหลังเดียวที่อยู่ปลายสุดของถนนจึงไม่ลงทุนซื้อเสาไฟฟ้าให้ พวกเขาบอกว่าท่านอินทร์จำเป็นต้องลงทุนซื้อเสาไฟฟ้าเอง ซึ่งต้องใช้เสานับกว่า ๑๐ ต้นเรียงรายกันไป แน่นอนด้วยฐานะที่ยากจนของท่านอินทร์ ท่านจึงไม่มีเงินลงทุนและต้องอยู่ในความมืดมายาวนาน แม้ปัจจุบันเสาไฟฟ้าบริเวณทางเข้าบ้านท่านอินทร์จะมียืนเรียงรายให้เห็น พาดด้วยสายไฟระโยงระยาง แต่มันก็เป็นเพียงเสาที่ทำจากไม้ไม่ใช่เสาปูนเหมือนบ้านเรือนส่วนใหญ่ อาจเป็นเพราะบ้านของท่านอยู่ลึกจนเกินไปจากถนนหลัก แต่รู้สึกว่าตัวท่านจะไม่ค่อยรู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ภรรยาและลูกสาวของท่านยังคงยิ้มแย้มอย่างมีความสุขทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น ซึ่งก็เป็นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกเมื่อปีกลาย ข้าพเจ้าขี่มอเตอรไซด์มาจนถึงหน้าบ้านของท่าน แต่ปรากฏว่าท่านไม่อยู่บ้านพบแต่เพียงลูกสาววัยเพียง ๙ ขวบ ข้าพเจ้าสอบถามว่าท่านอินทร์อยู่หรือเปล่า ลูกสาวตอบว่าไม่อยู่ ข้าพเจ้าจึงลังเลว่าจะกลับก่อนดีหรือจะรอท่านซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมา ไม่รู้จะทำอะไร ข้าพเจ้าก็เลยชวนลูกสาวของท่านพูดคุย โดยเริ่มต้นถามว่าท่านอินทร์ไปไหนเหรอ? ลูกสาวของท่านอินทร์วัย ๙ ขวบตอบมาดังนี้
ไม่มีใครรู้หรอกว่านักบุญท่านหนึ่งจะไปที่ไหน และจะกลับมาเวลาใด
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจกลับคำตอบนี้และถามต่อว่า
เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น
ก็เพราะร่างกายของท่านไม่มีตัวตนอยู่จริงนาซี แม้แต่เทวดา พระอินทร์ หรือแม้แต่พระพรหม ในพรหมโลกชั้นสูงสุด ก็ยังไม่ทราบการไปมาของท่าน เด็กน้อยตอบ
แม้ข้าพเจ้าจะรู้สึกยินดีเล็กน้อยแต่ก็สอบถามเด็กน้อยต่อว่า
ท่านเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือทำไมไม่มีตัวตนอยู่จริงหล่ะ
ร่างกายของท่านไม่เหมือนมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ร่างกายท่านอยู่เหนือการหยั่งวัดหรือประมาณได้ เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะนักบุญย่อมอยู่เหนือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วนาซี เด็กตอบ
ที่ที่นักบุญไปนั้น พี่จะไปได้ด้วยหรือไม่ ข้าพเจ้าถามต่อ
เป็นเรื่องยากที่จะไปได้ เพราะถนนที่ไปนั้นมันลื่นมากจนมดสักตัวยังไม่สมารถไต่ขึ้นไปได้ มันสูงและชันมากจนมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะเดินทางไปถึงหรือจินตนาถึงได้ เด็กน้อยอธิบาย
แม้ข้าพเจ้าจะงุนงงและประหลาดใจกลับคำพูดที่ได้ยิน แต่ก็ถามต่อว่า
พี่มีคำถามเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่จะถามท่าน ไม่รู้ว่าน้องสามารถตอบได้หรือไม่ ข้าพเจ้ายิงประเด็น
มีคำตอบอยู่ในทุกคำถาม และทุกคำถามล้วนมีคำตอบ ซึ่งคำตอบนั้นก็มีมาก่อนที่จะเอ่ยปากถามด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามมีคำถามก็รีบถาม เด็กน้อยกล่าว
ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถเข้าใจถ้อยคำของเด็กหญิงคนนี้หรือไม่ แต่ปัญหาคาใจที่สงสัยมานาน ที่จำอุตสาห์เดินทางมาจนถึงที่นี่เพื่อหาคำตอบมันรุนแรงยิ่งกว่าที่จะรอต่อไป ข้าพเจ้าจึงถามออกไปว่า
จุดจบของมนุษยชาติจะมาถึงอีกเมื่อไร นักบุญช่วยอะไรได้บ้าง
ไม่มีจุดจบของมนุษย์ที่แท้จริง เพราะมนุษย์เป็นเพียงสังขารที่ปรุงแต่งขึ้น เป็นเพียงมายาภาพ และกาลเวลาก็เป็นเรื่องหลอกลวงไม่มีอยู่จริง สรรพสิ่งเป็นเพียงพระจิตที่เป็นอมตะแยกมาจากองค์รวมของพระผู้สร้างและจะต้องกลับไปสู่พระผู้สร้างหรือพุทธะภาวะสูงสุดอีกครั้ง เด็กน้อยหยุดชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อว่า
อย่างไรก็ตาม ๓ ปีต่อจากนี้จะมีการชำระล้างขยะโลกครั้งใหญ่เพื่อปรับสมดุล สิ่งมีชีวิตกว่าร้อยละ ๙๐ จะหมดหน้าที่บนโลกลง เด็กหญิงเอามือจับไม้กวาดขึ้นมาและเริ่มปัดกวาดบริเวณนั้นพร้อมกับเชิญให้ข้าพเจ้านั่งบนแคร่ไม้ไผ่ ก่อนที่เธอจะพูดต่อไปว่า
นักบุญหลายต่อหลายท่านช่วยโลกนี้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่มนุษย์กลับไม่เคยเข้าใจและยังคงสร้างบาปกรรมไม่หยุดหย่อน เธอหยุดพูดและเดินหายไปหลังบ้านก่อนจะกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำและชมพู่หนึ่งตะกร้า นำมันวางลงที่ตรงหน้าข้าพเจ้า ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใสต่อว่า
จนถึงขณะนี้ สวรรค์ไม่ยินยอมให้นักบุญที่มีชีวิตอยู่บนโลกช่วยเหลืออีกแล้ว มนุษย์จะต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อ ถึงขนาดบอกให้นักบุญหยุดการเผยแพร่สัจธรรมเลยทีเดียว
ไม่มีทางแก้อีกแล้วหรือ แล้วใครจะเป็นคนที่อยู่รอด? ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดจากปากเด็กหญิงพร้อมกับคำถามที่ยังค้างคาใจ
คนที่มีระดับชั้นทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง อยู่เหนืออำนาจของพญามาร เด็กหญิงตอบ
คงจะมีจำนวนน้อยมากๆเลย ข้าพเจ้าลงความเห็น
คนส่วนใหญ่จะต้องถูกจัดการเพื่อนำจิตวิญญาณที่เสื่อมทรามเหล่านี้เข้าสู่ขบวนการรักษาเยียวยา เพื่อทำให้มันบริสุทธิ์มากขึ้น จึงจะได้รับอนุญาตให้กลับมาใหม่ เด็กหญิงอธิบาย
ทำไมสวรรค์ไปเตือนพวกเขาก่อนที่จะจัดการกับพวกเขาหล่ะ ข้าพเจ้าพูดออกไปเพราะรู้สึกว่าสวรรค์ไม่ค่อยยุติธรรม
สวรรค์เตือนมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผ่านโรคภัยไข้เจ็บ ผ่านสงครามต่างๆ ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถต่อกรได้ เธอกล่าว
แล้วโลกภายหลังจากภัยพิบัติครั้งใหญ่นี่เล่า จะเป็นอย่างไร คนที่เหลือรอดจะไม่ยิ่งแย่ไปอีกเหรอ? ข้าพเจ้ายังสงสัย
คนที่สามารถผ่านพ้นมหันตภัยครั้งนี้ไปได้ล้วนเป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วจากสวรรค์ สวรรค์จะดูแลอย่างดี เพื่อเป็นต้นแบบของคนยุคต่อไปซึ่งจะมีแต่ความดีงาม และจะทำให้โลกถูกยกระดับสูงขึ้นใกล้เคียงกับสวรรค์ โลกและสวรรค์จะติดต่อถึงกันได้ง่ายขึ้นเหมือนครั้งบรรพกาล เธออธิบาย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะรอดหรือไม่ สวรรค์จะเลือกเราหรือไม่ ข้าพเจ้าถามต่อ
ถือศีล กินเจ ไม่เบียดเบียนสัตว์ บำเพ็ญเพียรภาวนา เธอสรุป
ข้าพเจ้านิ่งอึ้งไปพักหนึ่งเพราะรู้สึกว่ามันช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะอยู่รอด พร้อมตั้งคำถามสุดท้ายว่า
พระพุทธเจ้าเคยทำนายว่ายุคสุดท้ายพระศรีอารย์จะมาตรัสรู้ เป็นความจริงหรือไม่และพระองค์มาแล้วหรือยัง?
ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ และเฉพาะคนที่มีบุญสัมพันธุ์กับท่านเท่านั้นจึงจะได้พบ ถ้าไม่มีบุญสัมพันธุ์ถึงได้พบก็ไม่รู้จัก เพราะพวกท่านเหล่านั้นมักจะมาในรูปลักษณะที่เปลี่ยนไปเสมอ สุดวิสัยที่ปุถุชนจะเข้าใจ เด็กหญิงกล่าว
พระศรีอารย์มาแล้ว และขณะนี้ท่านกำลังช่วยเหลือสรรพสัตว์อยู่อย่างเร่งด่วน จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ภายหลังภัยพิบัติทุกคนที่รอดจะทราบว่าท่านคือใคร เด็กหญิงตอบคำถามในท้ายที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกมึนงงและจนด้วยถ้อยคำ.....