...สุภาพบุรุษรถเมล์.....
กวีเดินดิน
ชิดในเลยครับ ชิดในเลยครับ.....พี่คนเสื้อลายช่วยเดินเข้าไปด้านในหน่อย น้องนักเรียนขึ้นเลยครับ เสียงตะโกนเช่นนี้พรทิพย์ได้ยินทุกเช้า และดูเหมือนมันจะไม่เคยเปลี่ยนไปเลย บรรยากาศยามเช้า ในกรุงเทพมันไม่นาพิสมัยสำหรับเธอเท่าไร แต่เธอก็ยังจำเป็นที่ต้องอาศัยมันไปทำงานทุกเช้า และคงเหมือนกับหลายคนที่ขึ้นรถเมล์คันนี้ อีกทั้งผู้ที่ทำงานนักเรียนนักศึกษาต่างพากันใส่น้ำหอมจนตีกันคละคลุ้งไปทั่วรถ พรทิพย์โหนราวรถเมล์จนเมื่อแขนเพราะภายในรถไม่มีที่นั่งสำหรับเธออีกแล้ว ถึงกระนั้นคบขับก็ยังจอดรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเลยว่าข้างในรถจะแน่นแค่ไหน
“คุณครับ นั่งซิครับ” เสียงจากชายข้างๆเธอดังขึ้น พรทิพย์หันไปมองและพบว่าเขากำลังลุกจากเก้าอี้และยิ้มให้เธอ
“คุณลุกให้ฉันนั่งหรือค่ะ”
“ครับ” เขาตอบสั้นๆและส่งยิ้มบางๆให้
คนในรถเมล์เริ่มมองมาทางพรทิพย์และชายหนุ่ม เธอสังเกตเห็นผู้หญิงบางคนแอบอมยิ้มกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอจึงไม่รอช้ารีบกล่าวขอบคุณและนั่งลงทันที
“เดี๋ยวฉันถือกระเป๋าให้ค่ะ” พรทิพย์พูดขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มถือกระเป๋าทำงานมาด้วย
“ไม่เป็นไรครับ ผมถือได้” เขาตอบอย่างเกรงใจ
“ให้ฉันช่วยถือเถอะค่ะ คุณอุส่าต์ลุกให้ฉันนั่ง” คราวนี้เขาส่งกระเป๋ามาให้แต่โดยดีพร้อมยิ้มให้เช่นเดิม
“คุณทำงานอยู่ที่นี่หรือครับ”เขาเริ่มเปิดคำถาม
“ค่ะ ที่ทำงานฉันอยู่ใกล้ๆนี่เอง ถ้าทำไม่ผิดดูเหมือนว่าเราจะลงป้ายรถเมล์เดียวกันฉันว่าฉันเห็นคุณบ่อยๆ”
“ครับ ผมทำงานในบริษัทแถวนี่แหละ น่าเบื่อหน่อยนะครับขึ้นรถเมล์ต้องทนหน่อยวุ่นวายอย่างนี้ทุกวัน”
“ทำยังไงได้ล่ะค่ะ เรามันคนไม่มีรถส่วนตัว”พรทิพย์พูดพร้อมกลั้วหัวเราะเบาๆ
“แต่ผมว่าก็ดีนะไม่ต้องหาที่จอดรถ ในกรุงเทพหาที่จอดรถยากด้วย ขึ้นรถเมล์ก็สบายดี”
ระหว่างการสนทนา พรทิพย์จึงได้เห็นหน้าของชายหนุ่มอย่างชัดเจน เขาเป็นคนผิวขาว ใส่แว่นตาขอบสีดำ ใบหน้าคมสัน สูงโปร่ง เมื่อมองรวมๆแล้วถือว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีคนหนึ่ง เธอยังคงพูดคุยกับเขาไปเรื่อยๆ จนเมื่อมีผู้โดยสารใหม่ขึ้นมาจึงทำให้การสนทนาหยุดลง
“อ้าว! ยายขึ้นดีๆ ค่อยๆขึ้น ขึ้นแล้วรีบเดินไปด้านในเลย คนด้านหลังช่วยยืนชิดๆกันหน่อยครับ” กระเป๋ารถเมล์ ตะโกนออกคำสั่ง แต่หญิงชรายังคงยืนอยู่ที่เดิม
“เอ้า....ยาย เดินเข้าไปซิเดี๋ยวรถไม่พอขึ้น” กระเป๋ารถเมล์พูดย้ำ
“แต่รถไม่พอขึ้นนี่ไอ้หนู.....” หญิงชราพูดช้าๆด้วยเสียงสั่นเครือ
“โถ่........ยาย ขึ้นรถเมล์ก็อย่างนี้แหละ ยายก็เบียดๆเอาแล้วกัน”
“คุณยายค่ะ นั่งที่ของหนูดีกว่าค่ะ”พรทิพย์พูดพร้อมลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว
“ขอบใจมากแม่หนู ขอบใจจริงๆ”หญิงชราพูดพร้อมเข้ามาจับแขนแสดงความขอบใจ
พรทิพย์จึงใช้โอกาสนี้ประคองหญิงชราไปยังเก้าอี้ของเธอ
“เดี่ยวก่อนคุณ ผมช่วยเองดีกว่าคุณไปยืนแทนที่ผมไว้ก่อน เดี๋ยวจะไม่มีที่ยืน”ชายหนุ่มเข้ามาอาสาช่วยแทนเมื่อเห็นหญิงสาวเดินผ่านช่องทางเดินอย่างยากลำบาก
“ดีเลยค่ะ ฉันใส่ส้นสูงเดินไม่ค่อยถนัด”
หลังจากที่ชายหนุ่มไปส่งหญิงชราเสร็จแล้วเขาก็กลับมายืนโหนราวรถเมล์อีกครั้ง ผู้โดยสารยังคงขึ้นมาเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้พรทิพย์ต้องเขยิบมาด้านหลังและทำให้เจอกับชายหนุ่มอีกครั้ง
“ ตอนที่คุณยายขึ้นมา ผมรอดูอยู่ว่าจะมีใครลุกให้คุณยายนั่งไหม ก็เห็นมีแต่คุณคนเดียว”
“ฉันสงสารแกน่ะค่ะ รถแน่นให้ยืนก็กลัวจะเป็นลมไป”
“คนสมัยนี้ ห่วงแต่ตัวเองไม่ค่อยห่วงคนอื่น จะหาคนอย่างคุณก็หายากเต็มทน”
“ สังคมในเมืองก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ ฉันเจอจนชาชินแล้วล่ะ”
“ นั่นซิครับ คนในเมืองหาน้ำใจยาก”
พรทิพย์แอบสังเกตเห็นบางคนในรถทำสีหน้าไม่พอใจในคำพูดของเธอกับชายหนุ่ม เธอจึงส่งสายตาห้ามเขาให้หยุดพูดทันที
“ผมขอโทษครับ ผมลืมไป เอาเป็นว่าเราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่านะครับ”
“ฉันว่าไม่ทันแล้วละค่ะ อีกไม่ไกลก็จะถึงป้ายหน้าแล้ว” ชายหนุ่มหันออกไปมองนอกหน้าต่างก่อนจะหันมาพูดกับหญิงสาว
“ผมลืมเสียสนิทเลย มัวแต่คุยกับคุณจนเพลิน”
“ฉันว่า เราเดินไปหน้าประตูดีกว่า เวลาลงจะได้ลงได้สะดวก”เธอเสนอความเห็น ชายหนุ่มเห็นด้วยจึงรีบเดินตามหญิงสาวไปทันที ไม่นานรถเมล์ก็จอดลง พรทิพย์และชายหนุ่มก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็วก่อนจะไปหยุดยืนที่ป้ายรถเมล์
“ ผมคงต้องไปทำงานก่อนนะครับ เดี๋ยวจะสาย หวังว่าเราจะได้เจอกันใหม่นะค่ะ”เขาพูดอำลาสั้นๆก่อนจะเดินจากไป พรทิพย์ยืนมองร่างของชายหนุ่มที่เดินจากไปและรู้สึกเสียดายที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ได้ถาม
“ คุณค่ะ” เธอร้องตะโกนเรียกเขา เมื่อก้มลงมองกระเป๋าในมือ ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วหันกลับมามองด้วยความสงสัย
“กระเป๋าค่ะ”เธอพูดเสียงดังพร้อมชูกระเป๋าทำงานขึ้น
“ แย่จริง ผมลืมเสียสนิท ขอบคุณมากครับเอกสารสำคัญอยู่ในนี้เสียด้วย” พรทิพย์รีบส่งกระเป๋าคืนชายหนุ่มทันทีที่เขาเดินมาถึง
“ คุณค่ะ”
“ครับ”
“ฉันมีเรื่องจะถามคุณค่ะ”
“เรื่องอะไรครับ ?”
“เอ่อ.........คือ.......คุณ...คุณ ....ไม่รีบไปทำงานหรือค่ะ” ในที่สุดเธอก็ไม่กล้าที่จะถามชื่อของเขา
ชายหนุ่มรู้สึกงงกับคำถามของหญิงสาวเล็กน้อย แต่ก็พยายามตอบคำถามของเธอ
“ครับ ผมคงต้องรีบเดี๋ยวจะสาย ผมไปล่ะ” เขาโบกมือน้อยๆก่อนจะเดินจากไปและหายไปในฝูงชน หลังจากที่พรทิพย์แยกกับชายหนุ่มได้ไม่นานก็มีเสียงหนึ่งร้องทักขึ้น
“คุณค่ะ” เธอหันไปมอง และพบว่าเป็นหญิงกลางคน คนหนึ่งที่เรียกเธอ
“กระเป๋าของคุณถูกกรีด” พรทิพย์ตกใจจนตัวชา รีบปลดกระเป๋าสะพายลงจากไหล่ทันที เธอรู้สึกได้ถึงความเบาของกระเป๋า มันไม่เหลืออะไรเลย เธอนึกชายหนุ่มเป็นคนแรกและพยายามมองหาเขาอีกครั้ง
แต่น่าเสียดาย..........
ชายหนุ่มได้หายไปกับฝูงชนไม่เห็นแม้เงา..................
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
กวีเดินดิน