ศุกร์ที่ผ่านมา ก็เหมือนศุกร์ก่อน ๆ คือ วันทำงาน แต่จะพิเศษหน่อยก็ตรงนี้ หลังเลิกงานแล้ว มีภาระกิจที่สนามหลวง ก็งานที่ท่านนายกฯ ไปเปิดพิธี สินค้าราคาถูก ผูกรอยยิ้ม .. ข้าพเจ้ารับช่วงงานผลัดกลางคืน ตั้งแต่สองทุ่มจนถึงสองโมงเช้าวันเสาร์ ก็วุ่นวายพอสมควร กว่าที่จะลงตัวว่า เต็นท์ที่ข้าพเจ้าจะต้องไปดูแล อยู่ที่ไหน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบก็คือ ต้องอพยพย้ายฟากหลบกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อความปลอดภัย อืมม ! ว่ากันว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ตำหนวดยังตรวจพบระเบิดแถว ๆ นั้นเลย ไม่รู้เหมือนกันว่า คนที่เก็บซุกไว้ เพื่อหนุนหัวนอนหรืออย่างไร ? ข้าพเจ้าลงรถที่ ม.ธรรมศาสตร์ แล้วก็เดินข้ามฟากตัดครึ่งสนามมายังด้านศาลฏีกา เห็นเวทีคอนเสริทซ์อยู่ด้านซ้าย แต่ก็ไม่ได้แวะสนใจสักเท่าไหร่ ข้าพเจ้าสนใจแต่ว่า เต็นท์ที่เป็นเสบียง และ รถห้องน้ำของ ก.ท.ม. ข้าพเจ้าไม่ค่อยคุ้นกับพื้นที่ท้องสนามหลวง เคยมาแต่ในช่วงกลางวันสงกรานต์ กับช่วงเย็น ๆ ตอนนั้นฤดูกาลเล่นว่าว แต่ก็นานมาแล้ว เมื่อคราวตั้งพระเมรุ ไม่ได้มา ดังนั้นชีวิตในยามค่ำคืน ณ ที่นั่น จึงเป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก เริ่มต้นจาก .. ประมาณสี่ทุ่ม ข้าพเจ้าสังเกตด้านหลังเต็นท์ที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบงานอยู่มีการปูเสื่อเรียงราย เพื่อนบอกว่า นั่นคือการรับจ้างนวด ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า ดึกดื่นแล้ว บรรดาคนขี้เมื่อยที่ไหนกันนะ จะมานวด ข้าพเจ้าคิดว่าคงเหมือนการนวดที่วัดโพธิ์ ดัดแข้ง ดัดขา ทุบนั่น กระแทกนี่ ข้าพเจ้าเองซึ่งเมื่อยอยู่พอประมาณ ไม่เคยต้องยืนทน อดหลับอดนอนมาก่อน ยังแอบคิดเลยว่า ย่องไปนวดดีกว่า เห็นขึ้นป้ายราคาว่า ชั่วโมง/100 บาท ยังดีที่ข้าพเจ้าได้แต่คิด แต่ไม่ได้ไปใช้บริการนวด เพราะเมื่อข้าพเจ้าหันไปมองอีกที มีการมุดเข้าไปในผ้าห่มกันด้วย นวดกันยังไง .. ข้าพเจ้าได้แต่จ้องและไม่เข้าใจ แล้วก็มีการผลัดขึ้น ผลัดลง .. หัวไปทาง ขาไปทาง ยิ่งงง กันไปใหญ่ ตกลงใครนวดใคร นวดกันท่าอะไรบ้างนะ ชักงง ที่จริงข้าพเจ้ายังคงจ้องอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเพื่อนมาสะกิดพร้อมกับบอกว่า "ไม่เคยเห็นคนเชิดสิงโตหรือไง ?" แรก ๆ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้าใจอีก "เชิดสิงโต" .. แต่แล้วก็ต้องหัวเราะก๊ากเมื่อรู้ทัน อะไรกันจะขนาดนั้น เพราะเสื่อที่เรียงกันเว้นช่วงก็แค่สองสามเมตรเท่านั้น ระยะห่างจากเต็นท์ที่ข้าพเจ้าดูแลงานอยู่ ก็น่าจะประมาณหกเมตร ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็น บรรยากาศที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกลางแจ้งอย่างนี้ ถือว่าเป็นความซวยของลูกตานะนี่ ............................................................................ อย่างที่เล่าไว้ข้างต้น ก่อนเข้าไปรายงานตัวที่เต็นท์ ข้าพเจ้าสอดส่องทำเลรรถห้องน้ำของ ก.ท.ม. ไว้ล่วงหน้าแล้ว ราว ๆ เที่ยงคืน เพื่อนร่วมงานชวนข้าพเจ้าเข้าห้องน้ำ ซึ่งข้าพเจ้าก็ยินดีไปเป็นเพื่อน ตั้งแต่เกิดมา ก็ไม่เคยใช้บริการรถห้องน้ำของ ก.ท.ม. ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับสภาพกับกลิ่นอันสาหัสสากรรจ์ขนาดนั่นเลย ข้าพเจ้าเดินตามเพื่อนขึ้นบันไดรถ จากนั้นข้าพเจ้าก็ลงบันไดมาในทันที ข้าพเจ้าพยายามหายใจลึก ๆ ก่อนเดินขึ้นบันไดไปใหม่ และตั้งใจว่าจะกลั้นใจจนกว่าจะจบธุระในนั้น อืมมม เป็นไงเป็นกัน ข้าพเจ้าแทบจะขาดใจตาย มือไม้สั่นในขณะที่กำลังเปิดประตูห้องน้ำออกมา คงเหลือลมอันน้อยนิดในปอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มหน้ามืดตาลายแล้ว แต่ก็ตั้งใจว่าจะยังคงกลั้นใจต่อไป ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้อากาศแถวนั้นเข้าปอดเด็ดขาด ทันทีที่ได้สูดอากาศเฮือกแรก (หลังจากลงจากรถห้องน้ำของ ก.ท.ม. เรียบร้อยแล้ว) ข้าพเจ้าก็เริ่มอาเจียน จนเพื่อนที่เดินไปด้วยกันตกใจ อะไรต่อมิอะไรที่อยู่ในกระเพาะของข้าพเจ้าเมื่อหัวค่ำ ถูกถ่ายเทออกมาจนสิ้น ข้าพเจ้ายังคงรู้สึกพะอึดพะอม ในขณะที่กำลังเขียนเรื่องเล่านี้ ครั้งแรกในชีวิต และหวังว่าคงเป็นครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าประทับใจเลยกับรถห้องน้ำของ ก.ท.ม. กระทั่งตีสี่ เพื่อนคนเดิมก็ชวนข้าพเจ้าเข้าห้องน้ำอีก ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำสักนิด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะไปเป็นเพื่อน ซึ่งอาจเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ดื่มน้ำเลยตั้งแต่หลังเที่ยงคืน ทั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกกระหายน้ำปาก ริมฝีปากแห้งผาก เสียงก็เริ่มแหบแห้ง ให้ตายเหอะ ถ้าจะต้องเข้าห้องน้ำที่รถนั่น ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายเลยทีเดียว มีคนแนะนำให้เดินข้ามฟากไปทาง รร.รัตนโกสินทร์ ที่นั่นมีห้องน้ำบริการ เสีย 3 บาท ข้าพเจ้ากับเพื่อนก็เดินไปตามนั้น ข้ามฟากไป ก็พบกับสิ่งมหัศจรรย์บนทางเท้า ข้าพเจ้าเห็นคนยึดพื้นที่ริมถนน นอน .. บางคนมีแค่กระเป๋าหนุนหัว บางคนกอดถุงกระดาษเก่า ๆ มีบ้างที่เหมือนกับเป็นกิจลักษณะ มีฟูกบนรถเข็น (เหมือนรถเข็นขนของ 4 ล้อ) นอนบนนั้น ข้าพเจ้ากับเพื่อนเดินอย่างเงียบกริบ เกรงว่าจะไปรบกวนการนอนหลับของพวกเขา กระทั่งจะหายใจแรง ๆ ก็ยังไม่กล้า เดินก็ต้องคอยระวังจะไปเหยียบข้าวของของพวกเขา อากัปกิริยาของข้าพเจ้าบ่งบอกว่าข้าพเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ อีกทั้งยังไม่เคยเห็น เพื่อนของข้าพเจ้ากระเซ้าว่า "เป็นคนกรุงเทพฯ แท้ ๆ ทำไมไม่รู้ว่า ชีวิตกลางคืนก็มีแบบนี้" มันช่างเป็นชีวิตที่เอน็จอนาถมาก หากหนาว หากฝนตก พวกเขาจะไปหลบพักอาศัยที่ไหน ข้าพเจ้าเก็บเรื่องนี้มาคิดกังวล ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องของข้าพเจ้า และบางทีพวกเขาอาจไม่ร้อนใจ ข้าพเจ้ายังคงเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจ จนอยากระบายออกมา ทันทีที่ข้าพเจ้าเริ่มงานในเช้าวันจันทร์ ข้าพเจ้าไม่เสียเวลาที่จะบอกเล่าความรู้สึกดังกล่าว ให้กับเพื่อนที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้า และไม่รู้จักตัวตนในชีวิตจริงได้รับทราบ อย่างน้อย .. ข้าพเจ้าก็รู้สึกเบาไปเยอะ ............................................................................ " ไง .. เจอทีเด็ดบ้างหรือเปล่า ?" เพื่อนร่วมงานถามข้าพเจ้าถึงวันที่ข้าพเจ้าไปรับช่วงภาระกิจที่สนามหลวง " ก็มีนิดหน่อย แต่ว่าจะเด็ดดวงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ" และข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องไป เพื่อนของข้าพเจ้าก็เล่าแลกเปลี่ยนให้รู้สึกขำมาก ๆ เหมือนกัน เพื่อนถามว่า "รู้จักสมทรงหรือเปล่า แบบในหนังเรื่องคำพิพากษาน่ะ" พอข้าพเจ้าบอกว่า "อื้อ รู้ สมทรงเป็นบ้านิด ๆ " "นี่นะ สมทรงเดินเข้ามาในเต็นท์แล้วก็เอ่ยปากขอตัวนึง (สินค้า) ทุกคนงงกันหมด ที่จู่ ๆ ก็มาขอกันดื้อ ๆ ไอ้แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องปกติแหง๋ ๆ สภาพของสมทรงก็แต่งตัวมอซอ เป็นเสื้อกับกระโปรงบาน ๆ แต่ก็เขรอะแล้ว สมทรงยังคงดื้อกล่าวซ้ำ ๆ ขอตัวนึง ขอตัวนึง นี่นะ ข้างในไม่มีจะใส่ ไม่เชื่อเหรอ ไม่เชื่องั้นดูเลย นี่แน่ะ นี่แน่ะ" และแล้วสมทรงก็จัดการเปิดเสื้อตลบขึ้นบน ทุกคน (เน้น... ทุกคน) เหมือนต้องมนต์จังงัง เมื่อเห็นหนังสดอันเหี่ยวย่นของสมทรง เพื่อนของข้าพเจ้าที่ดูแลเต็นท์นั้น มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่างก็นิ่งเป็นเบื้อใบ้กันไปหมด สมทรงยังบอกอีกว่า ข้างล่างก็ด้วยนะ ไม่มีใส่ และก็กำลังจะเปิดผ้าแสดงความจริงให้เห็น เพื่อนของข้าพเจ้าก็รีบเข้าไปห้ามสมทรงเสียก่อน ประจวบกับพอดีตำหนวดเดินผ่านมา เรื่องราวของสมทรงจึงเป็นแค่หนังฉายครึ่งเดียว คือ ครึ่งบน ขาดครึ่งล่างให้จินตนาการต่อไป ............................................................................ "ผมถูกฉุดไปหลังต้นไม้ พร้อมกับบอกราคาว่า แค่สามสิบ" เพื่อนกลุ่มใหญ่รวมทั้งข้าพเจ้าหัวเราะกันครืน หลังจากที่นายโจ้เล่าให้ฟัง นายโจ้หน้าตาหล่อเหลาเอาการ และมีช่วงปฏิบัติภาระกิจเวลาเดียวกันกับข้าพเจ้า "แทบแย่ ผมดิ้นหนีออกมาได้ก็บุญแล้ว ขวัญเสียไม่หาย" นายโจ้บ่นงึมงำ "ผมก็เหมือนกันพี่ ตอนนั้นผมง่วง ก็เลยเดินไปนั่นนี่ ผมเดินไปทางฟากของท่าเตียน ก็มีคนเสนอตัว เสนอราคาให้เสร็จสรรพ ผมก็รีบเดินหนีทันที" คราวนี้เป็นนายหรั่งเล่าเรื่องบ้าง "ผมดิ ซวยฉิบ" เพื่อนอีกคนบ่นอุบ "ซวยยังไง" ข้าพเจ้าถาม "ก็ผมทำงานเพลิน ๆ กินน้ำแล้วก็วางไว้ข้าง ๆ ตัว แล้วก็หันมาทำงานต่อ เผลอแป๊บเดียว คนจรจัดเอาน้ำที่ผมวางไปกิน แล้วก็วางขวดไว้เหมือนเดิมอ่ะ คิดดูดิ ถ้าบังเอิญผมไม่หันมาเห็นเสียก่อน ผมจะเป็นอะไรตายไหมเนี่ย น่ากลัวชะมัด" "พี่น้องคร๊าบ ผมโดนคนบ้าเดินตามตลอด ชวนผมคุยนั่นนี่ ผมล่ะจะบ้าตาย" เพื่อนหัวฟูเล่าบ้าง "แสดงว่านายหน้าตาเข้าข่าย บ้า" เพื่อนอีกคนแซว ............................................................................ สิบสองชั่วโมง ที่ข้าพเจ้าปฏิบัตงานที่สนามหลวง นอกเหนือจากเนื้องานแล้ว ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบไม่เคยเห็น ข้าพเจ้ารู้สึกขำ รู้สึกเศร้า รู้สึกกลัว ระคนกัน .. มันเป็นอะไรที่หลากหลายจริง ๆ สำหรับค่ำคืนนั้น มิตรภาพตราบสิ้นฟ้า
23 มีนาคม 2552 18:37 น. - comment id 104398
เมื่อในสมัยที่ยังเป็นกรุงเทพฯ ในสมัยลุงแทนเป็นหนุ่ม สนามหลวงคือที่นั่งเล่นยามเย็น ยิ่งช่วงนี้จะนั่งดูเด็กๆ ผู้ใหญ่บ้างเล่นว่าวกันสนุก ลุงแทนก็เหมือนหลายๆคนที่ เช่าเสื่อหนึ่งผืนสังเหล้าหนึ่งแบน แกล้มแกล้มสักอย่าง เพื่อผ่อนคายความเครียดจากงาน พอหมดแบนก็เดินมาที่ท่าช้างวังหลวงเพื่อนั่งเรือเที่ยวสุดท้ายกลับบ้าน แต่สมัยนี้อย่าหวังว่าได้เจอภาพแบบนั้น นี่แหละสัจธะธรรม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด อย่าคิดมากเจ้าอิม ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่เรานึกคิดไม่ถึง
23 มีนาคม 2552 21:58 น. - comment id 104405
สมัยลุงแทนเป็นหนุ่ม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอัลมิตราจะรุ่นไหน ๕๕๕ .. เล่าเรื่องความหลัง เขาจะหาว่า เข้าสู่วัยชรานะลุง วันนี้อัลมิตราได้ความรู้ใหม่แยะเลย เพื่อนบอกว่า ที่สนามหลวง เรียกว่าผีมะขาม ข้ามถนนไปคลองหลอด เรียกว่าผีขนุน เพื่อนคนนึงเล่าว่า ตอนเดินผ่าน มีการปลดสายเดี่ยวลงข้างนึงด้วย แถมทำท่าให้ดูอีกต่างหาก ฮากันมาก ลั่นห้องทำงานเชียวค่ะ เพื่อนที่เป็นตัวแสดง เป็นผู้ชายอีกต่างหาก ดีดดิ้นน่าดู ตลกจังอ่ะ
23 มีนาคม 2552 22:56 น. - comment id 104406
ใช่เลย ผีมะขามเฝ้าสนามหลวง ผีขนุนอยู่คลองลอด ยังมีอีกหลายผี สรุปผีทั้งหมดมีกฎกติกาห้ามข้ามเขตแดน ชอบของขม ชมเด็กสาว เล่าเรื่องเก่า เดินเข้าวัด สะสมของเก่า จำไม่ได้หมดแบบว่าเขาเล่าให้ฟังเนาะ
24 มีนาคม 2552 20:45 น. - comment id 104413
อ่านแล้วเพลินเลยค่ะคุณอัลฯ แบมยังไม่เคยเข้าห้องน้ำ ของ ก.ท.ม.เลยค่ะ แต่เพื่อนเคยมาเล่าให้ฟังว่า กลิ่นสุดยอดเลยค่ะ ยิ่งกว่าเยี่ยวอูฐอีก อิอิ ว่าแต่เยี่ยวอูฐเป็นอย่างไร คงเหม็นเหมือนกันรึเปล่าคะ ตอนเรียนจะต่อรถแถว คลองหลอด จะเจอผีขนุนบ่อยค่ะ แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้ไป ไม่ทราบว่ายังเหมือนเดิมหรือเปล่าค่ะ
25 มีนาคม 2552 07:24 น. - comment id 104417
ลุงแทน .. ขำผีจัง .. ต่อให้พกของขลังไปก็เหอะ เจอผีก็ต้องเผ่นล่ะ แหม๊ ถ่อมตัว บอกว่าเขาเล่าให้ฟังมาอีกทอด แต่อัลมิตราคิดว่า ลุงนั่นแหล่ะ เจ้าของประสบการณ์ ๕๕๕๕๕ คุณแก้วประภัสสร .. เคยดมเยี่ยวอูฐอยู่หนหนึ่งค่ะ ตอนนั้นอยู่บนเครื่องบินแล้วเมาเครื่อง กำลังแย่เลยตอนนั้น ทั้งที่ล้อของเครื่องกำลังจะแตะลงสนามบินอีกประเทศแล้ว เป็นกลิ่นที่จำได้ติดจมูก ส่วนกลิ่นบนรถห้องน้ำของ ก.ท.ม. ช่างเป็นกลิ่นที่ ๕๕๕ .. ที่อะไรดีนะ ให้ตายเหอะ อัลมิตราขยาดชะมัด ที่จริงแล้ว ก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไรสักเท่าไหร่ เข้าใจว่า เมื่อถึงเวลาวิกฤตข้าศึกโจมตีจุกก้น ก็คงจะต้องทนไป แต่ว่าก็ว่าเหอะ อัลมิตราเลือกที่จะนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน หรือไม่ก็ไปขอใช้บริการในร้านค้า ทำหน้าสงสารขอความเห็นใจ .. แหะ ๆ เข็ดจริง ๆ อ่ะ
25 มีนาคม 2552 07:34 น. - comment id 104418
ลุงแทน .. ขำผีจัง .. ต่อให้พกของขลังไปก็เหอะ เจอผีก็ต้องเผ่นล่ะ แหม๊ ถ่อมตัว บอกว่าเขาเล่าให้ฟังมาอีกทอด แต่อัลมิตราคิดว่า ลุงนั่นแหล่ะ เจ้าของประสบการณ์ ๕๕๕๕๕ คุณแก้วประภัสสร .. เคยดมเยี่ยวอูฐอยู่หนหนึ่งค่ะ ตอนนั้นอยู่บนเครื่องบินแล้วเมาเครื่อง กำลังแย่เลยตอนนั้น ทั้งที่ล้อของเครื่องกำลังจะแตะลงสนามบินอีกประเทศแล้ว เป็นกลิ่นที่จำได้ติดจมูก ส่วนกลิ่นบนรถห้องน้ำของ ก.ท.ม. ช่างเป็นกลิ่นที่ ๕๕๕ .. ที่อะไรดีนะ ให้ตายเหอะ อัลมิตราขยาดชะมัด ที่จริงแล้ว ก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไรสักเท่าไหร่ เข้าใจว่า เมื่อถึงเวลาวิกฤตข้าศึกโจมตีจุกก้น ก็คงจะต้องทนไป แต่ว่าก็ว่าเหอะ อัลมิตราเลือกที่จะนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน หรือไม่ก็ไปขอใช้บริการในร้านค้า ทำหน้าสงสารขอความเห็นใจ .. แหะ ๆ เข็ดจริง ๆ อ่ะ
25 มีนาคม 2552 10:45 น. - comment id 104421
555 อย่าตกใจไปเลย มีผีมะขาม กับผีขนุน ย่อมต้องมีผีผ้าห่มเป็นธรรมดา ประหยัดค่าสถานที่ดี เสร็จสรรพ ณ จุดเดียวกัน ดีนะที่ไม่ได้ไปไม่งั้นมียิงตากันบ้างล่ะ
25 มีนาคม 2552 10:49 น. - comment id 104422
อ้อ ลืมถามไปสองวันนี้ไหงบ้านกลอนถึงได้เข้ายากจริงๆหนอ หรือว่าผู้ดูแลระบบกลัวผีเลยแปะยันต์ หรือเอาไปหนาดมาไว้แถวๆนี้นะ 555
25 มีนาคม 2552 12:59 น. - comment id 104423
อ่านแล้วสลดใจจริง นึกภาพตามคงจะคล้ายๆ แถวดาวน์ทาวแอลเอ แล้วย้อนกลับมานั่งคิดว่า วันนึงเราจะมาอยู่แบบนี้มั้ยหน้อ แต่ได้คำตอบมาว่า ไม่หรอกตราบใดที่เรามีมือมีแรง เราคงทำงานงกๆไปเรื่อยๆ คงไม่มาจบชีวิตบนท้องถนนแบบนี้แน่นอน เพราะกรรมคือสิ่งที่ตนกระทำมิใช่หรือ..
25 มีนาคม 2552 15:53 น. - comment id 104430
ปกติคนเราก็ กิน ปี้ ขี้ นอน แต่ไม่นึกว่า มันไม่เลือกสถานที่เอาเสียเลย รถสุขา กทม. เคยแค่เฉียดๆ แค่นั้นก็รับไม่ได้แล้วค่ะ คุณอัล คุณอัลเล่าจนเห็นภาพ น่าผอืดผอมเน๊าะ
26 มีนาคม 2552 00:43 น. - comment id 104442
เคยพบเห็นเมื่อปี2540 ตอนนั้นก้อขายของแบบเนี๊ยแต่ชื่อว่า ไทยช่วยไทยเพิ่มค่าเงินบาท..ปีนี้ไปขายเหมือนกันปไปไปตอนกลางวันเลิก 2 ทุ่มกลับ เลยไม่ไดระลึกถึงความหลังเลยง่ะ5555
26 มีนาคม 2552 07:26 น. - comment id 104445
คุณกุ้งก้ามกราม .. อัลมิตราเนี่ย เซ่อเซอะ จริง ๆ ก็เข้าใจว่านวดให้คนขี้เมื่อยอ่ะ ซึ่งอัลมิตราเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนถึงกรรมวิธีการนวดอันพิสดาร นึกว่า บีบ ๆ นวด ๆ กล้ามเนื้อเฉย ๆ อ่ะ อัลมิตราเองก็เมื่อยขานะ ไม่เคยต้องไปยืนนานอย่างนั้น ปกติ เวลาทำงานก็ได้แต่นั่งตากแอร์เย็นฉ่ำ คุยกับคอมพิวเตอร์ตามลำพัง นั่นเป็นงานไม่ถนัดเลย ดีนะ ไม่หลงเชื่อเพื่อน ที่ยุให้อัลมิตราไปนวด (พร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคนให้ผลัดกันไป) เกือบไหมล่ะ บ้าบอจัง ไอ้พวกเที่ยวกลางคืนแล้วมาหลอกไก่อ่อนอย่างเรา .. ๕๕๕ ปล. ไม่ได้แปะยันต์ไว้ ทางเข้าก็เหมือนเดิม แต่คนเข้าพุงใหญ่เกินไปป่าว พุงติดคาประตูนั่นแหล่ะ คุณยาแก้ปวด .. อัลมิตราเห็นครอบครัวคนเร่ร่อน ซึ่งมีเด็กทารกด้วย นอนเรียงรายข้างถนน หดหู่นะที่เห็น คิดจะช่วย ก็ยังหาวิธีไม่ออก เพราะมากมายเหลือเกิน เท่าที่เห็นคนแก่ก็มีเหมือนกัน ยึดฟ้าเป็นมุ้ง อากาศเป็นผ้าห่ม .. เฮ้อ สงสาร น่ะ คุณแจ้น .. ช่าย ๆๆๆ ไม่เลือกสถานที่จริง ๆ ตอนหกโมงเช้า อัลมิตราเห็นว่าฟ้าสางแล้ว ก็เลยเดินไปดูเต้นท์ที่จะแลกอาหารเช้าได้ (มีคูปอง เขาให้มา 2 ใบ) นึกได้แล้ว จะต้องไปเต็นท์ฟูจิย่า เดินผ่านที่เขานวด ซึ่งมีคนนอนห่มผ้าซะดิบดี เป็นผู้หญิงนะ โห ไม่อยากเชื่อ เหมือนศพอ่ะ .. หน้าโปะ ซะขาววอก แล้วคิ้วก็ใช้วาดเอา ปากแดง ๆ (นึกถึงหนังพระนเรศวร ตอนที่มีนางรำพม่า) เห็นแล้วก็ยังตกใจนะ กลางค่ำกลางคืนคงดูไม่ออก แต่พอมีแสงอาทิตย์เข้าช่วย ..สยอง สยิวกิ้ววววว อ่ะ คุณเอื้องอังกูร .. อัลมิตราอยู่ผลัดสอง เข้าประจำการสองทุ่มถึงแปดโมงเช้า โดยที่กลางวันก็ทำงานด้วย (ศุกร์) ง่วงแสนง่วง ยิ่งตอนที่บรรดาผีออกเดินส่ายหาลูกค้า เห็นแล้วยิ่งง่วงกันไปใหญ่ ยังดีนะที่เพื่อนอยู่บูธขายน้ำดื่ม ก็เลยไปอาศัยล้างหน้าล้างตาบ้าง เอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเย็นจัด(ห่อน้ำแข็งอีกชั้น) เจ๋งเลยล่ะ วิธีนี้ สดชื่นทันทีค่ะ