วิถีชีวิต...ชายพเนจร
dayydream
ถิ่นฐานบ้านเกิดของผมนั้นอยู่ ต.แร่ อ.พังโคน จ.สกลนคร ครอบครัวของผมมีฐานะค่อนข้างยากจน ผมมีพี่น้องอยู่ 4 คน ผมเป็นคนที่ 2 พ่อกับแม่ก็ทำไร่ทำนา มีเรือกสวนไร่นาไม่มากมายนัก พวกเราอาศัยอยู่ในบ้านไม้เล็กๆ ที่ทั้งเก่าและผุพัง ฝนตกทีไร ก็จะทิ้งร่อยรอยไว้ซึมเข้าไปในเปลือกไม้ซึ่งไม่รู้เลยว่ามันจะหักลงมาเมื่อใด
ผมเข้าเรียนชั้นประถม เมื่ออายุได้ 7 ขวบ ผมเป็นนักกีฬาของโรงเรียนและเป็นคนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งฟุตบอล วิ่งแข่ง กระโดดไกล กระโดดเชือก และมวยไทย สำหรับมวยไทย ผมได้ขึ้นชกไม่บ่อยครั้งนัก เพราะแม่เป็นห่วง เวลาจะขึ้นชกทีไรก็ต้องแอบไม่ให้แม่รู้ แต่พ่อนั้นชอบมวย พ่อก็จะคอยสนับสนุนผมอย่างลับๆ แต่ก็ปิดแม่ได้ไม่นาน เมื่อแม่รู้เข้า ก็เกิดมีปากเสียงกันกับพ่อ ผมจึงเลิกชกมวย หันมาดูและเชียร์แทน
หลังจากเรียนจบชั้นประถมแล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เรียนต่อหรือเปล่า... ด้วยความที่ยังเด็ก ยังไม่ได้คิดวางแผนอะไรในอนาคตไว้เลย ชีวิตประจำวันของผมช่วงปิดเทอมระยะนี้ วันๆผมก็จูงวัวไปกินหญ้ากลางทุ่งนา ส่วนตัวผมก็นอนเล่นอยู่เถียงนาใกล้ๆ เป็นประจำทุกวัน
มีอยู่วันหนึ่ง ช่วงสายๆ เพื่อสนิทของผมมาหา หลังจากไม่ได้เจอกันเกือบ 2 อาทิตย์
"ตั้ม เป็นไงบ้าง ปิดเทอมแล้วไม่ได้เจอกันเลย"
"ไม่รู้ว่ะ เราก็เป็นตามที่นายเห็นนั่นแหละ แล้วนายล่ะ เปิ้ล"
"ก็คิดไว้เหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ แล้วนายได้ที่เรียนหรือยัง"
"ยังเลย ถามแม่ แม่ก็ว่าแล้วแต่เรา"
"งั้น...นายไปบวชเรียนกับเรามั้ย"
"แล้วค่าใช้จ่ายล่ะ"
"โอ๊ย ไม่ต้องกลัว เรียนฟรี"
ได้ยินดังนั้นแล้ว ผมก็นอนคิดดูว่าครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้เรียนต่อ ทั้งๆที่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าการบวชเรียนมันเป็นยังไง เขาเรียนกันยังไง แต่ด้วยความที่ผมเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ค่อยมีเงิน ถ้าเรียนต่อมัธยม ค่าใช้จ่ายมันก็มาก ผมสงสารพ่อแม่ แกคงส่งเสียให้เรียนไม่ไหว แต่ใครจะรู้ล่วงหน้าได้เล่าว่า การตัดสินใจของผมในครั้งนี้ มันเป็นการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตผมเกือบทั้งชีวิต
ผมจึงตัดสินใจบอกแม่ แม่ก็ตามใจผม แม่ว่าขอให้ลูกได้เรียน มีหนทางไหนพอไปได้ก็ไม่เหนี่ยวรั้ง เช้าวันต่อมาผมกับเพื่อนเข้าไปบวชเณรอยู่ที่วัดป่าวิเวกจันทราราม ต.ขมิ้น อ.เมือง สกลนคร มีสามเณรในวัดแห่งนี้เป็นร้อย แต่จุดประสงค์ในการบวชเณรของแต่ละคนนั้นต่างกัน บางคนก็ต้องการบวชเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ บางคนก็บวชเพราะพ่อแม่ศรัทธาในวัดแห่งนี้ ส่วนในกรณีของผมและอีกหลายๆคนก็บวชเพื่อต้องการเรียนหนังสือต่อ เพราะครอบครัวมีฐานะยากจน จึงต้องมาบวชเรียนแทนการเรียนสามัญธรรมดาแบบเด็กคนอื่นๆ
ดูเหมือนการบวชเรียนของผมในครั้งนี้ พาให้ผมต้องเหินห่างพ่อแม่และบ้านเกิดไป ทีละน้อย ทีละน้อย ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เรามันไม่มีโอกาสได้เรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ เมื่อมีโอกาสเข้ามา แม้ว่าจะต้องพรัดพรากจากลาถิ่นฐาน ก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้
ผมบวชเรียนอยู่ที่นี่ได้เกือบปี มีอยู่วันหนึ่ง ทางวัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพฯ มีจดหมายมาติดต่อขอสามเณร 60 รูป ให้ไปประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านเจ้าอาวาสจึงประกาศว่า ถ้าหากใครท่องบทสวดมนตร์นวโกวาทจบหนึ่งเล่ม จะให้ไปอยู่กรุงเทพฯ
ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ด้วยความเป็นเด็กและอยากรู้ว่ากรุงเทพฯ มันเป็นยังไง เห็นแต่ใครๆก็พูดว่า เป็นเมืองใหญ่ กว้างขวาง สะดวกสบาย ผมกับเพื่อนสนิทของผมก็พยายามท่องบทนวโกวาทจนจบเล่ม จึงติด 1 ใน 60 ได้ย้ายไปอยู่วัดไตรมิตร สมดังใจ
เมื่อได้มาอยู่ที่นี่ ผมรู้สึกไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่ รู้สึกว่าดูอะไรๆ มันวุ่นวาย จอกแจกจอแจ ผู้คนมากมาย รถราเยอะแยะไปหมด แต่ก็พยายามคิดว่าอยู่ไปสักพักหนึ่งก็คงจะเคยชินไปเอง แต่เมื่ออยู่ได้ประมาณ 7 วัน พระอาจารย์ก็ให้ผมและเพื่อนสนิทที่มาด้วยกันย้ายไปอยู่สำนักสงฆ์เขาแม่ชี อ.ปากช่อง โคราช ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมจึงรู้สึกผูกพันกับสถานที่แห่งนี้มากที่สุด ผมบวชเรียนอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุ 13 จนกระทั่งอายุ 16 ผมได้เรียนนักธรรมบาลีอยู่ที่นี่จนจบนักธรรมชั้นเอก
หลังจากผมเรียนจบนักธรรมบาลีแล้ว ผมต้องย้ายไปประจำที่วัดหลักสี่ กรุงเทพฯ ผมตั้งใจว่าจะเรียนต่อ ก.ศ.น. แต่ท่านเจ้าอาวาสไม่อนุญาต ท่านให้เรียนแต่นักธรรมบาลีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ผมก็ยังแอบเรียน กศน. โดยที่เจ้าอาวาสไม่รู้ อยู่ที่ปทุมธานีจนจบมัธยมต้น
จนกระทั่งผมอายุได้ 18 ปี ผมต้องย้ายไปอยู่ที่วัดบางไผ่ อ.เมือง นนทบุรี ซึ่งก็ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก ในขณะที่บวชอยู่ที่นี่ ผมก็เรียนต่อที่โรงเรียนบาลีเตรียมอุดมศึกษา มจร.ที่วัดมหาธาตุ เขตพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ จนจบมัธยมศึกษาปีที่ 4
ระหว่างที่ปิดเทอมนั้น ผมไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อน มีโอกาสได้แวะเที่ยวลำพูนด้วย พวกเราแวะเที่ยวที่วัดพระธาตุหริภุญชัย ผมสังเกตุเห็นโรงเรียนเมธี เมื่อผมถามเพื่อนซึ่งเป็นคนพื้นที่นี้ ผมจึงรู้ว่ามีพระเณรเรียนที่โรงเรียนนี้ด้วย แล้วจึงแนะนำให้ผมรู้จักกับเจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง ผมจึงได้มาอาศัยอยู่วัดศรีบุญเรือง และเรียนต่อจนกระทั่งจบม.ปลาย
ชีวิตของผมนั้นระหกระเหเร่ร่อนไปเรื่อยๆ และยังไม่เคยรู้เลยว่าจะหยุดเดินทางเมื่อไหร่ ผมผูกพันกับสถานที่ที่เรียกว่า "วัด" มาตลอดเกือบ 20 ปี ผมคิดตั้งคำถามให้กับตัวเองอยู่เสมอ
....ผมต้องพเนจรอย่างนี้จนถึงเมื่อไหร่...
...ชีวิตของผมจะพบจุดจบแบบไหน...
...จะมีใครสักคนหรือเปล่าที่อยู่เคียงข้างกับผมไปตลอดเส้นทางเดินหรือแม้กระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิต...
ผมโตขึ้นเรื่อยๆ ความคิดก็เปลี่ยนไป เรื่องราวต่างๆมากมายที่ได้พบเจอ เป็นประสบการณ์และบทเรียนที่ยอดเยี่ยม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมเคยอาศัยวัดอยู่ใต้ใบบุญของหลวงพ่อมานานหลายปี ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมควรต้องอยู่ด้วยตัวเอง หลังจากจบมัธยมปลายแล้ว ผมจึงขอสึกจากการบวชเณรอันยาวนานออกมาเช่าหอพักอยู่ แล้วเรียนต่อ ปวส.ด้านอิเล็คทรอนิค ที่วิทยาลัยเทคนิคลำพูน
สัจธรรมของชีวิตโดยแน่แท้นั้น ผมคิดว่าตัวเองได้สัมผัสแล้ว แม้จะยังไม่ถึงที่สุดแต่ก็สามารถผ่านมาได้เกือบครึ่งชีวิต ช่วงเวลาที่ผมอยู่อาศัยหลับนอนที่วัด มีหลวงพ่อคอยส่งเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ ผมอยู่ในความดูแลของท่าน ผมอยู่ในผ้าเหลือง มีสุขภาพแข็งแรง แต่เมื่อผมสึกจากการบวชเรียนอันแสนยาวนาน มาใช้ชีวิตเป็นสามัญชนคนธรรมดา จนวันนี้ผ่านมาได้เกือบ 2 ปีแล้ว ผมต้องเรียนและทำงานส่งเสียตัวเอง ต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง ค่าใช้จ่ายมากมาย ค่าเช่าหอ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเทอม ค่าข้าวของเครื่องใช้ แล้วไหนยังค่ากินใช้แต่ละวัน บางวันต้องอดมื้อกินมื้อ บางวันต้องดื่มน้ำเปล่าให้หนักท้องไว้จะได้ไม่หิวข้าว สุขภาพก็แย่ลง ผอม ซีดเซียว ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงเหมือนเมื่อก่อน
แต่ผมก็ต้องอดทน ผมจดจำคำที่ยายสอนไว้ได้ขึ้นใจ
...ตั้ม แกต้องอดทนนะลูก ไม่มีใครที่มีชีวิตที่เรียบง่ายสวยงามเสมอไป ต่อไปในวันข้างหน้า แกต้องพบต้องเจอเรื่องราวอีกมากมาย ท้อได้ ล้มได้ แต่ต้องลุกขึ้นมาสู้ต่อนะลูกนะ...
ผมรู้สึกสะเทือนใจและหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก ผมคิดถึงยาย ยายที่ผมรักและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับคืนมาอีกแล้ว
อีกเทอมเดียวเท่านั้น ผมก็จะเรียนจบ ปวส.แล้ว มันมีลางสังหรณ์บางอย่างในใจลึกๆว่า หลังจากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของผม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ผมคิดแบบนั้น
ผมจากถิ่นฐานบ้านเกิดมานานแสนนานเหลือเกิน แล้วยังไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดของผมอีกหรือเปล่า บางครั้ง...ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมต้องเลือกเส้นทางนี้ ผมคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ที่อยู่ที่บ้าน คิดถึงยายที่จากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ คิดถึงพี่น้องที่ต่างแยกย้ายกันไปตามวิถีชีวิตของแต่ละคนที่ต่างเลือกเส้นทางเดินกันคนละอย่าง เพื่อตามหาฝันและหวังที่ตั้งใจไว้
บางทีในวันหนึ่ง ผมคงจะเลิกอ้างว้าง ผมหวังจะเลือกเดินได้ถูกเส้นทาง มีใครสักคนที่พร้อมเดินเคียงข้างไปด้วยกันตลอดรอดฝั่ง ชีวิตของคนเรา ระยะเวลานั้นสั้นนัก แม้หนทางนั้นจะว่างเปล่าสักเพียงใด
...ต้องฝ่าพายุฝน ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามภูเขา อีกมากมายสักเท่าใด ผมต้องค้นพบปลายทางที่เป็นของผมอย่างแท้จริงให้ได้ใน สักวัน...