กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ แซนโฮเซ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 16 กรกฏาคม 2537 (1994)(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป #438
คุณถามฉันเสมอ : ทำไมฉันไม่ทำทำแค่ตีปีศาจ และเตะพวกเขาออกไป แล้วทำให้ทั้งโลกเป็นอิสระ หรือทำให้ลูกศิษย์เป็นอิสระ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้กรรมของพวกเขาทั้งหมดหายไปเหมือนกับข้าวราดแกง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบสิ้น ทำไมยังมีกรรมเหลือค้างสำหรับชาตินี้ ซึ่งบางครั้งลูกศิษย์มีประสบการณ์ที่ทุกข์ทรมานและเจ็บป่วยด้วย แต่มันก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว เพราะนั่นคือคุณกำลังทำความสะอาดบ้านของคุณทุกๆวันด้วยการทำสมาธิและ "ไม้กวาด" มังสวิรัติ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรือ ผู้คนทำความสะอาดบ้านกันด้วยไม้กวาดด้ามยาว มันทำมาจากต้นไม้ หรือเมื่อคุณกินกะหล่ำปลีหรืออะไรทำนองนั้น คุณจะได้รับเส้นใยมากมายซึ่งเป็นการทำความสะอาดระบบร่างกายของคุณด้วย นั่นทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นในแต่ละวัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคุณยังคงดูอ่อนเยาว์มากกว่าก่อนการประทับจิตไม่ต้องการร้านเสริมสวยถูกไหม ไม่ ไม่ต้องการเลยจริงๆ
ดังนั้นเหตุผลว่าทำไมอาจารย์ไม่สามารถลบล้างกรรมของลูกศิษย์ได้อย่างสมบูรณ์หรือกรรมร่วมของโลก หรือแทรกแซงสถานการณ์ที่ไม่น่าชื่นชอบชนิดใดๆ ก็เป็นเพราะทั้งคู่ต้องเคารพกฎของโลกนี้ มันก็เหมือนกับสนามฟุตบอลที่ผู้เล่นต้องเคารพกฎเดียวกัน เราสามารถพูดคุยกันได้ แต่ไม่สามารถทำลายพวกเขาเพียงเพราะมีบางคนอยู่ภายในกลุ่มของเรา เมื่อเขาเตะคนอื่นที่เขาไม่ควรเตะ เราไม่สามารถทำอะไรได้ เขาต้องถูกไล่ออกไป ไม่ได้หมายความว่าเพียงเพราะเขาเป็นเพื่อนของเรา เราจะสามารถปกป้องเขาได้ เช่นเดียวกันเมื่อกลุ่มตรงข้ามเป็นฝ่ายชนะหรือทำบางสิ่งที่ถูกต้อง เราก็ไม่สามารถเตะพวกเขาหรือทำลายพวกเขาได้แค่เพียงเพราะพวกเขาอยู่ฝ่ายตรงข้าม
คล้ายกันกับโลกใบนี้ที่มีสองฝ่ายกำลังเล่นเกมกัน หนึ่งคือบวก - ด้านพวกเรา - และอีกอันคือลบ หรือที่เรียกว่าด้านศัตรู มันสร้างปัญหาให้กับพวกเราเสมอ สร้างอุปสรรคและทุกๆสิ่ง แต่พวกเราเป็นหนี้พวกเขาในบางสิ่งบางอย่างมาก่อน พวกเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ พวกเรามีความสัมพันธ์ระหว่างกันกับพวกเขาในช่วงชีวิตมากมาย ดังนั้นในตอนนี้เราไม่สามารถลืมสิ่งที่เราเคยทำต่อพวกเขา หรือบางสิ่งที่เพื่อนๆของเราได้กระทำต่อพวกเขาในอดีต แล้วเราจะทำเพียงแค่ปกป้องเพื่อนของเราโดยจัดการกับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เป็นธรรม หรือในแบบที่ไม่ยุติธรรม
ไม่ใช่ว่าเราไม่มีพลัง ไม่ใช่ว่าอาจารย์ทำสิ่งใดไม่ได้ อาจารย์สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลทั้งจักรวาลได้ แต่พวกเราต้องยุติธรรม มิฉะนั้นเราจะไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะเป็นนักบุญหรือเป็นผู้บำเพ็ญอย่างนักบุญ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมบางครั้งคุณจึงเห็นอาจารย์มากมายต้องอดทนมาก เช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้า ท่านสามารถไปดินแดนพุทธะ(พุทธเกษตร)ใดๆหรือทำสิ่งใดก็ได้ที่ท่านต้องการ ท่านสามารถดูแลกรรมของเหล่าลูกศิษย์ได้ ท่านสามารถทำให้ผู้คนกลายเป็นอรหันต์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนกรรมของสถานที่เกิดของท่านเองได้ เมื่อเกิดสงครามความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องเพราะท่านไม่อยากปฏิบัติต่อผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างไม่ยุติธรรม นั่นทำให้ท่านต้องเสียชื่อเสียง ผู้คนมากมายรวมถึงลูกศิษย์ในเวลานั้นเสียความศรัทธาในตัวท่านและคิดว่าท่านไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ถึงแม้สมาชิกในตระกูลตัวเองถูกทำร้าย พวกเขากำลังถูกฆ่าฟันซึ่งท่านทำสิ่งใดไม่ได้เลย ท่านเพียงไปที่นั่นและพูดกับพวกเขาเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ท่านกระทำ ท่านพยามยามทำให้พวกเขาเชื่อผลกระทบที่เต็มไปด้วยอันตรายของสงครามและผลแห่งกรรม แต่พวกเขาไม่ฟัง พลังกรรมที่ดึงดูดพวกเขาเข้าด้วยกันกล้าแข็งเกินไป พวกเขายึดติดด้วยกันและตายด้วยกัน
พระพุทธเจ้าไม่สามารถแทรกแซงได้เพราะท่านเป็นผู้เล่นที่ยุติธรรม เช่นเดียวกับพระเยซูคริสซ์ ท่านมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์มากมายตามตำนาน ดังนั้นท่านต้องกระทำได้หรือสามารถรักษาตัวท่านเองได้ แต่ท่านไม่ทำ ท่านปล่อยให้มันเป็นไป มิลาเรปาแห่งธิเบตท่านหยั่งรู้ว่าท่านกำลังจะตายจากยาพิษ ท่านได้บอกกับผู้หญิงคนที่จะวางยาพิษว่า "เธอจงไปรับเงินค่าจ้างที่วางยาพิษฉันจากคนนั้นก่อน แล้วฉันจะดื่มมันลงไป มิฉะนั้นถ้าฉันดื่มมันแล้วและตาย เขาอาจจะไม่ให้เงินเธอ"
ดังนั้นพวกท่านหยั่งรู้ล่วงหน้าก่อนที่ท่านจะตาย พระศากยมุนีพุทธเจ้าหยั่งรู้ด้วยว่าท่านกำลังจะตาย ท่านพูดแล้วว่า "ฉันจะเข้าสู่มหาปรินิพพานในอีกสามเดือน" นั่นหมายความว่าจากโลกนี้ไป ซึ่งท่านยังหวังว่าพระอานนท์จะบอกท่าน "โปรดอย่าตาย" แต่บางทีพระอานนท์อาจกำลังคิดมากเกินไป หรือคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เขาอาจหิวคิดถึงจาปาติ ทำให้เขาไม่ได้ยินพระพุทธเจ้าพูดในเวลานั้น พระพุทธเจ้าพูดเป็นนัยๆถึงสามครั้ง แต่พระอานนท์กลับไม่พูดอะไร เขาน่าจะกำลังคิดถึงจาปาติมากกว่า การที่เธอออกไปบิณฑบาตรเพียงวันละครั้งเท่านั้น มันยากที่จะเฝ้ารักษาจิตให้เพ่งศูนย์ห่างจากจาปาติได้ ดังนั้นเขาไม่ได้ขอให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อไปในโลกนี้ หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าผิดหวัง พระองค์พูดว่า "ตกลงสามเดือนต่อจากนี้เราจะไปจากโลกนี้" แต่แล้วพระอานนท์ตื่นจากฝันจาปาติ และเขาร้องไห้ "โอ้ได้โปรดอย่าไป!" แต่มันสายไปแล้ว พระพุทธเจ้าถามถึงสามครั้งแล้วเธอไม่ตอบ นั่นถูกกำหนดแล้ว และพญามาร ราชาแห่งมายาอยู่รอบๆพระพุทธเจ้าเสมอ เมื่อพระอานนท์ไม่ตอบ พญามารจึงพูดว่า "เห็นไหม ไม่มีใครต้องการท่าน! ดังนั้นท่านต้องไป"
พระพุทธเจ้าพูดว่า "ดีแล้ว" ท่านรู้แล้ว แต่ท่านยังคงทำ ท่านสามารถรอเวลาอื่นเมื่อพระอานนท์กินอิ่มเต็มที่และทำสมาธิดี มีจิตใจที่แจ่มชัดแล้วค่อยถามคำถามนี้ ซึ่งพระอานนท์ควรจะรู้ว่าจะพูดอะไร "โอ้ได้โปรดอาจารย์ อย่าไป!" แต่ท่านเลือกพูดผิดเวลา บางทีท่านควรจะไปไม่ว่ากรณีใดก็ตาม แค่เหมือนกับมิลาเรปาหรือเหมือนกับพระเยซูคริสซ์ ท่านรู้ก่อนที่ท่านจะไป ท่านพูดว่า "นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะเห็นฉัน หลังจากพรุ่งนี้ หรืออีกเดี๋ยวเดียวเธอจะไม่เห็นฉันอีกต่อไป " ท่านรู้สิ่งนั้น ท่านยังบอกลูกศิษย์ว่าคนที่จุ่มขนมปังในซอสนั้นแบบนั้นแบบนี้ เป็นคนที่ขายท่านอาจจะเพื่อเงินสองร้อยดอลลาร์
ดังนั้นคนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เหล่านี้ของโลก พวกท่านรู้ทุกสิ่ง พวกท่านรู้ถึงสิ่งที่ท่านสามารถกระทำ แต่บางครั้งพวกท่านเล่นไปตามที่มันเป็น เพราะโลกนี้กำเนิดขึ้นมาจนมีสิ่งมีชีวิตแล้ว พวกท่านไม่สามารถทำลายมันได้ เนื่องจากมีผู้คนมากมายอยากจะอาศัยอยู่ ประชากรโลกทั้งหมดยึดติดกับโลกนี้และไม่อยากปล่อยไป ดังนั้นแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ทำลายมัน พระเจ้าจะไม่ทำลายมัน ถ้าหากกรรมไม่หนักจนเกินไป ถ้าหากมันยังคงสมดุลย์ แล้วโลกนี้ยังคงดำรงอยู่ แต่ถ้าโลกยังอยู่ก็ย่อมมีการให้และรับกรรมซึ่งมันจะไม่เคยจบ วันนี้พวกเขาฆ่าเขา แล้ววันอื่นลูกๆของเขาจะฆ่าพวกเขา และลูกๆของพวกเขาจะฆ่าลูกๆของเขาและอื่นๆ จนกระทั่งผู้คนกลุ่มนี้จะตื่นขึ้นด้วยตัวเองแล้วตระหนักถึงความเปล่าประโยชน์ของวงจรชั่วร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้นชั่วนิจนิรันดร์ แล้วพวกเขาหยุดแก้แค้นและอยู่นิ่งๆ ทุกๆสิ่งก็จะให้ผลแตกต่างออกไป
ผู้คนบนโลกนี้เอาแต่เล่นและเล่นตลอดเวลาไม่เคยหยุด พระพุทธเจ้าจึงต้องมาที่นี่ ท่านต้องเคารพกฎกติกาการเล่นของที่นี่ด้วย มิฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็จะไม่สามารถมาในสถานที่แห่งนี้ได้ตั้งแต่แรก ยกตัวอย่าง ถ้ามีประธานาธิบดีคนใดอยากจะเข้าร่วมทีมฟุตบอล ถึงเขาจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาและได้รับการเคารพทั่วทั้งโลก เขาจะสามารถเข้าร่วมได้โดยปราศจากการผ่านกฎใดๆ ของทีมฟุตบอลไหม คำตอบคือไม่! ผู้ร่วมทีมจะปฏิเสธเขา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นประธานาธิบดีแล้วจะสามารถไปที่สนามฟุตบอลแล้วเตะบอลไปรอบๆได้เลย
เช่นเดียวกับโลกนี้ ที่เป็นเหมือนสนามเล่นเกมของสรรพสัตว์ ระดับจิตสำนึกแบบนี้ โลกนี้จึงเป็นสนามเล่นของผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกเช่นมนุษย์ สัตว์ ภูตผีและปีศาจ คนเหล่านี้อยู่รอบๆโลกที่มองไม่เห็น ดังนั้นแม้ว่าพระเจ้าอยากจะมาที่นี่และชวนลูกๆของพระองค์บางคนมาที่บ้านหรือลองหาคนเหล่านั้นที่อยากจะมาบ้านกับพระองค์ พระองค์ก็ต้องเคารพกฎของที่นี่
ยกตัวอย่างเช่น หากประธานาธิบดีเกิดชอบผู้เล่นฟุตบอลบางคน บางทีเขาอยากเป็นเพื่อนกับดาราฟุตบอล ทางเดียวที่จะไปที่สนามและเป็นเพื่อนกับคนๆนั้นก็คือการเป็นผู้เล่นเสียเองด้วย อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเพียงครั้งคราวหรืออย่างเสแสร้ง ดังนั้นเขาต้องเรียนรู้กฎและเคารพพวกเขา แล้วสุดท้ายหรืออย่างช้าๆ ทีละน้อยเขาสามารถเป็นเพื่อนกับดาราฟุตบอล แล้วเขาจึงสามารถพูดคุยกับเขา ช่วยเขา หรือรักเขาได้ ให้ความสนใจต่อเขาหรือให้ความรักแก่เขาได้ มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ เพราะเขาเป็นประธานาธิบดี แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของสนามฟุตบอลทั้งหมด เขาก็จะไม่สามารถเข้ามาข้างในสนามได้ เพราะแม้แต่เจ้าของสนามก็ไม่สามารถมาข้างในได้ หรือแม้แต่คนที่รวยที่สุดในโลกก็ไม่สามารถเข้ามาในสนามฟุตบอลเพื่อเล่นและวนไปเวียนมาได้...