24 พฤษภาคม 2546 16:29 น.
เพียง ณ ห้วงหนึ่ง
(นิคมพจน์ :กาพย์ห่อโคลง)
น้ำหนอนวลนิ่งน้ำ ปริ่มปาน
ตาลกลั่นเกล็ดหวาน ยิ่งเข้า
ใกล้ชิดใคร่สนิทสาน บางสิ่ง
มดเมื่อมาชิดเจ้า ย่อมเฝ้าผูกพันฯ
น้ำนวลผวนใจผลาญ
ตาลเติมหวานยิ่งชวนฝัน
ใกล้ไปใจไหวหวั่น
มดก็พลันพลั้งเผลอใจ
20 พฤษภาคม 2546 05:29 น.
เพียง ณ ห้วงหนึ่ง
ครา...ครึ้ม...คราราตรีสีหมองหม่น
ไร้เดือนยลดาวเด่นเช่นคืนไหน
เพียงมืดมิดปิดป้องท้องฟ้าไกล
มองทางใดไร้ดาวสะพราวพรั่ง
ครืน...ครืด...คราดฝนสาดประพาสฟ้า
ประหนึ่งว่านภาน้ำตาหลั่ง
สายฟ้าฟาดครืน...ครืนสะอื้นดัง
ราวหมดหวังพลังสร้างช่างชานเชือ
เถิดจงรอ...รัตติกาลใช่นานนม
แสงสีส้มพรมฟ้ามาเรื่อๆ
ความมืดมนจะพ้นผ่านแสงจานเจือ
อรุณเอื้ออ้าตะวันจันทร์จะจร
เถิดจงรอ...พายุก่อก็ย่อมจาก
แม้จะพรากใจเศร้าหนาวสมร
หากไม่นานม่านฝนจะรานรอน
ฟ้าจะอ่อนปลอดโปร่งโล่งสักครา
อุปมาฟ้าหลังฝนอันสดใส
กับชีพใครคนหนึ่งซึ่งอ่อนล้า
หากอดทนยืนหยัดด้วยศรัทธา
ทุกปัญหาย่อมราร้างด้วยแรงเรา
18 พฤษภาคม 2546 07:25 น.
เพียง ณ ห้วงหนึ่ง
เคยไหม.....ใจล้าเหนื่อยอ่อน
เหมือนโลกร้อนระอุผุเผา
ฟ้าปิดมิดเมฆหมู่เทา
ใจเราเร่ร้างรอนแรง
เถอะนะ.....ทางแกแค่ง่ายๆ
หัดยิ้มไว้อย่างอิ่มเอมเต็มแสง
ยิ้มกับฟ้า-กับฝัน-ตะวันแดง
กับร้ายแรงของเรื่องราวที่ร้าวใจ
เพียงมีรอยยิ้มปรากฎ
โลกจะงด-จะงาม-จะใส
ฟ้าจะสวย-จะสด อบอุ่นไอ
หัวใจจะอิ่มเอม-เปรมดิ์ปรี
รอยยิ้มเสกสรรสันติภาพ
โอบอาบเอื้อสุขทุกที่
ประชาชนชื่นมื่น-ชื่นชีวี
สุขจะมีทุกสิ่งสรรพ......ชั่วกัลป์กัล
17 พฤษภาคม 2546 12:12 น.
เพียง ณ ห้วงหนึ่ง
.....ในห้วงฝัน
สุดปลายฟ้า...พบชั้น...ยืนแน่นิ่ง
ตาหลับ แต่เห็นจริง
ทุกสรรพสิ่งในตัวตน
ธาติดิน...สิงสถิต
ในดวงจิต-ความคิดค้น
ธาติน้ำ...ไหลในตน
เลือดยังข้นคนยังเป็น
ธาติลม...หายใจออก
เหมือนบ่งบอกความยากเข็ญ
ธาติไฟ...อย่างเยือกเย็น
ประทุเป็นเชื้อชีวัน
ร่างภาพจากมวลธาติ
จึงประกาศจากห้วงฝัน
กึกก้องอย่างเงียบงัน
สว่างพลันอย่างมืดมิด
.....ธาติรักค่อยปรากฏ
อย่างงามงดอย่างศักดิ์สิทธิ์
เยื้องย่างอย่างมิดชิด
แล้วสถิตอย่างเงียบงัน
17 พฤษภาคม 2546 07:19 น.
เพียง ณ ห้วงหนึ่ง
ในใบหนาป่าไม้ที่อ้าห่ม
ในสายลมพลิ้วพัดเพียงเพลงหวาน
ในทำนองซัดส่ายของสายธาร
ในดักดาน ณ เวิ้งเขา ที่ว้างใจ
แสงตะวันอีกจันทร์เพ็ญเป็นไฟฟ้า
กรมประปาคือลำห้วยช่วยน้ำใส
โรงเรียนรู้อยู่พงในดงไพร
อ้อมเขาใหญ่คือเขตบานบนลานดิน
ทั้งสองมือไม่มีทั้งแก้วแหวน
ทั้งสองแขนเสื้อมอซอก็ขาดวิ่น
ทั้งสองเท้าเปลือยเปล่าเคล้ากินดิน
ทั้งชีวินยินเพียงเสียงหัวใจ
หากนั้นเองบทเพลงแห่งเวิ้งเขา
แม้แก่เก่าแต่เล่าทุกยุคสมัย
แก้มมอมแมมแต้มยิ้มปริ่มหัวใจ
และหัวใจก็แต้มรักด้วยรักจริง
จึงแอบชื่นรื่นใจในเวิ้งเขา
ในความเขลาล้าหลังยังทุกสิ่ง
แต่ให้ได้-รับได้ในความจริง
และความจริงคือทุกสิ่ง....มาจากใจ