พี่จะแต่งงานวันที่ 1 มีนาคมนี้ น้องจะมาไหม ไปสิคะ พี่ชายแต่งงานทั้งที น้องไม่ไปได้ยังไงคะ แต่ว่าเราไม่สบายอยู่ เดินทางจะไม่เป็นไรเหรอ ไม่เป็นไรค่ะ อยากไปงานพี่ชาย ถ้าเรามาพี่ก็ดีใจมากนะ แต่ถ้าไม่สบายก็ไม่ต้องมานะ นั่นคือบทสนทนาระหว่างฉันและพี่ชายเมื่ออาทิตย์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ พี่ชายคนเดียวของฉันเพิ่งกลับมาจากทำงานต่างประเทศเมื่อตอนกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง พี่ชายคนโต คนเดียวของฉันน่ารักกับฉันเสมอ แม่มักจะว่าให้อยู่บ่อยๆว่าตามใจน้องจนน้องเอาแต่ใจ พี่ชายจะแต่งงานกับคนแปลกหน้าที่ฉันไม่เคยเห็น ความรู้สึกต่อว่าที่พี่สะใภ้ก็แปลกๆอยู่เหมือนกัน พี่ชายรู้จักกับว่าที่พี่สาวคนนี้จากการติดต่อของน้องเขยของตัวเองที่ทำงานอยู่ที่เดียวกับพี่ชาย คุยโทรศัพท์ติดต่อกันสองปีกลับมาเจอกันได้สองอาทิตย์ก็แต่งงาน พี่ชายจะเข้ากับเขาได้ไหม ฉันคิดของฉันไปคนเดียวขณะที่เดินทางกลับบ้านตอนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ เดินทางเที่ยงถึงบ้านสามทุ่ม ไกลเหมือนกันนะ โชคดีที่ไม่ค่อยไอเท่าไรตอนอยู่บนรถ ไม่งั้นเพื่อนร่วมทางคงรำคาญแย่ กลับไปถึงบ้านก็ไม่ได้นอนเลย ญาติพี่น้องมาถามข่าวคราว และเตรียมตัวเดินทางไปงานแต่งที่จังหวัดสกลนครซึ่งเป็นบ้านของเจ้าสาว กานต์ กินยาก่อนนะ แม่ไปซื้อยาที่อนามัยมาให้แล้ว น้องนอตไปเอาน้ำมา แล้วดูด้วยว่ากินยาไหม แม่ก็เป็นแบบนี้ทุกที รู้ทันทุกที ว่าไม่ชอบกินยา ฉันพลิกซองยาเล่นอยู่หลายนาทีแล้วก็วางไว้เฉยๆ แต่แม่กับน้องนอตไม่ยอมเฉย อิอิ กินยาเดี๋ยวนี้ เสียงแม่กับน้องนอต หลานชายตัวดีพูดพร้อมกัน ไม่มีทางเลี่ยง จำต้องกินยาไปสองเม็ด เฮ้อ เราเดินทางจากบ้านไปสกลนครตอนตีหนึ่งครึ่ง ไปถึงบ้านเจ้าสาวที่อำเภอสว่างแดนดินตอนเก้าโมงเช้า ไกลเหมือนกันนะ เดินทางติดต่อกันนานๆเหนื่อยเหมือนกันนะ ญาติเจ้าสาวและพี่ชายที่เดินทางล่วงหน้าประมาณสองอาทิตย์มาต้อนรับ อ้อมกอดของพี่ชายอบอุ่นเสมอ ตั้งห้าปีที่เราไม่ได้เจอกัน น้องยังเด็กอยู่เลยนะ อายุเท่าไรแล้ว 22 เหรอ โอย แก่แล้วค่ะ จะสามสิบปีนี้ค่ะ ยังเด็กอยู่เลยนะ ขาวขึ้นด้วย แต่ยังสมบูรณ์เหมือนเดิม และแล้วเสียงแม่ก็แทรกขึ้นมา กานต์มันโตแล้วล่ะ มัวแต่เห็นน้องเป็นเด็กอยู่นั่นแหละ ถึงไม่ยอมโตสักที เท่านั้นแหละ วงแตกเลยสองพี่น้อง พิธีการแต่งงานของพี่ชายเริ่มขึ้นตอนเก้าโมงครึ่ง เราตั้งขันหมากกันเป็นขบวนเล็กๆ แต่บรรยากาศก็สนุกสนานครื้นเครงดี การแต่งงานของพี่ชายก็ดำเนินไปตามประเพณีอีสานที่เรียบง่ายและอบอุ่น ฉันเดินไปทางไหนป้าๆยายๆของเจ้าสาวก็มาล้อมรุมเหมือนฉันเป็นของแปลกเลย อิอิ มาเป็นตาแพงแท้นาง เฮ็ดจุ๊กุ๊อยู่ ยายคนหนึ่งเข้ามาจับแขนแล้วก็ลูบๆอย่างทึ่งจัดในความสมบูรณ์ของฉัน ตาฮักตาแพงเนาะ เนื่อแข่นๆ ตาจับตาบายเนาะ เล่นเอาฉันเดินไปไหนไม่ค่อยสะดวกเลยสิ เขินคุณยายคุณป้าที่ไม่ค่อยเจอคนกินดีอยู่ดี อิอิ พอเสร็จพิธี พี่สะใภ้คนใหม่ของฉันก็ชวนไปเที่ยวป่า ไปเก็บผักติ้วไปฝากพี่น้องที่บ้าน ฉันก็ญาติๆก็นั่งรถสามล้อไปกัน เดินไปไม่ไหวแน่ แดดจัดมาก ฉันไม่ชอบกินหรอกผักติ้ว รสชาติแปลกๆแต่ก็ไปกับเขาด้วย ดอกผักติ้วก็สวยดี เล็กๆกินได้ด้วย เอามาต้มใส่ปลา บางคนก็เอาไปดองหรือกินกับน้ำพริกสดๆ ฉันดีใจที่ตัวเองตัดสินมางานแต่งงานของพี่ชายทั้งที่ตัวเองก็ไม่ค่อยสบายนัก งานนี้ได้พบทั้งคนในครอบครัวและญาติๆหลานๆที่อยู่คนละต่างจังหวัดหลายคน พี่ชายเองก็ดีใจจนน้ำตาจะไหล แต่ฉันไม่ร้องไห้แฮะงานนี้ จำได้ว่าตอนที่น้องชายแต่งงานร้องไห้เพราะเป็นห่วงมากๆ แต่ตอนนี้หายห่วงแล้ว โล่งอกไปได้ พี่ชายคงใช้เวลาปรับตัวอีกหน่อยในการอยู่บ้านของเจ้าสาว ท่าทางอยากกลับมาอยู่บ้าน แต่พี่สะใภ้ไม่ยอม ตอนที่หลานน้อยสองคนชวนกลับบ้าน พี่ชายก็น้ำตาซึมเลย แม่ก็เลยบอกว่า อยู่ไกลแม่ก็จะมาเยี่ยม ถึงลูกมีครอบครัวใหม่ แต่ครอบครัวเราก็ยังมีลูกเสมอ ทุกคนร่ำลาพี่ชายและพี่สะใภ้และเดินทางกลับบ้านที่โคราช แต่ยังยังไม่กลับพร้อมแม่ แต่จะไปไหนต่อ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังนะคะ
ถ้าเราแต่งงานกัน เรามีลูกคนเดียวพอนะคะ นิล อยากมีลูก อืม หมอว่ามีลูกตอนอายุเยอะไม่ดีนะ เดี๋ยวลูกปัญญาอ่อน จะเป็นไรไปล่ะ พี่ก็เก่ง นิลก็ไม่ได้ไม่ฉลาดนี่คะ หมอว่าผู้ชายอายุเยอะแล้วมีลูกไม่ดีหรอก สงสารลูกถ้าลูกปัญญาอ่อน แล้วเลี้ยงลูกยากนะ รู้ไหม จะยากแค่ไหนเชียว นิลครุ่นคิดถึงการสนทนากับแฟนหนุ่มทั้งคืน ลูกของเราคงน่ารักแน่ๆเลย เป็นสิ่งที่นิลคิดในใจเสมอ แต่แฟนของเธอไม่เห็นด้วย เดี๋ยวลูกดื้อเหมือนแม่ เวลาอารมณ์ดี แฟนของนิลจะแย้งด้วยประโยคนี้เสมอ พี่พร นิลอยากมีลูก นิลเปิดหัวข้อสนทนากับเพื่อนร่วมงานแต่เช้า อืม อายุก็เยอะแล้วนี่ มีได้แล้วล่ะ แต่ว่าเลี้ยวลูกนี่ลำบากพอดูนะ พี่มีสองคนก็แย่แล้วนี่ ทำไมใครๆก็ว่ามีลูกแล้วลำบากนะคะ เห็นมีกันทุกคน ตอนยังไม่มีก็อยากมีหรอก เห็นลูกคนอื่นน่ารักก็อยากมี แต่มีจริงๆแล้ว กว่าจะโต เหนื่อยนะ จริงเหรอคะ อยากลองบ้างจัง มีใครฝากเลี้ยงสักวันสองวันไหมเนี่ย บ้าจังนะเธอเนี่ย เออ น้องสาวพี่ที่เป็นพยาบาลเล่าให้ฟังว่าเมื่อวานมีคนเลี้ยงเด็กพาเด็กที่มูลนิธิมาหาหมอ มีแต่คนน่ารักนะ ถ้าอยากลองเลี้ยงก็ไปสมัครเป็นอาสาสมัครสิ โอย พี่พร ต้องทำงานนี่คะ จะไปได้ยังไงคะ ก็เสาร์-อาทิตย์ไงล่ะ ลองดูสิ จะได้รู้ใจตัวเองว่าอยากมีอยู่อีกไหม น่าสนใจนะคะ เดี๋ยวไปปรึกษาพี่เขาดูก่อนนะคะ แหม เกรงใจตั้งแต่ยังไม่แต่งงานเลยนะ ถ้าแต่งแล้วจะไม่หงอเหรอเนี่ย พี่พรกระเซ้านิลจนนิลหน้าแดงด้วยความอาย พี่พรก็ ไม่คุยด้วยแหละ ไปทำงานต่อดีกว่า หลังจากนั้นนิลก็ตัดสินใจไปสมัครเป็นอาสาสมัครเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มูลนิธิแห่งหนึ่งในวันเสาร์อาทิตย์ วันแรกสำหรับการทำงานของนิลเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้น แววตาของเธอเป็นประกายเวลาที่มองเด็กเล่นกันอย่างมีความสุข ก็ได้ยินสักพักเสียงร้องทั่วห้อง นิลทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะช่วยดูแลใครดี ตายแหละ จะทำอย่างไรดีเนี่ย ร้องกันหมดเลย เด็กคงหิว นิลรีบไปห้องนม เตรียมขวดนมมาให้เด็กๆ เด็กบางคนกินนมแล้วก็นอน เด็กบางคนก็อ้อนร้องงอแง ทำไงดีละน้องแนน พี่ไม่รู้จะดูใครดีแล้วเนี่ย พี่นิลเลือกได้ค่ะว่าจะดูแลใคร วันนี้ให้พี่นิลดูแลสองคนนะคะ ปกติที่นี่จะแบ่งเด็กสี่คนต่อพี่เลี้ยงหนึ่งคนค่ะ น้องแนน เด็กสาวจากที่ราบสูงที่เป็นพี่เลี้ยงอยู่มูลนิธิให้คำแนะนำว่านิลควรจะทำอย่างไรในการเลี้ยงเด็กแต่ละวัน งั้นพี่เลือกน้องหวิวกับน้องนนท์นะคะ โตแล้วคงดูแลไม่ค่อยยาก ไหวเหรอคะพี่นิล เจ้าหวิวงอแงที่หนึ่งเลยนะคะ ลองดูก่อนล่ะกันนะคะ ไม่ไหวจะบอกค่ะ นิลไม่ได้บอกใครว่าทำไมเลือกเด็กสองคนนี้นอกจากบอกแฟนของเธอ นิลเลือกเลี้ยงน้องหวิว เพราะชื่อคล้ายพี่ เลือกน้องนนท์เพราะเป็นเด็กคนแรกที่ยิ้มให้นิลค่ะ การทำงานวันที่สองของนิลลำบากขึ้น เธอได้เห็นพัฒนาการของเด็กๆวัยต่างๆ ได้เห็นพฤติกรรมของเด็กเวลาที่ต้องการความรัก ความสนใจจากพี่เลี้ยง บางคนเอาหัวโขกพื้นแรงๆจนหัวแดง บางคนนอนชักกระแด่วๆ บางคนร้องกรี๊ดๆ โดยเฉพาะน้องหวิวที่เธอเลี้ยงนั้น จะวางไมได้เลยต้องอุ้มตลอด ทำให้เธอดูแลน้องนนท์ไม่ค่อยสะดวกนัก ครั้นจะวางมือจากน้องหวิว ก็ไม่อยากเห็นภาพเด็กเอาหัวโขกพื้นเพื่อเรียกร้องความสนใจ เลี้ยงลูกยากเหมือนกันนะ นิลเริ่มคิดในใจ ถ้าเราดูแลคนเดียวคงไหวน่า แต่จะขอดูแลคนเดียวก็น่าเกลียดไปไม่เป็นไร เราต้องทำได้ ทำไม กุ้งปล่อยให้น้องร้องแบบนั้นล่ะ นิลถามพี่เลี้ยงเด็กอีกคนที่ปล่อยให้เด็กร้องไห้โดยไม่สนใจ แต่ทำงานอย่างอื่นต่อไป พี่ไก่สั่งไว้ค่ะว่าอย่าตามใจเด็กมาก เดี๋ยวเด็กเสียคน เด็กคนไหนร้องนาน ก็อย่าสนใจค่ะ เดี๋ยวเขาหยุดเอง บางคนยิ่งโอ๋ ยิ่งร้อง เดี๋ยวเด็กจะเสียคนค่ะ น่าสงสารออกค่ะ อุ้มเขาเถอะ ไม่ได้นะคะพี่นิล ที่นี่มีเด็กหลายคนต้องดูแล เราจะใส่ใจเด็กคนใดคนหนึ่งพิเศษไม่ได้ค่ะ เย็นวันนั้นนิลต้องกลับมาศึกษาพัฒนาการเด็กแต่ละวัยเป็นพิเศษ อดกังวลลึกๆว่าเมื่อโตขึ้นเด็กเหล่านั้นจะมีสภาพอารมณ์และพฤติกรรมอย่างไร เด็กที่นี่มีตั้งแต่แรกเกิดถึงเรียนมหาวิทยาลัย แต่ละคนมีที่มาแตกต่างกัน บางคนมีปัญหาครอบครัว บางคนพ่อเด็กไม่รับผิดชอบ บางคนถูกทิ้งไว้โรงพยาบาล บางคนพ่อแม่เสียชีวิต นิลเห็นใจพี่เลี้ยงมากแต่ไม่รู้จะช่วยพวกเขาอย่างไรในการเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้ เด็กไม่ใช่ตุ๊กตาที่นิลนึกอยากกอดก็กอด เป็นไงบ้างนิล ทำงานเลี้ยงเด็กสนุกไหม เหนื่อยค่ะ นิลตอบแฟนหนุ่มแก่ด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แล้วยังอยากมีลูกอยู่ไหมล่ะ ถ้าเรามีลูก พี่จะช่วยนิลเลี้ยงไหมคะตอนกลางคืน แล้วลูกเราจะเป็นคนดีไหมคะเมื่อโตขึ้น อืม ไม่รู้สิ นิลทำงานอาสาสมัครที่นั่นหลายเดือนจะผูกพันกับเด็กๆ บ่อยครั้งที่เธอเห็นแนวทางการเลี้ยงเด็กที่ไม่ค่อยถูกใจเธอนัก แต่นิลไม่มีสิทธิที่จะไปเข้าไปแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ เพียงแต่ให้คำแนะนำและแนวทางที่เธออ่านจากหนังสือมาแนะนำพี่เลี้ยง วันนี้ เจ้าเทพไปสร้างเรื่องที่โรงเรียนอีกแล้วพี่นิล ครูจอย ผู้ดูแลเด็กที่มูลนิธิเปรยให้นิลฟัง เมื่อวานถูกครูผู้ปกครองเจ้ากอล์ฟเรียกไปพบเรื่องเด็กโดดเรียน ครูหนู ครูผู้ดูแลเด็กโตเล่าให้นิลฟัง เลี้ยงได้แต่ตัวจริงๆเลยนะ พี่เลี้ยงหลายคนพูดแบบนี้ เวลาผ่านไปหกเดือนที่มูลนิธิที่เด็กกำพร้าสอนให้นิลรู้ว่าการเลี้ยงลูกไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่พ่อแม่เรายังเลี้ยงเรามาได้นี่ เราจะกลัวอะไรเล่า พี่ ถ้าเรามีลูกเราจะเป็นยังไงคะ ถ้าเราเลี้ยงเป็น ลูกเราก็เป็นคนดี ดูแลตัวเองและสังคมได้ แล้วเราเลี้ยงลูกเป็นไหมคะ ไม่รู้สิ ไปฝึกมาแล้วนี่เขา เย้านิลด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตกลงถ้าเราแต่งงานเราจะมีลูกกันเลยใช่ไหมคะ ไม่เอา สงสารลูกกลัวลูกปัญญาอ่อน ปัญญาอ่อนก็ลูกเรานี่ ยังไงเราก็ต้องรัก แล้วอนาคตของลูกล่ะ ถ้าไม่มีเราลูกจะอยู่อย่างไร ........................................................................ นิลอึ้ง รู้เพียงว่าอยากมีลูกแล้วรักลูกให้เหมือนที่พ่อแม่รักนิล
วันนี้ น้องกานต์ใส่ชุดผ้าไหมสวยจัง พี่เหน่ง เพื่อนร่วมงานเอ่ยทักแต่เช้า ขอบคุณค่ะ ฝีมือแม่กานต์เองนะคะ ตั้งแต่เลี้ยงไหม มัดหมี่ ทำเองทุกขั้นตอนเลยค่ะ โอ้โห ลูกสาวช่างนี่เอง แล้วลูกสาวทำอะไรเป็นบ้างจ๊ะ นั่นสิ ฉันทำอะไรเป็นบ้างนะ นอกจากใส่ผ้าไหมสวยๆพวกนี้ ไม่เป็นเลย คือคำตอบ จำได้ตอนเป็นเด็ก แม่จะใช้ให้ไปเก็บใบหม่อนมาเลี้ยงไหมวันละสองเวลา ตอนเช้าตรู่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ตอนเย็น ฉันกับน้องชายจะหิ้วตะกร้าคนละใบเข้าสวนหม่อน แล้วก็แข่งกันเก็บ ใครเต็มตะกร้าก่อน ก็ได้เลิกไปเล่นน้ำก่อน ส่วนใหญ่แล้วน้องชายจะเก็บเสร็จก่อนแต่ไม่ค่อยมีคุณภาพ คือเด็ดใบหม่อนแล้วก็หว่านใส่ตะกร้าซึ่งจะทำให้เต็มเร็วกว่าการยัดใส่ตะกร้าอย่างแน่นหนา แล้วน้องชายก็จะถูกใช้ให้มาเก็บซ่อมอีกรอบ หน้าตาใบหม่อนเป็นแบบนี้ค่ะ ตอนเช้าๆราวๆตีสี่แม่ก็จะตื่นขึ้นมาให้อาหารตัวไหมที่เลี้ยงใส่กระด้งที่วางเรียงกันไว้ในชั้นไม้ไผ่ แต่ละวันจำนวนกระด้งก็จะเพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตของตัวไหม แม่ให้อาหารตัวไหมประมาณ 4-5 ครั้งแล้วแต่ความขยันของคนเลี้ยงและการกินอาหารของตัวไหม แม่ฉันขยันมาก เลี้ยงดีมากให้อาหารเยอะจนลูกๆบ่นเพราะคร้านเก็บใบหม่อน ตัวไหมจะมีเวลานอนด้วย นอนประมาณสี่ครั้งถึงจะกลายเป็นดักแด้ที่อยู่ฝักที่เรียกรังไหม กว่าจะโตได้ก็หมดหม่อนไปหลายสวนเลย รายละเอียดปลีกย่อยมีอีกมากมายต้องถามแม่ว่าทำอะไรบ้าง ตัวหม่อนตัวเล็กเป็นแบบนี้นะคะ หลังจากตัวไหมสุกคือโตเต็มที่แล้ว ปกติตัวไหมจะสีขาวหม่นๆปนเขียวเพราะกินใบหม่อน พอตัวไหมสุกก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆหรือสีเข้มแล้วแต่พันธุ์ของตัวไหม เช้าที่ตัวไหมสุกจะถูกแม่ปลูกแต่เช้าเพื่อมาเก็บตัวไหมใส่จ่อที่ทำด้วยไม้ไผ่ พ่อจะเก่งมากในการเก็บตัวไหม เก็บเร็วมาก ช่วยงานเราได้เยอะเลยในขั้นตอนนี้ เก็บเสร็จก็จะให้ตัวไหมฟักตัวในจ่อหนึ่งคืน หลังจากหนึ่งคืนเราก็จะได้รังไหมสีเหลืองสวยเต็มจ่อ เราก็จะมาเก็บรังไหมออกจากจ่อมาใส่กระด้ง แล้วก็เก็บหยากไย่ออกจากรังไหมเอานำไปให้แม่สาวไหม เช้าวันสาวไหม แม่ตื่นแต่เช้าต้มน้ำร้อนแล้วนำรังไหมลงไปทีละน้อย วันนี้ฉันกับน้องชายจะมีความสุขมาก จะคอยวนเวียนมาช่วยแม่ทำงาน ช่วยตักดักแด้ออกจากหม้อ ทั้งตักทั้งกิน สนุกและอร่อยทีเดียว สงสารแต่พ่อ ช่วยงานมาตั้งนาน ทานดักแด้ไม่ได้เพราะกินทีไรท้อง เสียทุกที มาได้เส้นไหมดิบมา แม่ก็จะนำไปเข้าสู่กรรมวิธีต่างๆที่ฉันเรียกเป็นภาษกลางไม่ค่อยถูกนัก เพราะแม่พูดเป็นแต่ภาษาอีสาน เส้นไหมก็จะถูกนำไปย้อมสี กวัก ปั่น มัดหมี่ ทอ และอะไรอีกมากมาย เคยได้ยินแม่เรียกแบบนี้ การสาวหลอก คือกรรมวิธีสาว (ดึง) เอาไยไหมออกมาจากฝักหลอก (ฝักไหม) มาเป็นเส้นไหม โดยนำเอาฝักหลอก (ฝักไหม) ต้มใส่หม้อดินขนาดใหญ่ มีเครื่องมือคีบดึงเส้นไหมออกมาเป็นเส้นยาวติดต่อกันเป็นเส้นเดียวกันตลอดจนหมดทุกฝัก เมื่อดึงเอาเส้นไหมออกมาจนหมดทุกฝักแล้วจะเหลือแต่ตัวไหม (ตัวหนอน) ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ดักแด้" เป็นอาหารที่ให้โปรตีนและอร่อยมาก เป็นของโปรดของชาวภาคอีสาน ไหมที่ได้จากการสาวหลอกนี้เป็นไหมเส้นแข็ง เรียกกันว่า ไหมดิบ การเหล่งไหม ไหมที่สาว (ดึง) ออกมาจากฝักหลอกนั้น จะยาวติดต่อเป็นเส้นเดียวกันตลอด ชาวบ้านจะนำเส้นไหมดิบมาเหล่งไหม (คล้ายกรอไหม) เพื่อทำเส้นไหมให้เป็นปอยไหม ไหมแต่ละปอยที่เหล่งได้นั้นจะใช้ไหมหนักประมาณ 2 - 3 ขีด การด่องไหม คือกรรมวิธีนำปอยไหมที่ได้มาจากการเหล่งไหม มาต้มในน้ำเดือดโดยเติมผงด่าง เพื่อทำให้เส้นไหมอ่อนตัวลง หลังจากต้มในน้ำเดือดประมาณ 5 - 10 นาที จะนำไหมขึ้นมาบิดเอาน้ำออกจนหมด ผึ่งแดดและสลัดให้แห้ง ไหมที่ผ่านกรรมวิธีการด่องไหมแล้ว เส้นไหมจะอ่อนตัว และนิ่มลงกว่าเดิม การกวักไหม คือกรรมวิธีที่นำเอาปอยไหมที่ผ่านการด่องไหมแล้วมา "กวัก" เพื่อทำให้เส้นไหมติดต่อเป็นเส้นเดียวกันตลอด เพราะกรรมวิธีการด่องไหม จะทำให้เส้นไหมขาดไม่ติดต่อกัน จึงนำปอยไหมมา "กวักไหม" ให้เส้นไหมติดต่อกัน โดยใช้เครื่องมือสองอย่างคือ "กง" (สำหรับใส่ปอยไหม ทำด้วยไม้ไผ่และเชือก) และ "กวัก" การค่นไหม คือกรรมวิธีนำเอาไหมที่กวักเรียบร้อยแล้ว "มาค่น"ทำปอยหมี่เพื่อนำไป "มัดหมี่" ต่อไป เครื่องมือที่ใช้ค่นหมี่เรียกว่า "ฮงค่นหมี่" ปอยหมี่ที่ค่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ละปอยจะมีความยาวเท่ากับความกว้างขงผืนผ้าไหมที่ทอเสร็จเรียบร้อยแล้ว การมัดหมี่ เป็นกรรมวิธีที่สำคัญที่สุดที่จะทำผ้าไหมให้เป็นลายและสีสันต่าง ๆ ในการมัดหมี่ให้เป็นลายและสีต่าง ๆ นั้น ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีและความนิยมของผู้ใช้เป็นสำคัญ เพราะลายและสีของผ้าไหมมีมากมายเหลือเกิน เช่น ถ้าต้องการผ้าไหมมีลายเล็ก ๆ เต็มผืนและหลาย ๆ สี ต้องใช้ผู้ที่มีฝีมือประณีตในการมัดหมี่ ขณะเดียวกันค่าแรงงานในการจ้างมัดหมี่ก็แพงขึ้นด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการมัดหมี่ คือ มีดบางเล็ก ๆ หรือใบมีดโกนชนิดมีด้าม เชือก ฟาง (สมัยก่อนใช้กาบกล้วยแห้ง) "ฮงหมี่" และ "แบบลายหมี่" การมัดลายเต็มตัว (เต็มผืน) ผู้มัดจะต้องมัดลายตามแบบลายหมี่ให้เต็มปอยหมี่ (ผู้ที่ชำนาญในการมัดหมี่จะไม่ดูแบบลายหมี่) ส่วนการมัดลายครึ่งท่อน (ครึ่งผืน) ผู้มัดหมี่จะมัดเพียงครึ่งเดียวของปอยหมี่เท่านั้น ขั้นตอนการหมัดหมี่จะเริ่มจาก เอาปอยหมี่ที่ค่นเสร็จแล้วใส่ "ฮงหมี่" ใช้เชือกฟางที่ซอยเล็ก ๆ มัดลำหมี่แต่ละลำไปตามแบบลายหมี่ ส่วนของไหมที่ถูกเชือกฟางมัดนี้เวลานำไปย้อมสี สีอื่นจะไม่สามารถเข้าไปในส่วนนั้น ๆ ได้ จะคงสีไว้ตามเดิม และส่วนที่ไม่ถูกมัดจะมีสีตามที่ย้อม ถ้ามัดหมี่และย้อมสีสลับกันหลายครั้งจะทำให้ผ้าไหมมีหลาย ๆ สี การย้อมหมี่ คือกรรมวิธีทำให้ผ้าไหมมีสีต่าง ๆ โดยนำปอยหมี่ที่มัดหมี่เรียบร้อยแล้วไปย้อมสีในน้ำเดือด โดยสีย้อมไหมที่มีคุณภาพดี ถ้าหากต้องการให้ผ้าไหมมีหลาย ๆ สีเพิ่มขึ้น เมื่อย้อมหมี่ด้วยสีย้อมไหมเรียบร้อยแล้ว จะต้องนำไป "โอบหมี่" คือการใช้เชือกฟางที่ซยเล็ก ๆ พันลำหมี่ตรงส่วนที่ยังไม่ถูกมัดหมี่ ตามแบบลายมัดหมี่ การโอบ (พัน) ต้องโอบ (พัน) ให้เชือกฟางแน่นที่สุดและหลาย ๆ รอบ นำหมี่ที่โอบหมี่เรียบร้อย แล้วไปล้างสีออกในน้ำเดือด (จะล้างออกเฉพาะบริเวณที่ไม่ถูกมัดหรือโอบเท่านั้น) โดยเติม "ด่างเหม็น" (ผงด่างที่มีกลิ่นเหม็น" หมี่ส่วนที่โอบหรือมัดไว้ จะคงสีตามเดิมส่วนที่ไม่ถูกโอบหรือมัดจะถูกล้างออกเป็นสีขาว นำไปย้อมเป็นสีอื่นอีกครั้งหนึ่งตามต้องการ บางสีเมื่อย้อมและนำไปโอบ (พัน) เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องนำไปล้างออก ใช้สีอื่นย้อมทับลงไปเลยก็ได้ เช่น ย้อมสีฟ้าหรือสีน้ำเงินแล้ว ต้องการให้ผ้าไหมเป็นสีเขียว ต้องใช้สีเหลืองย้อมทับอีกทีหนึ่ง เป็นต้น การแก้หมี่ คือกรรมวิธีแก้เชือกฟางที่ใช้มัดลำหมี่แต่ละลำออกให้หมดโดยใช้มีดบางเล็ก ๆ หรือใบมีดโกนชนิดมีด้าม การแก้หมี่จะต้องทำอย่างระมัดระวังอย่าให้มีดถูกเส้นไหมขาด หมที่แก้เชือกฟางออกหมดแล้ว จะเห็นลายหมี่ได้สวยงามและชัดเจนมาก การกวักหมี่ คือกรรมวิธีคล้าย ๆ กับการ "กวักไหม" โดยใช้อุปกรณ์ในการกวักเหมือนกัน นำหมี่ที่แก้เรียบร้อยแล้วใส่ "กง" และกวักออกจนหมดบ่อยเหมือนการกวักไหมทุกประการแต่จะต้องระมัดระวังอย่าให้เส้นไหมขาดตอน เพราะเมื่อนำไปทอแล้วจะไม่เป็นลายตามต้องการ การปั่นหลอด คือกรรมวิธีนำเอาหมี่ที่กวักเรียบร้อยแล้วไป "ปั่น" (กรอ) ใส่หลอด (ทำด้วยต้นปอแห้งที่ลอกเปลือกแล้วยาว 2 - 3 นิ้ว) โดยใช้เครื่องมือเรียกว่า "ไน" หมี่หนึ่งปอยจะปั่นใส่หลอดได้ประมาณ 35 - 45 หลอด โดยปั่น "กรอ" เรียงลำดับของหลอดไว้ตั้งแต่หลอดแรกจนถึงหลอดสุดท้ายสลับที่กันไม่ได้ นำหลอดแรกบรรจุใน "กระสวย" (ทำทำด้วยไม้หรือพลาสติก) นำไปทอในไหมเครือ (เส้นยืน) ที่เตรียมไว้จนหมดจำนวนหลอดที่ปั่นได้ แม่เป็นช่างมัดหมี่ที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน มีลูกศิษย์มากมายและได้มีผลงานไปแสดงในศูนย์ศิลปะชีพมากมาย แต่น่าเสียดายที่ลูกสาวสองคนทำไม่เป็นเลยสักคน แม่ก็ไม่เคยสอนให้ทำด้วย ให้ช่วยงานแต่เล็กๆน้อยเท่านั้นเอง เวลาแม่ทอผ้าไหม แม่ก็จะบอกว่านี่ลายอะไร ฉันจำได้ไม่หมดหรอก จำได้แต่ลายช้าง ลายต้นสนเป็นลายแรกที่แม่ทอให้ลูกสาวทั้งสอง ส่วนเมื่อสองปีที่แล้วแม่ทอผ้าไหมไว้ให้แล้วบอกว่า ลายช้างสีส้มนะ ใส่แล้วจะขับผิว และเตือนใจว่าอย่างให้เป็นช้าง น่าเสียดายที่ตอนนี้ใส่ไม่ได้เสียแล้ว กว่าจะเป็นผ้าไหมมาได้ ขั้นตอนยุ่งยากพอดู แต่แม่ก็ยังคงเลี้ยงไหม มัดหมี่เป็นอาชีพเสริมหลังจากการทำนา ตอนนี้แม่อายุเยอะแล้ว ไม่ค่อยได้ทำงานมากแต่มีพี่สาวของฉันคอยช่วยเวลาที่แม่อยากเลี้ยงไหม ลูกๆรู้ว่าห้ามแม่ไม่ได้แน่เพราะแม่ขยันมากและภูมิใจในการทำผ้าไหมให้ลูกๆ ฉันจึงยิ้มยินดีเวลาที่ใส่ผ้าไหมแล้วเพื่อนๆแซวว่า สาวชาวบ้านมาแล้ว ใส่ผ้าไหมมาแต่ไกลเลย
พี่กานต์ ตอนนี้ถึงไหนแล้วคะ มะกรูดอยู่อนุสาวรีย์แล้วนะคะเสียงเจื้อยแจ้วถามมาทางโทรศัพท์ทำให้ฉันอดเป็นห่วงไม่ได้ ตายแล้วน้องฉันนัดกันไว้เที่ยงที่อนุสาวรีย์ เก้าโมงเช้ามารอแล้ว พี่กานต์อยู่บนรถจ้า สักสองชั่วโมงคงจะถึง หาอะไรทำก่อนนะคะ บอกน้องไปแต่ลึกๆอดเป็นห่วงไม่ได้ น้องสาวคนงามอุตส่าห์เดินทางไกลมาจากอีสานบ้านเฮามาพบเป็นในกรณีย์เฉพาะกิจ พี่สาวยังไปช้าอีก อดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้เจอน้องสาวที่คุยกันเกือบปีแล้ว น้องสาวที่น่ารักของฉัน ค่ะ มะกรูดรอได้ค่ะ จะให้รอตรงไหนคะ รอที่ร้านดอกหญ้าค่ะ ฉันไปถึงอนุสาวรีย์ก่อนเที่ยงครึ่งชั่วโมง เห็นน้องสาวเดินมาหาแต่ไกล เราเพิ่งพบกันครั้งแรก แต่แปลกจัง จำกันได้ ไม่ทักผิดเลย น้องสาวคนนั้นยิ้มแป้นมาแต่ไกลเลย ตัวจริงสวยกว่าในรูปตั้งเยอะแยะเลย แต่หุ่นเราเกือบจะใกล้เคียงกันเลยนะคะน้องมะกรูด เราไปทานก๋วยเตี๋ยวเรือกัน คราวนี้เราไม่กล้าทานเยอะเหมือนคราวโน้นแฮะ เห็นน้องสาวหุ่นดีก็อยากหุ่นดีบ้างน่ะสิ หลังจากนั้นเราก็ไปทานไอศกรีมกันที่สเวนเซ่น นี่ไงเหตุผลที่ไม่ทานก๋วยเตี๋ยวเรือเยอะ อิอิ ทานอาหารกันเสร็จ ยังไม่ถึงเวลานัดกับพี่เพื่อไปร้องเพลงคาราโอเกะอีก สองเสียงปรึกษากัน ไปไหนกันต่อ แล้วเราก็ตกลงกันได้ว่าเราจะไปประตูน้ำกัน (ที่จริงไม่ใช่ปรึกษาหรอกน่า อิอิ เพียงพลิ้วบังคับน้อง) สองสาวหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรังกันไปเดินประตูน้ำ หนักก็หนัก อยากซื้อของก็อยากซื้อ อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลานัด พอไปถึงประตูน้ำ เราก็ซื้อเสื้อผ้ากันใหญ่เลย น้องสาวได้เสื้อสามตัว พี่สาวได้เสื้อได้กระโปรง ได้กางเกง ครบเลย เหนื่อยแต่ก็สนุกว่าไหมจ๊ะมะกรูด ใกล้ถึงเวลานัดกับพี่ๆเราก็เดินทางกลับมาอนุสาวรีย์อีกครั้ง พี่สาวก้าวที่..กล้าเป็นคนที่สามที่เดินทางมาถึง โห ไม่เจอกันนาน เปลี่ยนลุคไปเยอะเลย แต่อย่างไรก็ยังสวยเหมือนเดิมเลย พี่คนเมืองลิง พี่สาวคนน่ารักของเพียงพลิ้วเป็นเหยื่อรายที่สี่ และพี่สาวที่น่ารักของเพียงพลิ้วอีกคนเดินทางมาเป็นรายที่ห้า เอ ยังไม่หมดแฮะเหลืออีกสอง ไม่นานนักคุณรี white lily ก็เดินทางมาถึงพร้อมเพื่อนของเธอ เมื่อพร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็ยังหิวอยู่ดี หกโมงพอดีเลย ไปกินก๋วยเตี๋ยวเรืออีกรอบจะเป็นไรเล่า หลังจากนั้นพวกเราเคลื่อนขบวนกันไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือกันอีกครั้ง เพียงพลิ้วกับ white lily ใกล้เคียงแฮะ กลมเหมือนกันเลย แต่สีผิวต่างกันเลย สำลีกับเม็ดสำลี ยังไงยังงั้นเลย อิอิ ได้เวลาดีหนึ่งทุ่ม เราไปถึงจุดหมาย I Plus Room ได้ห้องเบอร์ห้าเหมือน The Star ของพี่กุ้งหนามแดงเลย อิอิ สงสัยเราจะไปประกวด AF กันคราวนี้ พอเข้าไปในห้อง พนักงานก็อธิบายวิธีการเลือกเพลงเรียบร้อย สองพี่น้อง เพียงพลิ้ว แมงกุ๊ดจี่ ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น น้องจับไมค์ พี่สาวเต้น เพลงคนใจง่าย ประเดิมเลย ช่างสมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆเลย พี่สามคนๆพากันสั่งอาหารและเครื่องดื่ม น้องสองคนเลือกเพลง น้องอีกสองคนเต้นบวกร้องกระจาย อิอิ พี่สาวคนเมืองลิงกับพี่ก้าวที่..กล้า ไม่ค่อยร้องเท่าไร สันทัดฟังและวิจารณ์มากกว่า(อันนี้โดยเฉพาะพี่คนเมืองลิงหรือเปล่าหว่า อิอิ) เสียงแซวมาเป็นระยะๆ กานต์ พี่ว่าแกมาเต้นแอโรบิคไกลไปแล้วนะ กานต์ มาออกกำลังกายไกลจังเลย แต่มีรึ เราจะหยุด บอกแล้วเตรียมตัวมาดี ใช่ไหมมะกรูด อิอิ ส่วนพี่สาวอีกคนร้องได้ทุกเพลง น้องเลือกเพลงไหนไว้ ร้องไม่ได้ ยื่นไมค์มาให้คุณพี่ คุณพี่ได้หมดเลย ลูกทุ่ง สตริง หมอลำ ทั้งที่ไม่ค่อยสบาย แต่น้องบอกว่าให้มานั่งดูเฉยๆ อิอิ สรุปแล้วพี่สาวคนนี้ร้องได้หมดเลย เจ๋งจริงๆ พอหมดรอบสาวอีสาน สาวโรงงานก็เปลี่ยนกะ ปล่อยให้สองสาวสมุทรปราการบรรเลงบ้าง สุดยอดค่ะ น้องสำลี เธอเลือกเพลงได้ดีมากเลย หมดสามชั่วโมงแรก แต่คิวเพลงยาวไปถึงเช้า อิอิ สามชั่วโมงหลัง แดนเซอร์สองคนเริ่มหมดแรง หันไปสั่งอาหารชุดใหญ่มารับประทานกัน หมดกะสองกะสามเข้ามาแทน กะนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพหูมากๆ อิอิ พี่คนเมืองลิง และพี่ก้าวที่...กล้า มาในมาดคาราบาวชุด บัวลอย เกือบทั้งชุด แต่เพียงพลิ้วรึจะนั่งเฉยๆถ้าไม่ได้กิน อิอิ เต้นกระจายอีกรอบค่ะ ขณะที่สาวมะกรูดเริ่มจะหมดแรงท่าแร่ อิอิ เริ่มลงไปนอนที่โซฟาบอกว่าปวดหัว แต่ขอบอก (กระซิบๆ) นอนหลับยังหวงไมค์ค่ะ อิอิ หมดยกคาราบาวก็มีการแก้แค้นกันเกิดขึ้น ชัวร์ชะชะช่า อาละวาดทั้งชุด แต่ขอโทษ ร้องไม่ทันสักเพลง รู้สึกว่าคืนนั้น หกชั่วโมงผ่านไปเร็วมาก ตีหนึ่งแล้ว ถึงเวลาต้องกลับกันแล้ว คุณรีและเพื่อนแยกย้ายกันกลับ เราห้าคนไปพักด้วยกัน จองห้องพักสองห้อง แต่ขนผ้าห่ม หมอนมานอนรวมกัน พออยู่ด้วยกันมีรึจะได้นอน หยอกเย้ากัน ถามไถ่ พูดคุยกัน ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน กว่าจะได้นอนตีสี่ ตอนเช้าไม่อยากจะตื่นเลย เสียงพี่สาวปลุก กานต์ ตื่นไปอาบน้ำ เขาอาบกันหมดแล้วนะ ลืมตาขึ้นมามองนิดนึง แล้วนอนต่อ นั่นไง มะกรูดยังไม่อาบ มะกรูดอาบก่อนนะคะ ไม่รู้หลับไปอีกนานเท่าไร กานต์ ตื่น ถึงตากานต์อาบน้ำแล้ว เดี๋ยวค่ะ ว่าแล้วนอนต่อ กานต์ไปอาบน้ำ พี่จะพาไปกินข้าว เดี๋ยวพี่หยีต้องไปทำงาน กินข้าวเหรอคะ ตื่นก็ได้ค่ะ อิอิ เกือบสิบโมงเช้าที่เราออกจากที่พักและไปทานอาหารกัน กินอะไรกันดี ไปกินสุกี้กันดีกว่า ตกลงว่าเราไปกินสุกี้เอ็มเคกัน กว่าจะแยกย้ายกันก็เกือบเที่ยง ทุกคนมีท่าทางเหมือนไม่อยากแยกย้ายกันเลย แต่พี่ก้าวที่..กล้าต้องไปทำงานและพี่สาวต้องกลับบ้าน ตกลงเหลืออีกสามชีวิตจากลพบุรี สกลนครและพัทยาที่เดินทางมาไกล ยังไม่อยากกลับ ชวนกันไปเดินสวนจัตุจักรกันต่อ ช่างทรหดกันจริงๆ แดดก็แดดยังจะไปช็อปปิ้งกันอีก เราใช้เวลาที่นั่นไม่นานนักสองชั่วโมงได้ เดินกันไม่ไหวเหงื่อตกไปตามๆกัน แต่ทุกคนก็ได้ของฝากได้เสื้อผ้ากันถ้วนหน้า พี่คนเมืองลิงอ้อนอยากได้เสื้อเหลืองนาโน เพียงพลิ้วกับมะกรูดเลยหารสอง เมื่อได้ยินว่าจะเลี้ยงไ อติม อิอิ ของโปรดนี่นา เมื่อเดินกันเหนื่อยได้ที่ เราสามคนเดินทางไปส่งพี่คนเมืองลิงที่อนุสาวรีย์อีกครั้ง ก่อนไปมีหรือจะพลาดไอศกรีมถ้วยโต และเค้กอีกต่างหาก เล่นเอาพี่สาวบ่นอุบ น่าจะซื้อเสื้อเองนะเนี่ย อิอิ ทานไอศกรีมและคุยกันแล้วก็เย็นพอสมควร จึงแยกย้ายกันกลับบ้าน ฉันกับน้องสาวที่น่ารักย้อนกลับไปหมอชิตสอง เพื่อนั่งรถกลับบ้านกัน ฉันสองรถได้พอดี แต่น้องมะกรูดสิน่าสงสาร ต้องรอรถอีกหลายชั่วโมง สงสารน้อง อยากจะอยู่เป็นเพื่อนน้องก็อยากอยู่ แต่นึกถึงภารกิจที่รออยู่ จำต้องเดินทางกลับบ้านก่อนน้อง อดเป็นห่วงและกลัวน้องผิดหวังและเสียใจลึกๆ เย็นนั้น เราสองคนพี่น้องก็ได้แยกย้ายกันกลับบ้านด้วยความรู้สึกดีๆที่มีต่อกัน นี่เป็นอีกสองวันที่ได้บันทึกไว้ในความทรงจำของฉัน ขอขอบคุณ พี่คนเมืองลิง-ที่อำว่าจะมาไม่ได้ จนอดเสียใจไม่ได้ ขอบคุณค่ะที่พี่มา ตามใจกานต์แบบนี้ กานต์เสียคน อย่ามาว่ากานต์ทีหลังน้า ขอบคุณสำหรับเพลงคาราบาวชุดใหญ่ กานต์จำได้ไม่ลืมเลย อิอิ พี่สาวจากฝั่งธน-ขอบคุณนะคะที่มาช่วยถือไมค์ร้องเพลงคู่ สักขีแม่ปิงกับกานต์ อิอิ ถึงแม้เวอร์ชั่นนี้จะเร็วไปหน่อย แต่พี่สาวกานต์ร้องเพราะจังค่ะ และขอบคุณสำหรับเพลงบทเรียนก่อนวิวาห์ อาหารเช้าที่แสนอร่อย และมิตรภาพดีๆที่มีให้น้องๆ ขอบคุณมากนะคะที่มาเต้นจังหวะสโลว์ตอนน้องสาวมะระกรูดของพวกเรากำลังอินกับเพลงช้า อิอิ พี่ก้าวที่...กล้า ขอบคุณนะคะสำหรับอะไรดีค่ะ เป็นอันว่า เรารู้กันน่า อิอิ รักไม่ช่วยอะไร ใครน้าร้องเพลงนี้ และเพลงคาราบาวชุดนั้น อิอิ ขอบคุณคุณ White Lily และ น้องสำลี คนน่ารัก-ขอบคุณนะคะที่เดินทางมาไกลเหมือนกันเพื่อนมาร้องเพลงกัน คุณรีน่ารักมากนะคะ เสียงหวานมากรู้ไหมคะ เอาไว้คราวหน้าเรามาเปลี่ยนกะกันใหม่นะคะ ฝากบอกน้องสำลีด้วยนะคะ ทำหน้าที่ดีเจได้ดีมากๆเลยค่ะ เลือกเพลงไว้ให้ถึงเช้าเลย สุดท้ายขอบคุณน้องสาวคนไกลที่เดินทางไกลมา ค่ารถพันห้าเพื่อมาพบพี่สาวที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไรและมาร้องเพลงกัน สองวันที่เราได้พบได้คุยกัน เป็นช่วงเวลาที่ดีอีกวันหนึ่งของพี่สาวนะคะ ขอโทษที่อาจจะดูแลน้องสาวได้ไม่ดีนัก แต่ขอให้รู้ไว้ ยินดีต้อนรับเสมอนะคะ มะระกรูดของพี่
น้ากานต์ ดอกสะเลเตออกดอกแล้ว ห๊อมหอม เสียงน้องนอตรายงานผ่านสายโทรศัพท์เมื่อเช้านี้ เหรอ น้องนอต ดีจัง เก็บไปให้ยายหรือยังล่ะ ฉันพลอยตื่นเต้นไปด้วยเมื่อได้ยินเสียงตื่นเต้นของหลานชาย เก็บให้แล้วเมื่อเช้านี้ ยายเอาเหน็บหูไปวัดแล้วด้วย ยายยิ้มแป้นเลยนะ น้องนอตพูดถึงยายด้วยน้ำเสียงที่มีความสุขมาก จาฉันรู้สึกได้และพลอยยิ้มไปด้วย ดีจังเลย คงหอมมากสินะ น้องนอตดมเผื่อน้าด้วยนะ ครับ งั้นน้องนอตไปโรงเรียนก่อนนะครับ ครับ ตั้งใจเรียนนะครับ หลังจากวางหูจากหลานชาย ฉันก็นึกไปถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์กับพี่ชายที่อยู่ต่างประเทศไม่ได้ กลับบ้านไหมวันแม่ ยังไม่รู้เลยค่ะพี่ แม่บอกว่าไม่ต้องกลับหยุดแค่สองวันเอง ฉันตอบพี่ชายไปทั้งที่มือยังสาละวนกับการปั่นงาน กลับบ้านสิ แม่ยิ่งบ่นให้พี่ฟังนะว่าน้องกานต์เที่ยวเก่ง หยุดอาทิตย์ไหน ไม่เคยอยู่บ้านเลย ว้าย มีฟ้องกันด้วยแฮะ งั้นกลับบ้านดีกว่าค่ะ วันแม่ ไปหาแม่ดีกว่าค่ะ พ่อยิ่งไม่สบายและบอกว่าคิดถึงกานต์อยู่ด้วย ยังไงนะ น้องคนนี้ เดี๋ยวกลับ เดี๋ยวไม่กลับ กลับก็ดีแล้วจ้า แล้วเราซื้อของขวัญอะไรให้แม่ดีล่ะ ซื้ออะไรดีล่ะคะ เอาเงินให้คุณแม่แล้วให้แม่ไปเลือกซื้อเองดีกว่าค่ะ พี่ว่า เราน่าจะมีอะไรพิเศษมากกว่านั้นนะ เงินก็ให้แล้วมีอะไรพิเศษดีล่ะ แล้วพี่ว่าอะไรดีคะ ซื้อเสื้อผ้าใหม่ หรือสร้อยทองล่ะคะ เอางี้ พี่ไปถามเดี่ยวก่อนว่าเราจะซื้ออะไรให้แม่ดี เราสี่คนพี่น้องก็มีมิติเป็นเอกฉันท์ที่จะซื้อดอกสะเลเต(ดอกมหาหงส์)กอใหญ่ๆไปให้คุณแม่เป็นของขวัญวันเกิดสี่กอ จากลูกๆสี่คน โดยให้ฉันเป็นผู้รับผิดชอบเพราะพี่ชายและน้องชายไม่ได้อยู่เมืองไทยเลย คืนวันที่สิบเอ็ดฉันออกเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ แปดชั่วโมงบนรถประจำทางชั้นหนึ่ง อากาศไม่หนาวไม่ร้อน เย็นสบายชวนให้นอน ฉันนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ และนึกถึงดอกสะเลเตที่สั่งเพื่อนซื้อไว้ให้ที่บ้าน แม่จะรู้สึกยังไงนะ เมื่อเห็นของขวัญจากลูกๆ และนึกไปถึงอดีตเมื่อยี่สิบปีก่อน แม่คะ ดอกอะไรคะ หอมจัง ฉันถามแม่ตามประสาเด็กช่างสงสัยขณะที่นอนฟังนิทานกับพ่อแม่และน้องชายที่นอกชาย ดอกสะเลเตจ้า หอมนะ เมื่อตอนเป็นสาว แม่เอาเหน็บหูประจำเลย ใช่แล้ว พ่อหลงรักแม่ก็ตอนเอาสะเลเตเหน็บหูนี่แหละ อยากฟังเรื่องตอนพ่อเป็นหนุ่มไหม พ่อหันมาถามลูกๆ อยากฟังค่ะ/ครับ ฉันกับน้องชายตอบพร้อมกันเสียงใสตั้งท่าฟังพ่อเล่าเรื่องอดีตรักให้ฟัง งั้น แม่ไปนอนก่อนนะ ว่าแล้วแม่ก็เดินเข้านอน โดยไม่ฟังเสียงทักท้วง แม่คงเขินล่ะสิ พ่อเป็นคนร้อยเอ็ดเดินทางมาเยี่ยมพี่ชายที่แต่งงานและตั้งรกรากที่หมู่บ้านของแม่ในช่วงสงกรานต์ แล้วพ่อก็ได้รู้จักกับน้องชายของแม่และชวนกันไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่วัดที่มีหนุ่มๆสาวๆไปรวมกลุ่มเล่นน้ำกันอย่างหนาตา พี่ชอบสาวคนไหน บอกผมได้นะ เดี๋ยวผมติดต่อให้ น้าเกษมกระซิบบอกพ่อ พ่อกวาดสายตาไปรอบๆลานวัด สายตา สายตาก็ไปหยุดที่สาวร่างอวบ ผิวขาวเหน็บดอกสะเลเตที่หู คนนั้นน่ะ คนที่ใส่เสื้อสีชมพู แหม ฉันรู้แล้วว่าทำไมฉันชอบสีชมพู คนนั้นเหรอ ที่ผอมๆขาวๆใช่ไหม ชื่อนีนะ น้าเกษมเข้าใจว่าเป็นอีกคนที่ยืนใกล้ๆแม่ ไม่ใช่อีกคนที่อวบๆขาวๆ พ่อรีบปฏิเสธ อ้อ สวยๆคนนั้นชื่อพิมพ์ เป็นลูกกำนัน ไม่ใช่คนที่ทัดดอกสะเลเตที่หูน่ะ ไม่ได้นะ นั่นพี่สาวผม น้าเกษมเริ่มออกอาการหวงพี่สาว ไหนว่าจะติดต่อให้ไง ไม่ได้ ว่าแล้วน้าเกษมก็เดินหนีพ่อไป ฉันนึกสงสารพ่อในใจ แล้วพ่อทำไงครับ น้องชายถามแทรกขึ้นมา พ่อก็แอบมองแม่เดินไปวัดทุกวัน เห็นแม่ชอบดอกสะเลเตมากทัดหูไปวัดตอนเช้าๆทุกวัน พ่อเลยไปเก็บหาดอกสะเลเตมาให้แม่ปลูกกอหนึ่ง แม่เขาก็เลยชอบพ่อและได้แต่งงานกันในอีกสองปีต่อมา แล้วที่บ้านก็ปลูกดอกสะเลเตเรื่อยมา จนกระทั่งย้ายบ้าน เลยไม่ได้ปลูกอีกเลย เช้าวันที่สิบสอง ฉันก็ถึงบ้าน แวะบ้านเพื่อนไปรับดอกสะเลเตก่อนจะให้เพื่อนไปส่งที่บ้าน พอไปถึงบ้านลงจากรถสวัสดีพ่อแม่และญาติเรียบร้อยก็ยกของขวัญสี่ชิ้นมาให้คุณแม่ น้ำตาซึมเมื่อเห็นท่าทางชื่นชอบและดีใจของคุณแม่เมื่อเห็นดอกสะเลเต รวมทั้งสีหน้าปลาบปลื้มของคุณพ่อที่ลูกๆยังจำเรื่องราวเล็กๆน้อยๆได้ วันนี้บอกกับพี่ชายและน้องชายว่าดีใจมากที่เลือกให้ดอกสะเลเตให้คุณแม่ และวันนี้ดอกสะเลเตบานแล้ว แม่คงทัดหูทุกเช้า อยากกลับบ้านไปหอมแก้มคุณแม่จัง