"นกกาเหว่าเอ๊ย...ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก...แม่กาก็หลงรัก..." จำได้ว่าตอนสาวๆ ไม่ชอบให้แม่ร้องเพลงนี้กล่อมหลานชายคนแรกของครอบครัวเราเลย แม้ว่าเพลงกล่อมเด็กโบราณจะมีประโยชน์ต่อเด็กและจะแสดงถึงสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่แสดงความรักความผูกพันผ่านเสียงเพลง ช่วยพัฒนาการทักษะต่างๆ โดยเฉพาะสมอง แม่ยังเคยบอกเลยว่า "ก็เรา(แม่กับฉัน)เป็นแม่กาไง พี่สาวแกต้องทำงาน เราสองคนก็เลี้ยงลูกกาเหว่าไง ทนฟังไม่ได้เหรอ แสลงใจล่ะสิ" บอกไม่ถูกว่าทำไมเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าการเป็นแม่กาเจ็บปวดเพียงใด สองปีกว่าที่ได้ทำงานก็เด็กๆตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงเด็กวัยรุ่น ได้รู้จักชีวิตทุกวัยมากขึ้น หลังจากที่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก ด้วยความที่เป็นคนรักเด็กอยู่แล้ว แม้ไม่ใช่นางงามก็ตาม ทำงานไปได้ไม่เท่าไรก็ตกหลุมรักเด็กแปดเก้าเดือนคนหนึ่ง พัฒนาการของเขาดูช้ากว่าเพื่อนจนน่าใจหาย เวลาไปทำงานอดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วยป้อนข้าวป้อนน้ำและหัดให้เด็กเดิน ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยที่ไพเราะที่สุดเรียกว่า "มาม่ะ" นี่ไงลูกชายคนโตของฉัน เป็นความภูมิใจของดิฉันเลยทีเดียว ต่อมาไม่นานลูกชายคนที่สองของฉันก็ตามมา พัฒนาการช้ากว่าเพื่อนอีกแล้ว ขาของเขาดูอ่อนแอ หัวโตกว่าเพื่อนๆ แต่รอยยิ้มของเขาน่ารักนัก ไม่นานก็หลงรักเขาอีกจนได้ ทีนี้มีลูกชายสองคนอายุห่างกันแค่ห้าเดือนเก่งจังน้อเรา โชคดีจังที่ลูกชายทั้งสองคนเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ทุกเช้าที่ไปทำงาน สองหนุ่มน้อยวัยสองขวบกว่าๆจะวิ่งเข้ามาหาเสมอ เวลาเข้างานของฉันก็คือเวลาที่เด็กๆต้องมาเดินเล่นนั่นเอง ต่อมาห้องทำงานของฉันก็กลายเป็นสถานเลี้ยงเด็กอ่อน โชคดีที่เพื่อนร่วมงานเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ดี ก็เลยได้มีโอกาสเลี้ยงลูกทุกวัน แม้จะวันละไม่กี่ชั่วโมง แต่ความผูกพันนั้นเพิ่มมากขึ้นทุกนาทีเลยทีเดียว ทีแรกตั้งใจจะไม่รักเด็กคนไหนอีกแล้ว แต่ลูกชายคนที่สามของฉันก็มีจนได้ ลูกชายน้อยรูปหล่อของฉัน ยิ้มหวานให้แต่แรกพบที่เจอกัน ตกหลุมรักอีกแล้ว ลูกชายฉันเดินได้ช้ากว่าเพื่อนอีกแล้ว ด้วยความรักความผูกพันที่มอบให้ ไม่นานลูกน่อยคนนี้ก็เดินเก่ง แต่เวลาอยู่กับฉัน มักจะให้อุ้มเสมอ หวงแม่เป็นที่หนึ่ง เด็กคนอื่นๆจะเข้าใกล้ไม่ได้เลย ด้วยความที่เด็กที่นี่มีมากมาย พี่เลี้ยงจึงให้ความดูแลไม่ค่อยทั่วถึงเท่าไร เป็นธรรมดาที่เด็กจะติดฉันที่ดูแลเขาได้มากกว่าคนอื่นๆ ทุกๆเช้าเป็นภาพที่ชินตาของคนแถวนี้ที่เห็นสี่แม่ลูกหอบกระเตงกันไปกินขนม เล่น หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
เฮ้อ ว่างเสียที เดือนนี้น่าจะเป็นเดือนที่ยุ่งที่สุดของปีนี้ ต้องมานั่งทำงานตลอด 23 วันโดยไม่ได้พักผ่อนเลย จะบ่นให้ใครฟังก็ไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะสมน้ำหน้า และแล้ววันที่ 24 ก็มาถึง อุตส่าห์ลางานล่วงหน้าตั้งนาน จะได้ไปเที่ยวเสียที ทีแรกตั้งใจไปเที่ยวเมืองลิงแล้วค้างหนึ่งคืน แต่มีบางคนมาไม่ได้จึงจำเป็นต้องยกเลิก(แขกยกเลิกฝ่ายเดียว เจ้าภาพไม่รู้เรื่อง) ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง บอกแล้วเดือนนี้เบลอไปหมดเลย ก็หาเงินไปเที่ยวก็งี้แหละ อิอิ จากเดินทางไปเที่ยวเมืองลิงห้าคน เปลี่ยนแผนไปเป็นสามสาวเที่ยววัดพระแก้ว เที่ยวพระที่นั่งวิมานเมฆในกรุงเทพกัน ต่อด้วยซื้อของโบ๊เบ๊ วันที่ 24 พฤศจิกายน นัดกับพี่สาวที่น่ารักกับคุณเพื่อนสาวหวานแห่งบ้านกลอน 09.00 น. ที่ร้านดอกหญ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นั่งรถ 06.50 น. เมื่อรถมาถึงบางนาเสียงพี่สาวก็โทรมาบอกว่า จะมาช้าไปครึ่งชั่วโมง เมื่อคำนวณแล้ว คงถึงไล่เลี่ยกันทั้งสามคน ขณะที่นั่งอยู่บนรถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์ โทรศัพท์จากน้องสาวเมืองลิงก็โทรมาถามว่าเมื่อไรจะมาถึง อ้าว นึกว่าเราคุยกันแล้วนี่นาว่า เราไม่ไป เราจะมาเที่ยวบางกอกกัน คราวนี้ต้องยอมรับว่าทำหน้าที่ประสานงาได้ดีมาก ก้มหน้ารับชะตากรรมไปพลางๆก่อน โดนต่อว่าชุดใหญ่เลย อิอิ เมื่อสามสามพบหน้ากัน ถูกต่อว่าจากคุณเพื่อนเล็กน้อยถึงปานกลาง ไม่เป็นไร แค่นี้ทนได้ เมื่อได้ฤกษ์ดี เราก็เดินทางไปวัดพระแก้วกัน ขณะที่เราอยู่บนแท็กซี่เราก็ตกลงกันว่าเราจะไปลพบุรีหลังจากที่เราเที่ยววัดพระแก้วกันแล้ว ไม่ไปวัดพระแก้วก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะมีคนงอแง เพราะอยากไปเที่ยววัดพระแก้วมาก ผ่านไปหลายทีแต่ไม่เคยเข้าไป วันนี้ต้องพาไปก่อนค่อยพาไปต่อเมืองลิง เฮ้อ โดนมัดมือชกอีกแล้ว มื้อแรกของเรา คือร้านอาหารตามสั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ มองเห็นโรงพยาบาลศิริราชอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง ขอเวลาหม่ำกันนะคะ เดี๋ยวมาเล่าต่อ
พี่กานต์ มะกรูดจะไปหานะคะต้นเดือนเมษา มาสิ เดี๋ยวพี่จะชวนน้องเฌอมาด้วย จะได้พร้อมหน้าพร้อมตากัน หลังจากที่กลับมาจากสกลนครแล้ว ฉันได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวจ๋า แมงกุ๊ดจี่ ว่าอยากมาเที่ยวพัทยาช่วงพักร้อน ฉันจึงจัดการแผนการระทึกทัวร์ไว้ต้อนรับ น้องเฌอมาลย์ว่าจะเดินทางมาร่วมด้วย แต่พอถึงวันจริงไม่อาจจะเดินทางมาได้ เอาไว้คราวหน้านะคะน้องเฌอมาลย์ เดี๋ยวพี่กานต์จะพาไปเที่ยวใหม่ค่ะ เวลา 7.40 น.วันที่ 31 มีนาคมได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวจ๋า ว่ามาถึงพัทยาเรียบร้อย พร้อมกับเพื่อนชื่อปุ๊ก ที่เราเคยเจอกันแล้วคราวไปเที่ยวสกลนคร พาสองสาวเข้าไปมาอาบน้ำอาบท่าที่รังหนูของเพียงพลิ้ว จนกระทั่งเวลา 9.00 น. จึงได้เวลาออกเที่ยวพัทยา เราเริ่มต้นกันที่เขา สรท.5 แดดร้อนจัดเลย ทำให้นางแบบทั้งสามทำหน้าที่ไม่ถนัดเลย ได้แต่เดินชมวิวกันเล็กน้อยเท่านั้น ช่างเป็นไกด์ที่ไม่ได้เรื่องเลย น่าจะพาน้องมาเที่ยวตอนเย็นๆ จะได้เห็นวิวสวยๆของพัทยา เสร็จสิ้นจากการชมวิวอ่าวพัทยา เราก็ไปหาอาหารทานกันที่หาดจอมเทียน มาพัทยาแต่ก็ยังได้กินส้มตำปลาร้าอยู่ดี แอบได้ยินเสียงแมงกุ๊ดจี่บานอุบเลย อิอิ สั่งอาหารทะเลเกือบครบทุกอย่างเลย ยกเว้นเสาสะพาน เราสามคนใช้เวลาจัดการอาหารที่บอกว่าสั่งมาเยอะจังหมดในเวลาไม่กี่นาที แล้วหลังจากนั้น เราก็นอนผึ่งพุงกันตามอัธยาศัย เพียงพลิ้วกับแมงกุ๊ดจี่นอนหลับ เจ้าปุ๊กเป็นยาม อิอิ ตื่นขึ้นมา หาอะไรกินกันต่อเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยสาวมะกรูดเอาเท้าแตะน้ำทะเลเล็กน้อย เจ้าปุ๊กไม่ยอมใกล้น้ำเลย เป็นโรคกลัวน้ำ พวกฝรั่งโต๊ะใกล้ๆนั่งเล่นไพ่กันเฉยเลย เด็กส่วนใหญ่ไม่กลัวดำก็เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ภาพนี้มีคนแอบถ่าย แล้วยังแซวว่า รอลม อีกต่างหาก ฮ่วย เจ้าปุ๊กขอตัวเดินทางกลับก่อน น่าเสียดายที่ไม่ได้เที่ยวด้วยกันต่อ ตอนเย็นพามะกรูดไปเที่ยวชมสีสันเมืองพัทยา โชคร้ายที่ไฟดับ มะกรูดไปทางไหน ไฟก็ดับ เสียงพี่เหน่ง เพื่อนร่วมงานของฉันแซวว่าอาถรรพ์จริงๆ เดินชมกันจนเมื่อยเลย พี่เหน่งก็เลยเลี้ยงไอศกรีม ขอกระซิบบอกมะกรูดว่า โชคดีนะเนี่ยที่มีวาสนาได้กินไอศกรีมพี่เหน่งเลี้ยง อิอิ เช้าวันอาทิตย์ เราก็เดินทางไปเกาะสีชังกัน พร้อมนงนภัส น้องที่ทำงานของเพียงพลิ้ว พี่เหน่งและหลานจอมซนทั้งสามคน น้องเมย์ น้องมายด์ น้องธันวา ซึ่งเป็นสีสันที่ทำให้ทริปนี้ไม่น่าเบื่อ อากาศร้อน แดดจัดตามเคย แต่นักท่องเที่ยวทั้งหลายไม่ท้ออยู่แล้ว สู้ๆ มาดูกันเลยว่าเราไปเที่ยวไหนกันบ้าง เราสามคน เพียงพลิ้ว นงนภัส แมงกุ๊ดจี่ นอนค้างกันที่เกาะหนึ่งคืน ส่วนพี่เหน่งพาหลานๆกลับบ้านก่อน คืนระทึกก็มาถึง จำอะไรไม่ได้ จำได้เพียงว่าไฟดับ กับมะกรูดตะโกนลั่นทะเลถึงชื่อใครบางคน ได้ยินแว่วว่าเป็นเพื่อนเก่าเรานี่เอง ป่านนี้เขาคงคิดถึงมะกรุดแน่เลย เพียงพลิ้วคิดในใจ สายๆวันที่สอง เราก็เดินทางกลับกัน เสียงน้องนงบ่นอุบเลย ใครว่าจะตื่นแต่เช้าไปเดินเที่ยวไงล่ะ ไม่เห็นตื่นกัน อิอิ ไม่รู้ซะแล้ว ว่ามากับใคร ไม่รู้ว่ามะกรูดจะเข็ดหรือเปล่า อิอิ แต่อยากมาเที่ยวอีกก็มาได้ตามสบายนะคะ พี่เหน่งว่ามาคราวหน้าจะพาไปล่องแก่งค่ะ
มีคนส่งรูปภาพเหล่านี้มาให้ ไม่รู้เขาอยากให้เราใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นหรือเปล่าหนอ อ่านแล้วก็คิดทบทวน เรามองข้ามความรู้สึกของใครหรือลืมเอาใจใส่เขาหรือเปล่า ไม่รุ้สิ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางทีก็เหมือนจะเอาใจคนอื่น แต่บางทีก็เหมือนเมินเฉย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน หลายครั้งที่เกิดความไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ ฉันเป็นฝ่ายที่เงียบหายไปแบบไม่มีเหตุผล นี่เรียกว่าเป็นความไม่ใส่ใจหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ต้องยอมรับเลยว่ามีความกังวล ไม่สบายใจในสถานการณ์นั้น การแสดงความเอาใจใส่ หรือใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น ยากเหมือนกันนะ การที่ใครบางคนเสียสละมาทำอะไรให้ฉัน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักหรอก แค่เพื่อน คนรู้จัก แค่แสดงความกระกระตือรือร้นที่จะให้ความช่วยเหลือ รับรู้เข้าใจในรายละเอียดเล็กๆน้อย หรือบางครั้งจดจำคำพูดเล็กๆน้อยที่เราเคยพูดได้ แค่นี้หัวใจก็พองโตเป็นปลื้ม ขอบคุณในทุกความใส่ใจนะคะ บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองใส่ใจมากเกินไป คอยกังวลเสมอว่าป่านนี้ทำอะไรอยู่ อยู่ที่ไหน บางครั้งคนที่รับความห่วงใยจนเกินพอดีนั้นคงจะหงุดหงิดได้ได้เหมือนกัน ขอบเขตความใส่ใจอยู่ที่ไหนนะ การจะทำให้ถูกใจทุกคนเป็นเรื่องยาก แม้แต่ใจเราเองยังเอาใจตัวเองไม่ค่อยถูก หรือว่าจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะให้มองข้ามไปเฉยๆก็กระไรๆอยู่ ยากเหมือนกันนะเรื่องของจิตใจ ไม่ได้อายเลยที่จะใส่ใจความรู้สึกของคนรอบตัว แต่เกรงว่าแสดงไปจะไม่สบอารมณ์มากกว่า ถ้อยคำเดียวกันคุยกับคนหลายคนได้ผลออกมาไม่เหมือนกัน แต่รักที่จะใส่ใจแล้ว ย่อมไม่กลัวผลกระทบ อย่างน้อยสักวันเขาคงจะรับรู้ได้ แต่ถึงไม่รับรู้ เราเองก็รู้อยู่แก่ใจ อ่านข้อความในรูปภาพเหล่านี้แล้วคิดทวนซ้ำอีกรอบและขอโทษหากลืมใส่ใจความรู้สึกของใครไป
อีสานทัวร์ของฉันเริ่มต้นเมื่อตอนเที่ยงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เดินทางเข้าหมอชิตเพื่อต่อรถกลับบ้านที่โคราช ถึงบ้านสามทุ่มแล้วต้องออกเดินทางไปงานแต่งพี่ชายที่สกลนครตอนตีหนึ่งครึ่ง หลังจากเสร็จพิธีแต่งงานของพี่ชายราวบ่ายโมง ขออนุญาตคุณแม่ไปเที่ยวต่อ อิอิ ไม่จะไม่ให้ไปแต่ก็บอกว่านัดเพื่อนไว้แล้ว เลยโดนกระแนะกระแหนนิดหน่อยว่าชอบเที่ยว เหมือนใครบางคนว่าเลย หมั่นไส้คนมนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม อิอิ บ่ายโมงครึ่งนั่งรถจากอำเภอสว่างแดนดินเข้าตัวเมืองสกลเพื่อไปพบหวานใจ(ของใครไม่รู้) บ่ายสามโมง ทันทีที่ก้าวลงจากรถโดยสาร ฝนก็ตกกระหน่ำลงมาต้อนรับ มารับพี่หน่อย พี่อยู่หน้าที่ทำงานเธอแล้วนะ หลบฝนอยู่หน้าเลยนะ จ้า เดี๋ยวไปรับ สักพักน้องสาวจ๋า แมงกุ๊ดจี่ ออกมารับฉันเข้าไปในที่ทำงานของเธอ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เราได้พบกัน ครั้งแรกไปร้องคาราโอเกะทีได้บัตรจากไทยโพเอมตอนเดือนกันยายนปีที่แล้ว ดูมะกรูดไม่ค่อยเปลี่ยนไปมากนัก สีชมพูมาแต่ไกลเลยนะคะ เจอหน้าก็แซวกันเลย ยังไม่ได้พักเลยก็มีงานให้ทำเสียแล้ว พี่กานต์แปลงานให้หน่อย บทคัดย่อนิดเดียว ใครจะปฏิเสธเจ้าบ้านได้ล่ะ พอหมดเวลาทำงานของเธอ น้องสาวจ๋าก็พาเข้าที่บ้านพักของเธอ เพียงพลิ้วขอพักก่อนล่ะเหนื่อยเหลือเกินโดนทั้งแดดทั้งฝน ทั้งเดินทาง ขอนอนก่อนแล้วกัน ตื่นขึ้นมาแม่เจ้าบ้านตัวดีก็หาย มีแต่แขกสองสามคนที่เราไม่รู้จัก นี่ถ้าเพียงพลิ้วขี้อายสักหน่อย รับรองมุดอยู่ในห้องแน่ๆเลย แต่ไม่ใช่แบบนั้น ไม่กี่นาทีก็มีพี่สาวคนใหม่ พี่แป๋ว น้องชายตัวโตอารมณ์ดีอายุมากกว่า น้องกรี อิอิ เย็นนั้นมีปาร์ตี้ลูกชิ้น ปลาหมึกย่างน้ำโค้กอร่อยๆ กว่าจะได้นอนก็ตีหนึ่งเชียวแหละ เก็บของ นั่งคุยกันเพลิน ค่ำนี้มีโอกาสได้พบคุณอุ๋ย ปริณดา สมาชิกอีกคนของบ้านกลอนด้วย ตื่นเช้ามาน้องไปทำงาน พี่ยังนอนต่อ น้องมารับไปทานข้าวตอนกลางวันพอดี พี่แป๋ว น้องปุ๊ก สองพี่น้องที่น่ารักก็มาด้วย เราไปกินจิ้มจุ่ม ถล่มเจ้าภาพกันที่ร้านปรุงแต่ง สั่งยำสามสี่ชนิด รสชาติอร่อยทั้งนั้นเลย กลับมายังว่าจะทำจิ้มจุ่มกินกันเลย อาหารเต็มโต๊ะ แต่อีกไม่กี่นาทีต่อมา ก็เหลือสภาพนี้ อิอิ ขณะที่ทานอาหารกันอยู่ ฝนก็ตกลงมาอีก มาสกลคราวนี้มาพร้อมสายฝนจริงๆเลย หลังจากทานกันเสร็จ การเที่ยวเมืองสกลก็เริ่มต้น เริ่มต้นที่วัดสุทธาวาสที่มีพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่นและหลวงปู่หลุย ได้มีโอกาสกราบพระและทำบุญเล็กน้อย ออกจากวัดป่าสุทธาวาส สี่สาวสวยก็เดินทางไปยังหนองหานอันเป็นเป้าหมายของการมาเที่ยวเมืองนี้ของเพียงพลิ้ว อยากไปดูตะวันรอนที่หนองหาน แต่วันนี้อากาศไม่เป็นใจ ขอไปเที่ยวตอนแดดร้อนๆนี่แหละ หนองหานในจินตนาการไม่ค่อยเหมือนหนองหานในความจริงเท่าไร คิดว่าจะเจอบึงกว้างๆน้ำใสๆ แต่วันนี้น้ำไม่ค่อยใสเท่าไร และมีผักตบชวาเยอะเลย แต่ก็ไมได้ผิดหวังอะไร ก็เพื่อนร่วมทางออกจะน่ารักแบบนี้ เราไปถ่ายรูปกับรูปปั้นตัวละครในตำนานเรื่องผาแดง-นางไอ่ อันเป็นตำนานของหนองหานอย่างสนุกสนาน กลางแดดร้อนจ้า พี่แป๋วพาไปแวะทานไอศกรีมที่สวนสมเด็จย่า บรรยากาศร่มรื่นดี มีเด็กๆที่มีทัศนาจรมาปั่นเรือกันอย่างสนุกสนาน ไกด์ยังไหวแต่ลูกทัวร์ขี้โรคไม่ไหว อิอิ เลยต้องพากันกลับบ้าน ก่อนกลับแวะซื้อส้มตำ มะกรูดซื้อตำมะขามเทศ(เพิ่งเคยได้ยินที่นี่ค่ะ) ตำตะไคร้(อันนี้ก็กลัวค่ะ ไม่ชอบสมุนไพร อิอิ) ขอบอกว่ากลิ่นน่าทานมากเลย หอมหึ่งเลยเชียว ตกเย็นแผนที่จะคาราโอเกะ เป็นอันล้มเลิก เพราะฝนตกหนัก บรรยากาศน่านอน ลูกทัวร์งอแง เพราะง่วงจัดและเสียงไม่มี ขอบอกน้องมะกรูดว่าอย่าคิดมากนะคะ พี่สาวจ๋าไม่ได้เสียใจหรอกที่ไม่ได้ไป เดี๋ยวคราวหน้าจะเยี่ยมใหม่นะคะ คืนนั้นหลับฝันดี แต่เสียดายที่ต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางต่อ ชีพจรลงเท้าจังนะพี่กานต์ เสียงน้องสาวแซวลอดมา ตื่นเช้า แหะๆ ไม่รู้เช้าไหมสองโมงเช้า ต้องรีบเดินทางไปอุดรต่อ นัดกับเพื่อนที่ทำงานจะเดินทางไปหนองคายเพื่อนร่วมงานแต่งงานของเพื่อนที่ทำงานในวันที่สี่ นัดกันไว้สิบเอ็ดโมงที่บิ๊กซี อุดร ไปถึงตามเวลาเป๊ะๆเลย แต่ยังไร้วี่แววเพื่อนๆมา โทรตามบอกอีกร้อยกว่ากิโลถึงอุดร โมโหก็เลยเดินซื้อเสื้อผ้าเสียเพลินเลย อิอิ บ่ายโมงตรงเพื่อนที่เดินทางจากพัทยาก็มาถึง บอกที่มาช้าเพราะแวะบ้านเพื่อนอีกคนที่ชัยภูมิก่อน รถสองคันคนเก้าคนเดินทางจากอุดรสู่หนองคาย โดยพี่ๆให้ฉันนั่งหน้าเป็นคนบอกทางในฐานะคนในพื้นที่ ไม่รุ้เสียแล้วว่าอาจจะพาหลงทางได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็ถึงบ้านเจ้าสาว เราได้ร่วมทำผ้าป่าที่จะนำไปทอดวัดวันมาฆบูชา แต่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไม่อยู่ไปซื้อของในเมือง เราก็เลยออกไปเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำโขงกัน แต่เสียดายที่เขาปิดไม่ให้เข้าเพราะไปค่ำเกินไป พี่ๆจะพาไปตลาดอินโดจีนแต่พาไปแล้วหลงทางก็เลยกลับเข้าบ้านเจ้าสาว ตกเย็นก็ทานข้าวกัน ใครใคร่ดื่ม ดื่ม ใครใคร่นอน นอน สาวๆนอนกันแต่หัวค่ำ แต่พวกหนุ่มก็ดื่มเหล้ากัน ตื่นเช้าเราก็ร่วมพิธีแต่งงานของเพื่อน บรรยากาศที่นี่สนุกสนานมาก มีการร้องคาราโอเกะตลอดเวลา พ่อเจ้าสาวคงตื้นตันใจในงานนี้มากเลยเพราะจับไมค์ไม่ยอมปล่อยเลย คอยแนะนำให้เจ้าบ่าวรู้จักกับญาติๆ วันนี้รับหน้าที่เป็นช่างภาพ ถ่ายทุกช้อต หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจหน้าที่เพื่อน ขบวนของเราก็เดินทางกลับออกจากหนองคายไปยังบ้านของเพียงพลิ้ว เพื่อพักทานข้าวทานปลากัน เดินทางเที่ยงถึงโคราชสี่โมงเย็น พี่สาวต้มยำไก่บ้าน น้ำพริกปลาร้า ไข่เจียว ผัดผักให้ทาน รู้สึกว่าเพื่อนๆจะทานข้าวกันอร่อยมาก เพราะไปทางหนองคายได้ทานข้าวเหนียวกับอาหารอีสานดั้งเดิม ลาบเนื้อๆขมๆ ต้มแซบขมๆ มีการเผาเพียงพลิ้วให้แม่ฟังเล็กน้อย และแม่ก็บอกว่าถ้าคาหาลูกเขยให้แม่ได้แม่จะให้ค่านายหน้า อิอิ ฉันต้องรีบไล่เพื่อนให้เดินทางกลับพัทยาไวๆ เราพักที่บ้านฉันชั่วโมงหนึ่ง แล้วเดินทางต่อ ฉันต้องทำหน้าที่คนบอกทางอีก ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรหรอก ชี้บอกให้ไปทางโน้นทางนี้ จนคนขับรถดุบ่อยๆ เจ๊ อย่าชี้สิ บอกว่าไปซ้ายหรือขวา ไม่งั้นผมก็ต้องคอยมองแต่ปลายนิ้วเจ๊สิ เจ้าหนุ่มยังไม่รู้ว่าฉันมีปัญหาเรื่องทิศทาง อิอิ จนกระทั่งห้าทุ่ม เราก็ถึงพัทยากันโดยสวัสดิภาพ ได้เดินทางสี่วันเต็มๆก็เหนื่อย แต่สนุกดีนะคะ