ฉันตั้งใจมาหลายวันแล้วว่าจะเขียนบันทึกเกี่ยวกับความรู้สึกของตนเอง เกี่ยวกับคนรอบข้าง โดยจะใช้ชื่อเรื่องว่า ขาเมาส์ โดยเริ่มจากเมาส์ตัวเอง ในชื่อตอนที่ว่า "สาววัยทอง" แต่ยังไม่มีเวลาเรียบเรียงเรื่องเลย วันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้ายก่อนพักร้อนจะต้องหยุดงานหลายวัน แล้วจำได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของน้องชายเจ้าตัวร้าย เลยต้องลัดคิวมาเมาส์เจ้าตัวร้ายก่อนใคร ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดจากพี่สาวตัวดีก็แล้วกันนะคะ พบกับแขกรับเชิญพิเศษได้เลยค่ะ "ดอกข้าว" คือนามปากกาที่ฉันรู้จักเขา แต่ฉันไม่ค่อยเรียกเขาชื่อนี้หรอก "เจ้าตัวร้าย" ดูเหมาะกับเขามากกว่า เจ้าตัวร้ายเป็นหนุ่มน้อยปากกล้าในสายตาของฉัน เขาสนใจด้านการเมืองและสังคมเป็นพิเศษ เขามักจะเขียนกลอนการเมือง บทกลอนสะท้อนสังคม ดูมีสาระ ต่างจากฉันมากทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าเราจะคุยกันภาษาเดียวกัน คุยกันได้อย่างลงตัว เวลาฉันเข้าไปแสดงความคิดเห็นในบทกลอนของเขาแบบกวนๆ เขาก็จะตอบกลับมาในแบบที่กวนๆกว่า ฉันก็เลยเรียกเขาว่า "เจ้าตัวร้าย" เข้าไปอ่านทีไร แหม กวนได้ใจจริงๆ เมื่อหลายปีก่อน ดูเหมือนว่าเจ้าตัวร้ายมีปัญหาอะไรบางอย่าง ด้วยความอยากเป็นพี่สาวที่แสนดี เลยฝากเบอร์โทรไว้ในความคิดเห็นในบทกลอนของเขาโดยไม่คิดอะไรมาก ซึ่งเป็นช่องทางที่เราได้คุยกัน ได้รู้จักกัน เจ้าตัวร้ายก็ว่ากลับมาเสียงอย่างนั้น "เป็นผู้หญิงมาให้เบอร์ผู้ชายได้ยังไง" แต่ฉันก็รู้ว่าเขาเป็นห่วง เกรงว่าเราจะได้รับความเดือดร้อน เห็นไหมในความกวนๆของเขา ยังมีความน่ารักซ่อนอยู่ นั่งนับนิ้วไป ก็รู้จักเจ้าตัวร้ายมาหกปีแล้ว เราไม่เคยได้เจอกันเลย พี่สาวสัญญาว่าจะไปร่วมงานรับปริญญาของน้องชาย ก็ไม่ได้ไป เจ้าตัวร้ายซุ่มเงียบไม่บอกเลย เราได้คุยกันไม่บ่อยนัก เจ้าตัวร้ายไปเป็นทหารเกณฑ์ไปกินผักบุ้งทั้งราก 2 ปี นานๆเขาจะโทรมารายงานความคืบหน้าให้ฟัง ส่วนการเขียนกลอนก็ห่างหายไปนานมาก แต่จดจำวีรกรรมของเจ้าตัวร้ายได้เป็นอย่างดี หนุ่มลูกทุ่งซื่อ พูดจาตรงๆ กวนๆ เป็นเสน่ห์ของเขาเลยแหละ พี่สาวตัวดีคนนี้ไม่เคยให้อะไรน้องเลย ให้ตายสิ แต่น้องชายตัวร้ายมีของขวัญวันเกิดเป็นกระเป๋าสวยๆส่งมาให้ มีหนังสือ "ลำนำไพร"มาฝาก นึกแล้วฉันละอายใจตัวเองจัง เจ้าตัวร้ายเรียนจบ เป็นทหาร และตอนนี้ทำงานแล้ว พี่สาวยังไม่ได้ให้ของขวัญสักชิ้นเลย พยายามติดต่อเจ้าตัวร้ายมาหลายวันมาก แต่ติดต่อไม่ได้เลย ว่าจะส่งของขวัญวันเกิดไปให้ อดเลย พี่สาวขอใช้โอกาสนี้อวยพรวันเกิดให้น้องชายเจ้าตัวร้ายนะคะ ช่วงบ่ายพี่สาวจะออกเดินทางไปลพบุรีแล้วค่ะ แล้วก็จะกลับบ้านที่โคราชเลย ขอให้น้องชายของพี่มีความสุขมากๆนะคะ ประสบความสำเร็จในการงาน และชีวิตครอบครัว ขอให้ได้รับสิ่งที่ดีและได้ทำในสิ่งที่รักค่ะ สุขสันต์วันเกิด ใจพรายเพริศรวยพลังสู่ฝั่งฝัน ปรารถนาใดได้จริงทุกสิ่งอัน ฝากของขวัญเป็นกลอนอวยพรมา เจ้าตัวร้าย ทุกสิ่งหมายสมหวังดังฟันฝ่า เป็นที่รักของมิตรชิดอุรา ชื่นชีวาทุกสมัยหมดภัยพาล น้องชายของพี่สาว เมื่อถึงคราวสำคัญมั่นอธิษฐาน ขอพรฟ้าอวยชัยในทุกการ ทั้งเรื่องงานเรื่องรักอย่าหนักใจ สุขสันต์วันเกิด สิ่งประเสริฐนำทางสว่างไสว มีชื่อเสียงเลื่องชื่อระบือไกล วาดฝันใดได้ครองดั่งต้องการ สุขสันต์วันเกิดจ้ะ
"สักวันเราจะมีร้านดอกไม้กันนะ" พี่เหน่งเพื่อนร่วมงานคนสนิทของฉันชวนตั้งแต่ปีแรกที่ฉันเข้ามาทำงานที่นี่ ด้วยความที่เราต่างก็ชอบดอกไม้ ฉันชอบปลูกดอกไม้ พี่เหน่งชอบจัดดอกไม้ พี่เหน่งเคยทำงานจัดดอกไม้ในโรงแรมมาก่อน ทำให้เราคิดว่า เราน่าจะทำอาชีพนี้ได้ดี เราได้มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการจัดดอกไม้อยู่เป็นบางโอกาส ในงานพิธีต่างๆของที่ทำงาน เรามักจะได้รับหน้าที่จัดดอกไม้เสมอ นับว่าเป็นโอกาสดีที่เราได้ฝึกฝนเพื่อพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพของเรา หลายครั้งที่เราได้ไปเดินปากคลองตลาด พี่เหน่งจะตื่นตาตื่นใจกับความงามของดอกไม้เสมอ สมกับที่เป็นช่างดอกไม้จริงๆ การพาพี่เหน่งไปปากคลองนับว่าคุ้มค่าสำหรับฉันมาก เวลาที่เห็นเธอชื่นชมดอกไม้ ได้สำรวจราคาดอกไม้ เธอเคยแต่สั่งดอกไม้จากร้านในพัทยา เมื่อเทียบกับราคาที่ปากคลองแล้วมากกว่าเท่าตัวทีเดียว บ่อยครั้งที่เราชวนกันมาหอบดอกไม้ใบไม้จากปากคลอง เหนื่อยแต่สนุก ทำงานไม่มีค่าแรง เหนื่อยแต่อยากทำ เรามักจะเป็นเช่นนี้เสมอ คงเป็นความสุขทางใจมากกว่า หลายครั้งที่เราทำงานร่วมกัน ฉันเป็นคนคิดคอนเซ็ปงาน พี่เหน่วเป็นคนลงมือจัด และฉันคอยเป็นผู้ช่วย เราลองทำงานด้วยกันจะได้รู้ว่าเราจะทำงานด้วยกันได้ไหม ในการทำงานร่วมกัน หลายครั้งที่ขัดใจกัน เป็นเรื่องปกติ แต่ผลงานออกมากได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ทำให้เรามีความหวังที่จะมีร้านดอกไม้ด้วยกันสักวันหนึ่ง การจัดดอกไม้เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ แต่การขายดอกไม้ให้ได้ นับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา เรามักจะกังวลในด้านต่างๆเสมอ เช่น พี่เหน่งจะทำงานจัดดอกไม้ได้มากแค่ไหน ถ้ามีงานใหญ่ๆเข้ามาเราจะรับมือได้ไหม เนื่องจากนิสัยส่วนตัวนั้น พี่เหน่งจะทำงานได้ดีในช่วงต้น แต่ปลายแผ่ว หลังๆมาฉันจะเป็นผู้ลงมือเสียส่วนใหญ่ ส่วนฉันก็ไม่สามารถเป็นหัวเรือใหญ่ได้ เพราะประสบการณ์ยังน้อยและฝีมือไม่ถึง แต่ไอเดียบรรเจิด จนคนทำบ่นให้อยู่บ่อยๆ เราได้ศึกษาเองการมีร้านดอกไม้เป็นของตัวเองมาบ้าง เรามาทบทวนตัวเองกันบ่อยๆว่าเราเหมาะสมหรือไม่ ข้อสรุปคือไม่ ดังนั้นเราจึงเป็นเพียงมือสมัครเล่น คุณสมบัติของเจ้าของร้านดอกไม้ที่จำได้คร่าวๆคือ 1. เป็นคนรักในงานจัดดอกไม้ คงเป็นคุณสมบัติข้อเดียวที่เรามีอย่างเต็มเปี่ยม 2. เป็นคนช่างพูดช่างคุย อีกข้อหนึ่งที่เรามีอย่างหาที่ติไม่ได้ พูดจนลูกค้าหนีหมดอาจเป็นได้ คริๆ 3. มีความอดทน ข้อนี้น่าคิด และเป็นสิ่งที่เราขาด เราจะรับมือกับลูกค้าที่จู้จี้จุกจิกได้ไหมนะ แต่สิ่งที่เหน่งห่วงคือ ฉันจะทนกับความรู้สึกว่าลำบากได้ไหม หลังจากเคยสบายทำงานนั่งเก้าอี้เล่นเน็ตได้ไหมนะ 4. เงินทุนในกระเป๋า ทุนเรายังน้อย เราคงไม่มีเงินหมุนเวียนมากพอ 5. ฝืมือ ไม่อยากจะคุย คริๆ ฝีมือของเรายังไม่ดีมากนัก แต่เราจะหาโอกาสไปเรียนเพิ่มเติมอีก 6. การจัดแต่งหน้าร้าน ข้อนี้ก็ยากสำหรับเรา เพราะรสนิยมของเราต่างกันราวฟ้ากับดินทีเดียว 7. ทำเลดี อยู่ใกล้วัด ใกล้โรงเรียน มีที่จอดรถ และใกล้คิวมอเตอร์ไซด์ อยากมีทำเลดีก็ต้องลงทุนสูง 8. ลูกน้อง มีลูกมือดีถือว่าเป็นพรจากสวรรค์เลยทีเดียว ล่าสุดเราได้รับการว่าจ้างจากเพื่อนร่วมงาน ผู้ซึ่งเคยเห็นผลงานของเรามาบ้าง ให้ไปจัดดอกไม้ในงานมงคลสมรส นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราได้ฝึกฝีมืออีกครั้ง เราได้รับค่าแรงเพียงไม่กี่บาท แต่เรายินดีที่จะจัดให้เป็นอย่างยิ่ง ฉันเสนอไอเดียกับพี่เหน่งและเจ้าของงาน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเนอย่างดี แต่คนทำก็คือพี่เหน่ง พอถึงวันงานเราก็ช่วยกันทำงาน โดยมีน้องอีกสองคนคอยช่วยเหลือบ้างตามสมควร พี่เหน่งดูเหมือนว่าจะตั้งใจมากกว่าทุกครั้ง เราช่วยกันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหลายอย่าง เมื่อหน้างานไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เราใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการจัดดอกไม้ อาจจะดูช้าสำหรับมืออาชีพเมื่อเทียบกับค่าแรงที่ได้รับ แต่นับว่าเป็นบทเรียนสำคัญบทหนึ่งของเรา ดูเหมือนว่าพี่เหน่วจะมีความอดทนมากขึ้น บางทีพี่เหน่งอาจจะมีร้านดอกไม้เป็นของตัวเองไวๆนี้ก็ได้นะ หลังจากจบงานแต่ง เสียงตอบรับดีเกินคาด คู่บ่าวสาวได้เพิ่มค่าแรงให้อีกสองเท่าเพราะแขกต่างๆก็ชื่นชมว่าดอกไม้สวย ทีแรกเราไม่อยากรับ แต่มีเสียงคะยั้นคะยอให้รับมากเกินปฏิเสธได้ เราจึงได้ค่าแรงกันพอสมควร จากที่ตั้งใจจะช่วยงานด้วยก็ได้ค่าแรงมาแบบไม่ตั้งใจ หลังจากที่เราจัดดอกไม้เสร็จ เรามักจะรวบรวมผลงานของเราไว้เสมอ และมักเสนอหน้าดำๆของตัวเองไปถ่ายคู่กับดอกไม้สวยๆ แบบว่า...วิญญาณนางแบบในสายเลือด ประมาณนั้น คริๆ หลายปีที่เราเฝ้าฝันว่าเราจะมีร้านดอกไม้ ฝันของเรายังคงไม่เป็นรูปเป็นร่างสักที แต่เรายังคงฝันเสมอว่า....สักวันหนึ่ง...เราจะเป็นคนขายดอกไม้อย่างเต็มตัว...
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันมีเพื่อนสนิทหลายคน คนที่สนิทที่สุดก็คือหญิงอ้อ รูมเมทตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่ ส่วนคนอื่นก็พักอยู่คนละหอพักในบริเวณใกล้เคียงเดินไปมาหาสู่กันได้ เราส่วนใหญ่เป็นเด็กจากภาคอีสานยกเว้นหญิงอ้อ ลูกไล่ของฉันเองที่มาจากนนทบุรี เราแต่ละคนก็มีนิสัยและพฤติกรรมไปคนละแบบ ทั้งนี้เพราะสิ่งแวดล้อมของเพื่อนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น ฉันเป็นคนเกเร พูดตรง ไม่อ้อมค้อม นักเลงโตนิดหน่อย ส่วนหญิงอ้อเรียบร้อยปานผ้าพับไว้ เป็นที่แปลกใจของเพื่อนๆว่า "ทำไมถึงคบกันได้" "ปูกับซินจะแวะมาบ้านเราเย็นวันพฤหัส ให้เอาเสื้อผ้าไปนอนบ้านเรานะ" อ๋อย เพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เรียนด้วยกันและได้ทำงานร่วมกันบอกฉันในเย็นวันอังคาร ความจริงเราสองคนก็ไม่ค่อยลงรอยกันแต่ไหนแต่ไรแล้ว เนื่องจากว่าคุณเธอบำเพ็ญตนเป็นกูรูในทุกเรื่องจนบางครั้งฉันอดขัดคอไม่ได้นั่นเอง แต่ว่าเพื่อนก็คือเพื่อน เราจึงทำความเข้าใจกันได้เสมอ "อืม แล้วเราจะทำอะไรกันกินล่ะ" นี่แหละฉันตัวจริง ห่วงแต่เรื่องกินเสมอ "ตำส้มตำแล้วก็ย่างอาหารทะเล ซินบอกจะเอาปลาร้าจากอุบลมาฝาก" ซินเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันที่นิสัยคล้ายๆกัน ชอบเล่นกีฬา พูดตรงๆ แต่ที่แตกต่างกันนักคือซินเป็นคนมีความพยายามมุ่งมั่นสูงมาก ในขณะที่ปูเป็นคนเรียนดี ทะเยอทะยาน พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะแตกต่างกันเพียงใด แต่เรายังคบกันได้ น่าอัศจรรย์จริงๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไปตามวัฏจักรของโลก ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานเมื่อเรียนจบ ฉันมีโอกาสได้พบเพื่อนบ้างนอกจากอ๋อยที่พบเกือบทุกวันก็มีซินและหญิงอ้อที่ไปหามาหาสู่กันบ่อย รู้ว่าจะได้พบปูด้วย รู้สึกตื่นเต้นบ้าง เนื่องจากปูเป็นสาวมั่นมีอะไรให้ตื่นเต้นเสมอ เวลาที่พบกันเธอไม่ละเลยที่จะสอบถามความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ ฉันเลิกงานเย็นวันพฤหัส อ๋อยก็บอกว่า"ปูกับซินมาถึงแล้ว" สองสาวมารับฉันที่ที่ทำงานแล้วเราก็ไปตลาดกัน สี่สาวแยกย้ายกันซื้ออาหารที่ตนอยากกิน ฉันได้เมนูตำซั่วสูตรดั้งเดิมที่เราเคยกินด้วยกัน และน้ำพริกปลาร้า(ป่นปลาทู) และข้าวจี่ ส่วนอ๋อยได้ผลไม้และอาหารทะเล เราไปถึงบ้านอ๋อยกันตอนเกือบหกโมงเย็น ไม่รอช้าต่างแยกย้ายกันทำงานตามถนัด คุณนายไฮโซปูล้างผัก ปลอกทุเรียน(บอกว่าอย่าซื้อๆ ก็บอกว่าอยากกิน) โชคดีทุเรียนเหม็นไม่มาก เธอบอกว่าคงเป็นทุเรียนศรีษะเกษ บ้านเธออยู่ศรีษะเกษปลูกทุเรียนไม่มีกลิ่น ซินดี้แอบซื้อชะอมมาแกล้งอีก ตายแน่ๆทั้งทุเรียนและชะอม โชคดีที่อ๋อยก็ไม่ชอบชะอม ซินเลยอดลวกชะอม สมน้ำหน้า อิอิ บรรยากาศแห่งความเป็นเพื่อนยังเหมือนเดิม สารพัดเรื่อวราวทื่นำมาเล่าสู่กันฟัง แอบจิกแอบกัดกันพอหอมปากหอมคอ จะหาคำหวานจากกลุ่มนี้ คงไม่มีแน่ ความเป็นลูกอีสานของเรายังคงเข้มข้นเสมอ เมื่อเราอยู่ด้วยกันเราพูดภาษาอีสานกัน เมื่อีศัพท์โบราณๆหลุดออกมาจากคนใดคนหนึ่ง ก็จะเป็นที่ขบขันกัน เนื่องจากว่าเราไม่ค่อยได้ใช้คำเหล่านี้บ่อยนักในชีวิตประจำวัน ซินยังคงความเป็นหนึ่งเสมอในด้านการตำส้มตำ วันนี้ตำซั่วให้กิน ใส่แคบหมู ใส่ผักดองไปด้วย รสชาติเผ็ดปางตาย ฉันกินแต่ตำซั่วไปครกหนึ่งปากเจ่อไปหมดเลย ไม่ยอมกินมะเขือเทศเล่นเอาเพื่อนๆบ่นให้ไม่รู้สึกกินของดี ซินลืมเอาปลาร้าจากบ้านมาฝาก เราเลยได้กินปลาร้าจากตลาด เลยไม่อร่อยเท่าไร สงสัยไม่มีหนอน ปูว่า ฉันทำน้ำพริกปลาร้าหรือว่าป่นปลาทูให้เพื่อนกิน ปูชอบมากเอาข้าวจี่มาจิ้ม แล้วต่อด้วยข้าวสวย สงสัยว่าคุณนายไฮโซไม่ได้กินอาหารอีสานมานาน อ๋อย เจ้าของบ้านทำหน้าที่ย่างอาหารทะเล คุณนายปูสาวเก่งจัดการเรื่องเครื่องดื่ม งดเหล้าข้าพรรษา ทำอาหารเสร็จเราก็นั่งล้อมวงกินข้าวกัน หน้าบ้านนั่งเอง รสชาติอาหารและรสชาติการสนทนาออกรสออกชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้ทำงานวันนี้ สงสัยคุยกันได้ทั้งคืนแน่เลย ปูชอบดูละครวงเวียนหัวใจชอบน้องพิงค์กี้ ส่วนซินกับอ๋อยคุยกันต่ออย่างเมามัน ส่วนฉันเด็กดีอาบน้ำนอนก่อนใคร แต่ยังประทับใจในบรรยากาศการพบเพ่อนเก่าเสมอ สิบเอ็ดโมงครึ่งส่งสาวๆกลับบ้าน พร้อมคำอวยพรตามธรรมเนียมและเราคงได้พบกันอีกนะจ๊ะเพื่อนๆ
และแล้วก็ถึงเสียทีวันที่ 20 มิถุนายน 2552 หลังจากที่นัดกับเพื่อนๆบรรดาเจ้าจอมไว้ล่วงหน้าถึงสองเดือนกว่าๆ จอมเบี้ยวทางสกลก็ป่วยไม่สามารถมาตามนัดได้ จอมเสียบทางสมุทรสาครก็ติดงานมาไม่ได้ เป็นอันว่ามีสามจอมที่ยังว่าง จอมบงการเพียงพลิ้วรอเพื่อนๆที่พัทยา จอมโวยวายเฌอมาลย์จากลพบุรีจะมาสมทบพร้อมคุณยาแก้ปวดและหลานสาวอีกหนึ่งคน ส่วนคุณรี whitelily จอมวางแผนจากสมุทรปราการพร้อมเพื่อนสาวอีกสองจะเดินทางไปรอที่หาดทรายแก้วเองหลังจากที่เพียงพลิ้วบอกเส้นทางเสร็จสรรพ เพียงพลิ้วตื่นเต้นจังเลย ไม่ได้พบเพื่อนๆตั้งนานแล้ว ไหนจะเจอคุณยาแก้ปวดอีก โหจะวางตัวอย่างไรเนี่ย ตื่นเต้นจังเลย เช้าวันเสาร์เพียงพลิ้วตื่นแต่เช้าไปตลาดซื้อปูม้ามานึ่งไว้รอคุณเฌอมาลย์หลังจากติดหนี้มาหลายเดือน ปูสามกิโลพร้อมส่วนประกอบของน้ำจิ้ม "เอาให้แซบนะ" นี่คือคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตาม ได้ปูสามกิโลแล้วก็โทรเช็คเพื่อนๆว่าอยู่ไหนกันบ้าง คุณรีอยู่เอกมัย คุณเฌอมาลย์อยู่บ้านกำลังจะออกเดินทาง ทำกับข้าวไว้รอเพื่อนๆดีกว่า ขนไปเยอะๆ เดี๋ยวร้านที่หาดปิดหกโมงเย็นจะไม่มีอะไรกิน เตรียมไปเผื่อเช้าวันอาทิตยืด้วย จะได้ไม่ต้องซิ้อมาก อาหารที่หาดแพง ว่าแล้วก็นึ่งปู นึ่งไส้กรอก ต้มไข่ ข้าวผัดแหนม และซื้อไก่ย่างห้าดาว 2 ตัว หลังจากประเมินกำลังข้าศึกน่าจะพอ คนกินข้าวคงมีแต่เพียงพลิ้วนี่ล่ะมั้ง คนอื่นคงถนัดยอดข้าวมากกว่า อิอิ สิบเอ็ดโมงครึ่งคุณรีบอกว่าถึงแล้ว พร้อมกับแจ้งข่าวว่ารถมอเตอร์ไซด์รับจ้างคันที่คุณสำลีนั่งมาล้ม คุณสำลีเจ็บนิดหน่อยให้ซื้อยามาให้ด้วย ลงไปซื้อยามา หัวหน้าก็โทรมาพอดีให้เข้ามาออฟฟิสด้วย มีงานด่วนที่สุดนายเรียก โธ่เอ๋ย อุตส่าห์พักร้อนแล้วยังตามอีก กว่าจะเสร็จงาน คุณเฌอมาลย์ก็โทรมาว่าอยู่พัทยาเหนือแล้ว เอาล่ะทีนี้ ยังไม่ได้เตรียมอีกหลายอย่างเลย แย่จัง "อยู่หน้าโรงพยาบาลกรุงเทพ-พัทยาแล้ว ไปทางไหนต่อ" "ขับรถเลยไฟแดงมาอีก 1 ไฟแดง แล้วยูเทิร์นมารับกานต์ที่หน้าบุญถาวร กานต์ใส่เสื้อเหลืองนะคะ" ว่าแล้วก็รีบออกมารอที่หน้าปากทาง ออกมาสักพักก็ไม่เห็นรถมาถึงสักที "อยู่ไหนแล้ว" "อยู่หน้ามูลนิธิ....." "โห เลยไปตั้งไกล บอกว่ารอที่บุญถาวรไง" "รอแล้ว ไม่เห็นมีคนใส่เสื้อเหลืองเลย อ้อ เจอคนหนึ่งตัวผอมเชียว ยังคิดเลยว่าทำไมกานต์ลดความอ้วนได้เยอะจัง" "เดี๋ยวกานต์เดินไปหานะคะ รถนิสสัน ซันนี่หรือป่าวคะ กานต์เห็นผ่านไปแว้บๆ" "บ้า โตโยต้าวีโก้ย่ะ" "อิอิ รอแป๊บนะคะ เด๊ยวกานต์ไปหา" ห้านาที เราก็ได้พบกัน พร้อมกับคุณยาแก้ปวดและหลานสาว บรรยากาศในรถได้กลิ่นของมึนเมาเล็กน้อยถึงปานกลาง อิอิ คุณยาแก้ปวดขับรถมารับของที่หอพักของเพียงพลิ้ว พอเห็นสมบัติก็ตกใจเล็กน้อย อิอิ นี่ขนาดลืมไปบางอย่างนะคะ อาหารเครื่องดื่ม จัดไป ลืมห่วงยาง เสื่อ และโน้ตบุค ว่าแล้วก็บอกทางให้ไปหาดทรายแก้วกันต่อ พอไปถึงพัทยาใต้ โอ๊ะโอ "กานต์ลืมเค้กค่ะพี่ยา" "ต้องกลับรถไปเอาใช่ไหมเนี่ย" ขอบคุณพี่ยาค่ะ ถ้าเป็นเพื่อนกานต์คนอื่น บ่นไปสามเดือนไม่จบนะคะนั่น ว่าแล้วพี่ยาก็วนรถกลับมาหอพักของเพียงพลิ้วอีกครั้งเพื่อมาเอาเค้ก ตั้งใจไปจัดงานวันเกิดทั้งที ลืมเค้กได้ยังไงนี่ "ไหนๆก็กลับมา ก็เอาน้ำแข็งไปด้วยนะคะ" อิอิ ยังจะงกน้ำแข็งฟรีอีก พี่ยาก็แสนใจดีพาไปเอาน้ำแข็ง เสียงน้องที่ทำงานถามว่า "ไม่เอาเสื่อไปหรือ" อ้ายนี้รู้มาเสียด้วยว่าลืมเสื่อ อิอิ "ไม่เอาไปหรอก เดี่ยวเพื่อนรอนาน คร้าน" หลังจากได้เสื่อแล้ว มีเสียงบ่นเล็กน้อยถึงปานกลางจากสาวๆเมืองลพบุรี "จากลพบุรีถึงพัทยาสามชั่วโมง วนอยู่พัทยาเพราะกานต์พาหลงอีกชั่วโมง" โอ๊ะ โอ อีกแล้ว กานต์ลืมน้ำจิ้มปู อุตส่าห์ตำรสชาติจัดจ้านเลยนะเนี่ย ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้หาดทรายแก้ว หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว สามจอมและหนึ่งยาก็ได้พบกัน แนะนำตัวกันเสร็จเรียบแล้ว คุณโชเฟอร์ยาแก้ปวดก็ได้เวลาติดเครื่องต่อหลังจากอุ่นเครื่องมาเล็กน้อย ส่วนคุณเฌอมาลย์นั้นนำหน้าไปแล้วรีเจนซี่ครึ่งขวด รู้สึกว่าคู่นี้จะเป็นคู่ที่สูสีกันมาก คนหนึ่งกินเบียร์สิงห์ คนหนึ่งกินรีเจนซี่ แต่อาการเมานี่จะพอๆกัน อิอิ ในที่สุดยาแก้ปวดก็ตามทันเฌอมาลย์ในเวลาไม่นาน สาวๆแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาสัย ใครใคร่กิน กิน ใครใคร่เล่นน้ำ เล่น ส่วนเพียงพลิ้วเลือกทั้งกินและเล่น อิอิ พออิ่มแล้วก็ไปเล่นน้ำ ถ่ายรูปกระโดดตามที่เราคุยกันไว้ บางคนกระโดดขึ้น บางคนกระโดดไม่ขึ้น หุหุ บางคนก็กระโดดจนเหนื่อย แต่จังหวะกล้องไม่ดี รูปไม่สวย บางคนก็กระโดดจนลุกไม่ขึ้นในวันต่อมา เราเล่นน้ำกัน ถ่ายรูปกันเพลิน ส่วนคุณยาแก้ปวดก็ดื่มเพลิน คุยเพลินเหมือนกัน คุณหวีเพื่อนคุณรีได้พาพี่ชาย(ตามคำแนะนำ)มาด้วย เนื่องคุณพี่ทั้งสองเป็นชายหนุ่มจึงได้รับการซักประวัติตั้งแต่ก่อนพบกัน "พี่ชายหวี จริงหรือเปล่า" ทนายโจทย์ยาแก้ปวดถาม "พี่ชายจริงๆค่ะ อยู่บ้านเดียวกัน" จำเลยตอบ "พี่ชายนามสกุลเดียวกันไหม มีบัตรประชาชนยืนยันหรือเปล่า" "พี่ชาย คนละนามสกุลค่ะ" "พี่ชายเหมือนดาราใช่ไหมเนี่ย" "ไม่ใช่ค่ะ พี่ชายอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน" "งั้นไม่ใช่แฟนใครนะ" ฟังเสียงแล้วดูเจ้าเล่ห์พิกลแฮะ ว่าจะกระซิบเหมือนกันค่ะว่า "เห็นข้าวโพดไม่ได้เลยนะคะ" เหอ ค่ำแล้วได้เวลาขึ้นบ้านแล้ว พี่ยาเกรงว่าที่นอนเราจะไม่พอ จึงไปติดต่อเจ้าหน้าที่มากางเต๊นท์ที่หน้าบ้านกูด เราสี่คนพักที่บ้านกูด ส่วนคุณรีและเพื่อนๆพักที่บ้านช้างกัน ส่วนเวลาปาร์ตี้ก็นี่เลยบ้านกูดคลับ ขณะที่เพียงพลิ้วกำลังอาบน้ำก็ได้ยินเสียงโวยวายถามกันว่า "โทรศัพท์ซัมซุงของใคร" พอดีเพียงพลิ้วมีซัมซุงสีขาว เลยบอกว่า "ของกานต์ค่ะ" พี่ยาเลยวางไว้ข้างเตียง เพียงพลิ้วก็ไม่ได้สนใจโทรศัพท์อีกเลย ออกมาจากห้องน้ำก็เจอชายหนุ่มสามสี่คนมากางเต๊นท์ที่หน้าบ้าน โดยมีสองสิงห์สาวจากเมืองลิงคอยแทะเล็มอยู่บนบ้าน "อ้าว มาฉีดปลวกเมื่อเช้า ไม่ใช่แบบนี้นี่" หนุ่มทหารพูดด้วยความฉงนเล็กน้อย เพราะว่าเมื่อเช้ามาฉีดปลวกได้พบกับกลุ่มคุณรีสามสาวน้อยเปรี้ยวหวานซึงล่วงหน้ามาก่อนเรา แล้วเพิ่งเปลี่ยนบ้านพักกัน ตกเย็นมาเจอสาวรุ่นก๋ากั๋นก็ตกใจเป็นธรรมดา เหอๆ นั่งฟังสองสาวเมืองลิงแซวไป ก็นึกขำไป ปกติไปกางเต๊นท์กับเพื่อนๆบ่อยใช้เวลากางนานพอสมควร แต่เจอทหารกลุ่มนี้ไม่รู้ว่ากางแบบมืออาชีพหรือรีบหนีอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่เกินสิบนาที เสร็จเรียบร้อยพร้อมที่นอนซาติน หรูหราสมกับเดิทางมาไกล ได้เวลาปาร์ตี้แล้ว เราปูเสื่อกันหน้าบ้านกูด จัดเตรียมอาหารที่เตรียมมา ปูสดๆที่รสชาติหวาน อร่อย ของโปรดคุณเฌอมาลย์ เสียงเธอบอกว่ามาเที่ยวนี้คุ้มสุดๆได้กินปูสดๆได้เล่นน้ำทะเลด้วย (ที่สำคัญได้แทะข้าวโพดแกล้มเหล้า) เพียงพลิ้วได้กินปูที่พี่ยาแกะให้ อร่อยมากค่ะ ปกติไม่ค่อยกินปูเพราะว่าคร้านแกะค่ะ แต่ต่อไปนี้กินเองสบายเลยค่ะ ขอบคุณพี่ยานะคะสำหรับการแกะปูทุกๆตัว พี่ยาไม่ค่อยกินอะไรเลย เสียงสั่งให้เก็บไก่ย่างไว้ให้หนึ่งตัว จัดให้พร้อมบอกที่เก็บ คุณยาแก้ปวดและคุณเฌอมาลย์เป็นตัวสร้างบรรยากาศให้ทุกคนได้หัวเราะ โดยมีคุณทิวและคุณต้อง พี่ชายของคุณหวีเป็นเพื่อนดื่ม เพียงพลิ้วรู้ตัวแล้วว่านั่งในทำเลไม่ไดต้องย้ายที่ด่วน เลือกที่ไม่เลือก เลือกนั่งใกล้ถังน้ำแข็ง เป็นอันว่าขอมานั่งข้างนอกดีกว่าค่ะ เพราะว่าต้องเข้าห้องน้ำบ่อยและจะไปจับปูกันตอนดึกๆหน่อย รู้สึกว่าจะดื่มกันไปเยอะเหมือนกัน ต้องออกไปซื้อกันอีกสองรอบเลยทีเดียว เจ้าของวันเกิดได้เป่าเค้กวันเกิด เราให้คุณเฌอมาลย์เป็นตัวแทนมอบของขวัญให้คุณไวท์ลิลลี่ ของคุณชิ้นเล็กในกล่องใหญ่ที่เราเจ้าจอมสี่คนตั้งใจมอบให้ถูกบรรจุในกล่องใหญ่ ห่อห้าชั้น เจ้าของวันเกิดต้องใช้เวลาแกะนานเป็นพิเศษ "แหวนเพชรรึเปล่านี่" คุณเพื่อนเด่า "สบู่ลักส์ต่างหาก" และแล้วคุณเธอก็ได้พบกับของขวัญชิ้นพิเศษชึ้นนั้น ไม่รู้ถูกใจหรือเปล่านะคะ ต่างหูทองงรูปหัวใจสี่ดวงของเราสี่คนและของคนสวมอีกหนึ่ง เป็นห้าพอดี "เอ โทรศัพท์ใครน้า ดังหลายครั้งไม่มีใครรับ" เพียงพลิ้วคิดในใจ พอดังครั้งที่สามจึงให้คุณสำลีไปดู อืม ซัมซุงสีดำของใครกัน ของเพียงพลิ้วสีขาวนี่นา คุณสำลีวางไว้กลางวง ก็ไม่มีใครสนใจจะรับ เพียงพลิ้วจึงเดินไปรับ คงไม่ใช่ของคนแถวนี้แน่เลย โชคร้ายเขาวางไปก่อน เพียงพลิ้วจึงโทรกลับ "สวัสดีค่ะ" "สวัสดีครับ ใครพูดครับ" "เอ่อ จะพูดกับใครคะ" "พูดกับเจ้าของโทรศัพท์ครับ" "ใครเป็นเจ้าของโทรศัพท์คะ" "สำนักงานหาดทรายแก้วครับ แล้วมาอยู่ที่พี่ได้ยังไง" "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนีเรากำลังหาเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่พอดี โทรมาหลายทีไม่มีคนรับ พี่ก็เลยโทรกลับค่ะ" "พี่อยู่ที่ไหนครับ" "อยู่บ้านกูดค่ะ" "งั้นเดี๋ยวผมไปรับนะครับ" เท่านั้นแหละได้เรื่องเลย อิอิ สืบค้นกันใหญ่ว่าโทรศัพท์ซัมซุงเครื่องนี้เท่าได้แต่ใดมา เริ่มจากท่านพี่ยาไปติดต่อเต๊นท์ รับโบรชัวร์ แต่จำไม่ได้ว่าได้มาอย่างไร สงสัยเจ้าหน้าที่สนใจเลยแจกเครื่อง อิอิ สักพักเพียงพลิ้วไปจับปูกลับมา ได้ข่าวว่าทหารเอาเบียร์ลีโอมาให้สามขวด ค่าเอาโทรศัพท์คืน เขาหากันตั้งนานกว่าจะเจอ" อิอิ กลายเป็นว่าได้ความดีความชอบเสียด้วย อิอิ เพียงพลิ้วไปจับปูกับหลานสาว สนุกจังเลย ไปผูกมิตรกับเจ้าถิ่นสามตัว เจ้าโฮ่งที่ช่วยเราขุดปู เขาตั้งชื่อให้ด้วยว่า -เจ้าสุดหล่อ-ชอบเก๊กหล่อ เพื่อนขุดปูตัวเองนอนเฝ้ายาม ขุดได้สามทีเดินหนี ไม่เคยช่วยเราจับปูได้สักตัว -เจ้าสุดเท่ห์ ตัวนี้เก่งขุดเก่ง ขยัน พอขุดไปเหนื่อยๆก็เงยหน้ามามองเรา เรายุก็ขุดต่อ -เจ้าสุดสวย ตัวเมียตัวเดียวในกลุ่ม สุดเท่ห์ขุด สุดสวยตะครุบ โชคดีที่ไม่โดนเจ้าโอ่งกัดเพราะไปแย่งจับปู ถือว่าถูกฝึกมาดี กลัวเหมือนกันว่าจะโดนกัด ที่ไหนได้ เจ้าสามตัวเดินเป็นเพื่อนจับปูสี่รอบ ไม่บ่นสักคำ จนรอบที่ห้า เจ้าสุดหล่อหนีไปนอน ปล่อยให้สุดเท่ห์กับสุดสวยอยู่ต่อ คนก็เริ่มล้าแล้ว จนเวลาเลิกพอดี ให้คุณรีเอาไปปล่อยก่อนที่จะมีคนเอาไปแช่น้ำปลาก่อน กลับมาถึงประมาณเที่ยงคืนครึ่ง บรรยากาศในงกำลังเข้มข้น มีเหล้าเรื่องผีด้วย ปิดไป จุดตะเกียง โชคดีเพียงพลิ้วไม่ค่อยกลัวเท่าไร คุณต้องอยากเล่า เรื่องน่ากลัวแต่เหล้าไม่เก่ง คุณยาแก้ปวดก็เล่าเก่ง ตีหนึ่งได้เวลาปิดสำนัก พากันเข้านอน คุณยาแก้ปวดคงชินกับการนอนดึก นั่งเล่นคอมต่อจนถึงประมาณตี 3 รู้สึกตัวสามครั้งยังนั่งอยู่ ครั้งที่ 4 ลุกไปดูไม่เห็นแล้ว เข้าเต๊นท์ไปนอน โดนมีองครักษ์สุดสวยนอนอยู่หน้าเต๊นท์ ทีแรกเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ นึกว่าคุณยานอนนอกเต๊นท์กำลังจะลงไปดู แต่คำนวณขนาดแล้วคงไม่ใช่ เลยเข้าไปนอนต่อ ตื่นเช้ามาหกโมงเช้า ไฟตัด อากาศร้อน ไฟที่นี่มีปลั๊กเดียวไฟมาหกโมงเย็นถึงหกโมงเช้า ห้ามใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า โห ทรมานมากๆ อิอิ ตื่นมาก็ไปเดินเล่นกับคุณเพื่อน ไปถ่ายรูปทำแอ๊บแป๊วกัน เหอๆ แอบบ่นให้คุณเพื่อนเล็กน้อย "แหมเป็นแต่นางแบบ ไม่ยอมเป็นช่างภาพเลยนะ อิอิ" อากาศตอนเช้าๆ สดชื่น ไม่มีแดด เดินได้นานเลยค่ะ เลาะหาดไป เขียนทรายเล่นดูปูตอนเช้า ตัวเล็กกว่าปูตอนกลางคืน ไม่มีก้าม เมื่อคืนโดนปูหนีบมือไปสองที เจ๊บ เจ็บ เราถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ หลายบ้านก็ทยอยตื่นมาเล่นน้ำกันเหมือนกัน แต่เราไม่มีใครเล่นกัน จึงย้อนกลับมาที่บ้าน พบชายฉกรรจ์สองคนมายืนรอหน้าบ้าน นึกว่าญาติใครมา ที่แท้ทหารมารอเก็บเต๊นท์นี่เอง ทหารมาเป็นรอบที่สอง จากการรายงานของคุณเฌอมาลย์ เขาต้องเก็บเต๊นท์ก่อนแปดโมงเช้า จึงมาปลุกตอนเจ็ดโมงครึ่ง คุณยาแก้ปวดเธอนอนดึกจึงงัวเงียเล็กน้อย เดินสะดุดสมอบก เต๊นท์แทบพังโดยไม่ต้องเก็บ อิอิ พอทหารไปแล้ว เธอก็นอนต่อ ในสภาพนี้แหละค่ะ เก้าโมงคุณอาราเล่จะมาที่นี่ จึงปลุกคุณยาแก้ปวด พอตื่นขึ้นก็ไปทะเลเลยพร้อมกับหลานสาว เพียงพลิ้วก็เลยได้ไปรับคุณอาราเล่ สาวๆไปกินข้าวกัน เพียงพลิ้วที่กินข้าวเช้าก่อนใครๆ จึงขอนอนเล่นในบ้านพร้อมกับสำรวจความเสียหาย ไก่ย่างห้าดาวที่เรียมให้คุณยา โดนสุดสวยซิวไปแล้ว มิน่านอนเฝ้าหน้าเต๊นท์ ทำตัวดีผิดปกติ ที่แท้ชดใช้ความผิดนี่เอง อิอิ นอนเล่นเพลิน ได้ยินเสียง ก๊อกแก๊กๆหน้าบ้าน ออกมาดู เจอเจ้าจ๋อสองสามตัวกระโดดเข้าป่าพร้อมขนมเลย์ แหม ดูสิ ตะวันไม่ยอมเอาไป เอาแต่เลย์ น่าตีจริงๆ และแล้วเราก็เช็คเอาท์กัน เดินทางไปตลาดแสมสารเพื่อซื้อปูกลับลพบุรี คุณเฌอมาลย์ได้ปู คุณยาแก้ปวดได้กั้ง เป็นอันเสร็จภารกิจ เราจึงไปที่ไร่องุ่นซิลเวอร์เลคของคุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์กัน และแวะให้สาวๆถ่ายรูปที่เขาชีจันทร์กัน จึงได้แยะย้ายกันกลับบ้าน ส่งคุณรีและเพื่อนที่ท่ารถแล้วส่งเพียงพลิ้วเข้าหอพัก แล้วสาวๆจะไปกินข้าวกันต่อ กำลังจะอาบน้ำนอน คุณเฌอมาลย์ก็โทรมาชวนไปกินไอศกรีมในห้างใกล้บ้าน นี่เลยพสุธากัมนาทของโปรดของดิฉัน คุณเพื่อนโปรดทราบ อิอิ หลังจากอิ่มแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ท่าทางคุณยาแก้ปวดยังไม่สร่างเมา แต่ต้องเป็นโชเฟอร์ คุณเฌอมาลย์ก็จะทิ้งขึ้นรถประจำทาง จนต้องเตือนว่าปูสิบโลอยู่ในรถนะ เธอค่อยไปหาของมาบำรุงคนขับรถ อิอิ ก่อนนอนโทรไปถามข่าว ทราบว่าจ่ายตำรวจไปสองร้อย เพราะว่าป้ายทะเบียนหมดอายุ อิอิ เสียงในรถเฮาฮาอีกแล้ว ท่าทางจะได้ถอนกันแล้วตอนนี้ ส่วนทางคุณเพื่อน หลงดีใจ คิดว่าหนุ่มทหารจะติดใจคุณเพื่อน จะได้มีแววไปงานแต่งเสียที ที่ไหนได้กลับมาใช้เพื่อนเราเป็นสะพานทอดไปหาคุณสำลีเสียได้ ส่งข้อความเข้าเบอร์เพื่อนเรา แต่ฝากถึงคนอื่น มันยังไงเนี่ย น่าเจ็บใจจริง คุณเพื่อนยอมได้ไงเนี่ย เดี๋ยวกานต์จัดการให้เอาป่าว มาหยามเพื่อนเราได้ยังไง สรุปว่าการเดินทางครั้งนี้ สนุกมาก ได้หัวเราะตลอดเลย ขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกท่านนะคะสำหรับความทรงจำดีๆ แล้วพบกันใหม่ค่ะ
"วันนี้จะทำผัดซีอิ๊ว ทำอย่างไรเหรอ" เสียงทางลพบุรีถามมา แหม ถามถูกคนเสียด้วย "เอาทุกอย่างเทรวมกัน แล้วคนๆให้เข้ากัน" บอกสูตรไปแล้วไม่รู้ว่าจะทำตามหรือเปล่าหนอ "เสน่ห์ปลายจวัก สำคัญนะ" แม่คอยสอนลูกๆเสมอ แต่โชคร้ายจังลูกชายคนโตของแม่เท่านั้นที่ทำอาหารอร่อย "พูดยังกับว่าตัวเองทำอร่อย" เสียงพ่อแซวมา ก็จริงของพ่อนี่นา อิอิ แม่ไม่ค่อยชอบทำอาหาร แต่แม่ขยันทำงานนอกบ้าน เมนูที่อร่อยที่สุดที่ทุกคนเรียกร้องคือ ทดอมันปลาตะเพียนที่แม่ทำนานมากถึง 3 ชั่วโมงกว่าจะได้กิน แต่พอได้ชิมก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับการรอจริงๆ "ไม่อร่อย กินข้าววันละสองจานทุกทีเลย" "แหม ก็แซวไปงั้นแหละ ไม่อร่อยลูกๆจะมีแต่คนอ้วนๆเหรอ" กลับบ้านเมื่อเดือนที่แล้ว เห็นหลานๆกินอาหารอีสานทุกวัน คุณน้าเพียงพลิ้วก็เลยลองทำอาหารฝรั่งให้กินบ้านทั้งที่ๆไม่เคยทำ พ่อก็บอกลองดูๆ วันนั้นแม่ครัวมือใหม่กมือหนึ่งมือตะหลิวหมือหนึ่งถือโทรศัพท์ ถามสูตรจากพี่เหน่งคนสวยอยู่ตลอดเวลา เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ผลงานออกมาทุกคนบอกอร่อยๆ แต่กินคนละจานเท่านั่น กินเสร็จจะตำส้มตำกินกันบอกว่า กินอะไรก็ไม่เหมือนอาหารบ้านเรา ก็ได้ เดี๋ยวคุณน้าเพียงพลิ้วจัดให้ อาหารอีสานเมนูโปรด ตำถั่ว ว่าแล้วก็วิ่งเข้าสวนครัวของแม่เด็กพริกขี้หนูสุดยอดความเผ็ดและถั่วฝักยาวมากำใหญ่ เปิดดูตู้เย็นสำรวจมะเขือเทศ มีลูกเดียวเอง ไม่เป็นไร เดี๋ยวแสดงฝีมือสุดยอดตำถั่วให้ชิม ว่าแล้วก็ตำพริกสักสิบห้าเม็ด แบบว่าที่บ้านกินเผ็ด ตำถั่วให้แหละพอประมาณ เติมน้ำมะขามแทนมะนาว เพราะว่ามะนาวแพง ใส่น้ำปลา มะเขือเทศ และที่สำคัญที่สุด น้ำปลาร้าและตัวปลาร้า กลิ่นหอมได้ใจเลยทีเดียวปลาร้าบ้านเรา อิอิ ผลงานก็ออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ มีของกินคู่ตำถั่วเป็นปลาหมึกแดดเดียวทอด ปลาหมึกนี้น้าแพท เพื่อนสนิทของฉันซื้อไปฝากหลานๆ เสียงหลานๆบอกว่า "นอกจากตำถั่ว ห้ามทำอะไรอีกนะ" เสียงแม่บอกว่า "หนูล้างจานน่ะดีแล้วลูก" อิอิพ่อยังบอกอีกว่า "ขนาดล้างจานยังจานแตกเลย อยู่เฉยๆดีกว่า" อะไรจะสบายปานนั้นเพียงพลิ้ว พี่สาวที่น่ารักเห็นอาหารไม่เข้าตาม ก็ทำเมนูสุดโปรดของน้องสาวมาแจม ฉันชอบกินแกงหน่อไหม้ดอง(หน่อไม้ส้ม)ใส่ไก่ที่สุดเลยอร่อยมากินคนเดียวไปตั้งเยอะเลย มิหนำซ้ำแย่งกินตับไก่กับหลานอีกด้วย อิอิ เสน่ห์ปลายจวักนี่ฝึกได้จริงๆด้วย เมื่อก่อนพี่สาวของเพียงพลิ้วทำอาหารไม่เป็นเลย เดี๋ยวจืดเดี๋ยวเค็ม แต่ตอนนี้เป็นแม่ครัวประจำหมู่บ้านเลยทีเดียว กลับบ้านทีไรน้องสาวถึงได้น้ำนึกขึ้นพรวดๆ เฮ้อก็มีอร่อยนี่นา หลังจากกลับบ้านมา ฉันก็เข้าครัวมากขึ้น ด้วยความความหวังว่าหลานจะได้ขอเติมสปาเก๊ตตี้ฝีมือฉันบ้าง อิอิ ไม่ได้หวังมีเสน่ห์ปลายจวักหรอกค่ะ ขอแค่หลานๆจะเลิกบอกว่า "ให้แม่ทำดีกว่า" อิอิ