5 มิถุนายน 2550 09:49 น.
เพลง-ทิชากร
ความบริสุทธ์ กับ โทรศัพท์มือถือ(แชทออนไลน์)
เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานเท่าไร
หยิบยกมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้อ่าน
เพื่อเป็นบทเรียนบทหนึ่งสำหรับลูกหลานในอนาคต
ให้สังเกตุเรื่องราวตอนท้ายเรื่องให้ดีครับว่า
ระหว่าง การมีเซ็กส์ของเด็กหญิง กับ โทรศัพท์มือถือ
อย่างใหนสำคัญกว่ากัน ?
...
ก็ด้วยเรื่องของหนุ่ม-สาวนักแชทนั่นแหละ
แชทกันไป แชทกันมาก็ได้เรื่องจนได้
เมื่อวันนั้นนั่นเอง ที่ทั้งคู่นัดมาเจอกันเพียงสองต่อสองโดยลำพัง
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อเด็กสาวชั้น ม.4 หมาดๆ
นัดเจ้าหนุ่มนักแชทเมืองขอนแก่นซึ่งแชทกันมาไม่นานเท่าไร
ให้มาเจอกันที่ท่ารถ บขส.อาเขต จ.เชียงใหม่
พี่แกก็มาตามนัด เพราะสาวเจ้าเล่นท้าทายให้มาขนาดนั้น
มีหรือหนุ่มจะปฎิเสธ เจ้าหนุ่มจึงลงทุนหาเงินเพื่อเป็นค่ารถทัวร์
ตีตั๋วจากเมืองขอนแก่นเพื่อมาหาสาวเจ้า
คนสวยแห่งเมืองเชียงใหม่ทันที
วันนั้น ปรากฎว่าทั้งสองได้พบเจอกันสมดังประสงค์
ที่สถานีรถ บขส.นั่น และสาวเจ้าบอกว่า ...
"ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่เค้าจะมาจริงๆก็แค่ลองท้าทายดูเท่านั้น"
ส่วนหนุ่มรูปหล่อแห่งเมืองขอนแก่นก็ใช่ย่อย
อุตส่าห์ลงทุนลงแรงนั่งรถมาถึงนี่แล้วจะยอมให้ขาดทุนได้อย่างไร
เรื่องก็เลยลงเอยที่โรงแรมแห่งหนึ่ง (ทำไมมันง่ายอย่างนี้ไม่รุ)
คืนนั้นไม่รู้ว่าพี่แกเล่นบทบาทอันหน่วงหนักอะไรกับน้องเค้าบ้าง
เพราะสาวเจ้าหลับไปด้วยความอ่อนเพลียเต็มที หลังจากเสร็จกามกิจ
จนรุ่งสางสายๆ ของวันใหม่ ...
สาวคนสวยนักแชท งัวเงียตื่นขึ้นมาพลันก็ต้องใจหาย
เมื่อร้องเรียกหาเจ้าหนุ่มหน้ามนคนขยันไม่พบ
เธอจึงรีบควานหาโทรศัพท์มือถือประจำตัวเพื่อโทรตามตัวคู่รัก
แต่ ... โทรศัพท์มือถือของเธอได้ "หายไป" ? เสียแล้ว
มันได้หายไปพร้อมๆกับเจ้าหนุ่มรูปหล่อหน้ามนคนขยัย คนนั้น
เหตุมันก็เลยเกิด เมื่อสาวเจ้าโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
เมื่อโทรศัพท์มือถืออันเป็นที่รักที่หวง และแหนมากที่สุดเท่าชีวิต
มาถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตา เธอจึงรีบแจ้งความทันที ...
เจ้าหนุ่มนักรักนั่นโดนจับได้ในขณะที่กำลังซื้อตั๋วรถทัวร์
เพื่อกลับบ้านเกิดที่ขอนแก่น พี่แกสารภาพว่า
"น้องเค้าสมยอม ป๋มม่ายด้าย ข่มขืนนะงับ"
...
สุดท้าย พี่แกโดนข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี
และลักทรัพย์ (งานนี้มีหวังติดคุกหัวโต เพราะโทรศัพท์เครื่องเดียวแท้ๆ)
เรื่องของ "เขา และ เธอ" อาจจะจบลงไปแล้ว และว่ากันไปตามกฎหมาย
แต่ในสังคม สำหรับเราผู้เป็น พ่อ-แม่ ผมคิดว่ามันยังไม่จบ
เพราะตราบใดที่ลูกหลานเรายังใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
เป็นตัวประกอบหลักในชีวิตประจำวันอยู่
และเราในฐานะของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ เราจะวางระบบป้องกันอย่างไร
กับลูกหลานเราเอง ที่จะมั่นใจได้ว่าลูกหลานเราปลอดภัยแล้ว
...
จากเหตุการณ์นี้ ผมไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมสาวเจ้านั้นจึงได้กล้าแจ้งความ
ก็เพราะเจ้าหนุ่มนั่น มันแอบขโมยเอาโทรศัพท์มือถือเธอไปนั่นแหละ
โทรศัพท์มือถือที่เธอหวงแหนเท่าชีวิตของตัวเธอเอง
จนลืมกระทั่งหน้าตาพ่อแม่ตัวเอง
เศร้านะ ... ค่านิยมใหม่กับสังคมใหม่ของลูกหลานเรา
พูดไม่ออก บอกไม่ถูกจริงๆ คุณคิดไง ?
25 พฤษภาคม 2550 08:03 น.
เพลง-ทิชากร
เมื่อวานนี้เป็นวันหยุดของพวกลูกๆเค้า
บังเอิญได้คุยกับเจ้าลูกสาวคนสวย(น่าจะสวย)กะไอ่เบื้อกลูกชาย
เราพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาพ่อลูก ก็ได้เฮบ้างเล็กๆ
แต่ก็นั่นแหละ ... ผมเองน่ะ มีลูกเป็นวัยรุ่นก็รู้อยู่
เรื่องที่เอามาคุยกันส่วนใหญ่ก็เลยเป็นเรื่องของความรักซะมากกว่า
(หมายถึงความรักของเด็กวัยรุ่นอย่างพวกลูกๆเค้า ไม่เกี่ยวกับเรา)
...
ไอ่เบื้อกหน่ะ มันส่ายหัว ทำหน้าตาขึงขังใส่พี่สาวมันที่ชอบล้อเล่นอยู่บ่อยๆ
ก็เมื่อเย็นวาน มีเด็ก ม.2 ส่งจดหมาย กะ อมยิ้มสวยๆ
ฝากเพื่อนมาให้เบื้อกหลายอันที่บ้าน ทั้งๆที่เบื้อกไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ?
เบื้อกไม่กล้ากินอมยิ้มเพราะผมดันไปบอกว่า ...
"ระวังเค้าใส่ยาพิษมานะลูก ไม่รู้จริงๆอ่ะเหรอ ว่าเป็นของใครแน่ ?"
เบื้อกตอบเสียงขึงขังปนฉงนว่า
"ม่ะรุ ... ป๋ม ม่ายรู้จักแน่ๆ ชัวร์ หง่ะ"
ผมเน้นถามหลายครั้งเหมือนกันว่า จะรู้จักกันทางเอ็มหรือเปล่า ?
เบื้อกตอบว่า "ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะมานเยอะ" (ซะงั้น ดูมัน)
พี่สาวคนสวยของเบื้อกชอบกินอมยิ้มเป็นชีวิตจิตใจได้ที รีบสวนออกมาว่า
"เฮ่ย !!! แกต้องเอาไปแช่ตู้เย็นไว้นะ อย่าเพิ่งทิ้ง
ต้องสืบหาตัวคนให้ ให้ได้ก่อน เดี๋ยวข้า ดูแลหั้ย "
เธอเน้นเสียงใส่เบื้อกพร้อมกับอาสาเป็นภาระให้
โดยการนำอมยิ้มเหล่านั้น ไปแช่ไว้ในตู้เย็น
ไอ่เบื้อกมันไม่แตะอมยิ้มเหล่านั้นจริงๆ
แต่เบื้อกอ่านจดหมายปริศนานั้นหลายรอบ
ใจความในจดหมายเขียนถึงเบื้อกด้วยความรัก ที่หวานซึ้งเต็มที
เบื๊อกอ่านเท่าไร ๆ ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
...
แต่เช้าวันนี้ ...
ผมเปิดตู้เย็นเพื่อที่จะกินน้ำ สังเกตุเห็นว่า ...
อมยิ้มของเบื๊อกที่มีทั้งหมด 6 อันเมื่อวาน บัดนี้ มันหายไปแล้ว 2 อัน
ใครขโมยอมยิ้มนั้นไป ขโมยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
(ขอเวลาสักวันนะเดี๋ยวตามตัวหัวขโมยมาให้)
อยากรู้จริงๆว่า มาแอบมาขโมยไปกินตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
24 พฤษภาคม 2550 09:42 น.
เพลง-ทิชากร
สวรรค์ "จริงๆแล้วมีกี่ชั้น ? ..."
เป็นคำถามที่ไอ่เบื๊อกลูกชายรูปหล่อฟันเหยินคนเดียวของผม
ตั้งคำถามขึ้นมาเมื่อตอนที่พวกเราพ่อลูกนั่งคุยกัน
ขณะทำรายงานที่โต๊ะเขียนหนังสือหลังบ้าน
"มี 6 ชั้นสิ เออ" ...
ลูกสาวคนสวย(น่าจะสวย)ของผมรีบตอบทันใด
"ม่ายจริงอ่ะ !!! โม้ปายย ... ป๋มว่ามานมี 7 ชั้น"
ไอ่เจ้าเบื้อกรีบแย้งพี่สาวขึ้นมาทันใดด้วยมั่นใจว่าต้อง 7 ชั้นแน่นอน
ส่วนผมยังคงนั่งตัดกระดาษให้พวกเค้าด้วยอาการเฉยๆ
"แกนี่ !!! ครูม่ายด้ายสอนหรืองายว่า สวรรค์อ่ะ มีกี่ชั้น"
พี่สาวเบื๊อกเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทันใด
และคงเบื่อกับท่าทางยียวนกวนอวัยวะเบื้องต่ำของเบื๊อกเต็มทน
จึงสวนออกไปด้วยอาการเคืองนิดๆว่า ...
"เด๋วข้า ไล่หั้ย ... ตั้งใจฟังนะเว๊ยยแก"
"เออ ... ครับ" ... เบื๊อกตอบรับพี่สาวทันที
แต่ก็ไม่วายที่จะทำหน้าตายียวนกวนประสาทเหมือนเคย
"ชั้นที่หนึ่งเค้าเรียกว่า ชั้นจาตุมหราชิกา
ที่สองเรียกว่า ชั้นดาวดึงส์
ชั้นที่สามคือ ชั้นยามา
สี่เรียกว่า ชั้นดุสิต
ส่วนชั้นที่ห้าคือ ชั้นนิมมานนรดี ชื่อนี้ยาวหน่อยจำยาก
อันที่หกนี่คือ ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี อันนี้ก็จำยากเหมือนกาน"
ลูกสาวคนสวยของผมเค้าเก่งนะจำได้หมดเลย
ผมยังแอบชมอยู่ในใจ (แหม ... ก็ผมสอนเองนี่นา)
ไอ่เจ้าเบื๊อกคิ้วขมวดชนกัน ก็คงจะสงสัยเสียเต็มประดาว่า
แล้วไอ่สวรรค์ชั้นที่ 7 หน่ะ มันหายไปใหน ไม่เห็นพี่สาวพูดออกมา
เบื๊อกจึงยิงคำถามออกไปยังพี่สาวด้วยอาการขุ่นมัวนิดๆ
ด้วยสงสัยเสียเต็มประดาว่าอีกชั้นมันหายไปใหน
"หมดแล้ะ !!! แล้วชั้นที่ 7 หล่ะ ไปใหนและ" เบื๊อกเสียงดัง
"โหย ... แกนี่ !!! มันมีที่หนายกาน ก็ข้าบอกแล้วงายว่ามานมีแค่ 6 ชั้น"
พี่สาวคนสวยชักเริ่มฉุนขึ้นมาบ้างแล้ว
ถึงตอนนั้นผมจึงแนะออกมาเพื่อเสริมความรู้ให้กับเบื๊อกว่า
จริงๆแล้วสวรรค์นั้นหน่ะ มันมีเพียงแค่ 6 ชั้น
ตามที่พี่สาวเราว่านั่นแหละถูกต้องแล้ว ส่วนชั้นที่ 7 นั้น
มันเป็นการพูดประชดประชันของคนเรา ที่เปรียบเปรยเอาว่า
การได้ร่วมเสพย์สมกันของชายและหญิงนั้น
เปรียบความสุขได้มากกว่าการได้ขึ้นสวรรค์ชั้นใดๆทั้งหมดที่มี
และนี่แหละ จึงเป็นที่ไปที่มาของ คำว่า
"สวรรค์ชั้นที่ 7 ที่เราได้ยินหล่ะ"
...
22 พฤษภาคม 2550 08:39 น.
เพลง-ทิชากร
ที่หน้าอพาร์ตเม้นท์ห้องรวมหรูหราหน้ามหาวิทยาลัยนั้น
ผมได้เจอกับหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่ง จัดว่าหน้าตาดี บุคคลิกดี
กำลังนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ มือขวาแนบมือถืออยู่ข้างหู
มือซ้ายคีบบุหรี่ สงสัยจะคุยกับเพื่อน (ผมคิดอย่างนั้น)
ผมเดินเข้าไปหาเพื่อสอบถามเรื่องห้องพัก ในขณะที่น้องเค้า
เลิกคุยโทรศัพท์แล้ว
" น้องชาย อพาร์ตเม้นท์นี่ ห้องรวม หรือว่า เฉพาะหญิง " ผมถาม
" อ๋อ รวมครับ " หนุ่มนั่นตอบด้วยน้ำเสียงที่สุภาพมากๆ
สายตาเหลือบไปมองลูกสาวผมที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
" แล้วพอจะมีหอพักหญิงหลงเหลืออยู่บ้างไม๊ครับแถวๆนี้หน่ะ "
ผมถามต่อ เจ้าหนุ่ม นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบกลับมาว่า
" อืมม ไม่มีนะครับ แต่เดี๋ยวนะครับ "
ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาเล็กๆเมื่อได้ยินน้องเค้าพูดอย่างนั้น
" มันมีอยู่อีก 2-3 ที่นะ แต่ว่าต้องออกไปอีกหง่ะครับ
อยู่ห่างๆจากนี่ประมาณกิโลน่ะ"
เจ้าหนุ่มชี้ไม้ชี้มือออกไปทางทิศใต้ ของหน้ามหาวิทยาลัย
ผมรีบถามต่อ " ต้องเดินไปเหรอ ใกลไม๊ ? "
ลูกสาวคนสวยของผมเริ่มทำหน้าเบ้ คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน
ผมรู้ว่าเธอคงเหนื่อยเต็มที
เจ้าหนุ่มนั่นหันมามองเธอ แล้วยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก
คงรู้ว่าเราสองคนพ่อลูกเหนื่อยกันมามาก จึงเกิดความเห็นใจขึ้นมา
" เอางี้ เดี๋ยวผมจะลองไปถามเค้าให้นะครับ
รอผมอยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวผมมา "
เจ้าหนุ่มนั่นรีบสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ออกไปทันทีหลังจากพูดจบประโยค
...
เราสองพ่อลูกนั่งๆยืนๆอยู่ตรงจุดนั้น สักพักก็เห็นเจ้าหนุ่มนั่น
กลับมาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
" เป็นไงบ้าง ? พอมีไม๊ ? " ผมยิงคำถามไปทันทีด้วยร้อนใจ
" มีครับ ยังมีเหลืออยู่ 2 ห้อง เป็นอพาร์ตเม้นท์สตรีด้วยหล่ะ "
เจ้าหนุ่มดับเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ คุยถึงเรื่องรายละเอียดคร่าวๆกับผม
ผมดีใจที่ได้ฟังข่าวดีจากหนุ่มนั่น
ผมหยิบธนบัตรใบละร้อยออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ยื่นให้
พร้อมกับเอ่ยปากขอร้องไปว่า ช่วยเป็นธุระให้อีกหน่อย นี่เป็นค่าเหนื่อย
เจ้าหนุ่มปฎิเสธการรับเงินที่ผมยื่นให้ ถึงผมจะใส่ในกระเป๋าเสื้อให้
ก็ตามที ผมสอบถามชื่อแซ่และถามถึงที่ไปที่มาเกี่ยวกับเจ้าหนุ่มนั่น
ได้ความว่าเป็นคนเพชรบูรณ์ เรียนอยู่วิศวะปี 3
เช่าอพาร์ตเม้นท์อยู่แถวนี้เหมือนกัน
ชื่อ" พี่เหน่ง "
ผมมาถึงหน้าอพาร์ตเม้นท์ที่เหน่งแนะนำในเวลาต่อมา
โดยมีเหน่งนำทางมาด้วย และที่นั่น เหน่งช่วยเป็นธุระให้ทั้งหมด
ผมกับลูกสาวแทบไม่เหนื่อยอะไรเลย
ระเบียบการเช่าอยู่ของอพาร์ตเม้นท์ที่ว่านี่ ก็เหมือนกับทุกที่
ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก สภาพแวดล้อมก็ดูปลอดภัยดี
มี รปภ.และแม่บ้านดูแลตลอด 24 ชม.ผมเห็นแล้วก็อุ่นใจ
ผมบอกกับเหน่งว่าผมจะให้น้องเค้าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวจะมาทำสัญญาอีกที
เพราะนี่มันเย็นมากแล้วจะต้องรีบกลับ บ้านอยู่ต่างจังหวัด
ผมยื่นเงินให้เหน่ง 100 บาทก่อนจะเดินทางกลับ
แต่ก็ได้รับการปฎิเสธจากเหน่งอยู่ดี ผมจึงขอเบอร์โทรศัพท์เหน่งไว้
เผื่อสักวันจะได้มีโอกาสตอบแทนน้ำใจสักครั้ง
พ่อลูกกลับถึงบ้านก็มืดเต็มที เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่ก็อิ่มเอิบใจ
ที่หาห้องพักได้แล้ว หมดห่วงไปอีกเปาะ
ต่อมาในตอนเช้าของวันถัดไป ผมได้โทรศัพท์ไปหาเหน่ง
ผมบอกเจตนาว่ากับเหน่งว่า ผมจะโอนเงินไปให้เพื่อเป็นค่ามัดจำล่วงหน้า
เหน่งตอบรับโดยดีและยินดีเป็นธุระให้
และในตอนบ่ายของวันนั้น เหน่งโทรมาบอกกับผมว่า
ได้จัดการทุกอย่างให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลูกสาวถามผมว่า คนดีๆอย่างนี้ยังมีเหลืออยู่ในโลกนี้อีกหรือพ่อ
นี่ขนาดพ่อโอนเงินไปให้พี่เค้า หนูยังกังวลเลยว่า
กลัวพี่เค้าจะเชิดเงินเราหายไป เค้าอาจทำได้นะ
พ่อมีวิธีดูคนอย่างไร ? จึงสามารถบอกได้ว่าเราจะไว้ใจเค้าได้
ผมบอกว่า " ดูที่แววตา "
...
(บันทึกนี้เพื่อตอบแทนน้ำใจเด็กไทยรุ่นใหม่คนหนึ่ง
และหลังจากนี้ผมคงจบภารกิจเรื่อง หาหอพักให้ลูกสาวเสียที)
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านนะครับ
ด้วยความเคารพ
22 พฤษภาคม 2550 07:57 น.
เพลง-ทิชากร
ผมคิดว่า ใช่เลย
...
การอยู่หอพักสตรี ดีมากๆ ที่สามารถควบคุมพฤติกรรม เสี่ยงๆ"ชิงสุกก่อนห่าม"
แม้จะไม่ 100% แต่จากประสบการณ์การเป็นเด็กหอพัก และเด็กห้องเช่ารวม
บอกได้เลยค่ะ ~**เด็ก จะ เสีย เพราะ การ เลือก"เพื่อน"
อย่างที่เคยบอกไปแล้ว...เรียนไปได้ 1 เทอม ก็เริ่มมีคนมาจีบแล้ว
มีทั้งเพื่อนๆ...มีทั้งรุ่นพี่......................และมีทั้ง"จิ้งจอก-คร่าสวาท"
โปรดจับตาดู...ลูก-หลานเมื่อเริ่มเรียนเทอม 2 ของปี 1 ให้ดีๆ
โปรดจับตาดู...ลูก-หลานเมื่อเขาและเธอขึ้นปี 2 ให้ชัดเจนมากที่สุด
เพราะเป็นช่วงที่เด็กๆหลายๆคน เริ่มไม่ใช่เด็กดีของพ่อ-แม่อีกต่อไป
ค่านิยมในยุคปัจจุบันการต้องมีแฟน การต้องมีกิ๊ก(หลายๆคน)
การต้องเที่ยวดึกๆ การต้องสูบ-ดูด การต้องเป็นอิสระไม่โดนกำกับเรื่องเวลา
การแต่งตัวให้ทันสมัยให้เดิ้ร์นๆๆๆ การใช้ของ Brand ดัง
ราคาต้องแพงๆถึงจะไม่น้อยหน้าใครนี่ละค่ะ!!!!
อย่าให้ลูก-หลานเป็นคนประเภท "วัตถุนิยม"
ไม่เช่นนั้น...คุณๆอาจจะกลายเป็น "พ่อ-แม่ รังแกฉัน" ได้เลยหละ
ก็ขอเอาใจช่วยพี่ และผู้ปกครองทุกท่านนะคะ ขอให้ลูกๆเป็นเด็กดีเสมอๆ
..........................................................................
แต่...ทุกอย่างอยู่ที่ใจเขาค่ะแม้ครอบครัวสอนให้ดี ก็แค่ช่วยได้บ้างนะคะ
เด็ก.."ชิงสุกก่อนห่าม"...มีทุกสถาบันค่ะ
จากคุณ : Come2Z - [ 18 พ.ค. 50 19:52:35 ]
...
อันนี้ก็ใช่เลยเช่นกัน อ่านแล้วก็ต้องคิดตาม
เพื่อนแจ่มสมัยทำงานก็มีอยู่ 1 คนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ปี 2 ตามสูตรเป๊ะ
แต่ทุกวันนี้ เค้าแต่งงานกันแล้ว คบกันยืดยาว มาเป็น10 ปี
ตอนนี้อีกไม่กี่วันก็คลอดแล้ว แต่มีหลายคู่ที่แยกย้ายกันไปตามทาง
ส่วนใหญ่ ฝ่ายชายจะมีแฟนใหม่ซะก่อน ลูกค้าที่ร้านก็มีแบบนี้อยู่หลายคู่
มีตั้งแต่ ปี 2 - ปี 4 มีอยู่ 1 คู่ที่เลิกกันตอนใกล้จบ
เพราะผู้หญิงทนความจำเจไม่ได้ ออกเที่ยวกลางคืน เกิดติดใจ
พอแฟนตัวเองไม่อยู่ หล่อนพาผู้ชายมานอนที่ห้อง
สุดท้ายพอเลิกกันฝ่ายชายย้ายออก ผู้หญิงพาแฟนใหม่เข้าห้อง
กลับมาอยู่กันเหมือนเดิม
สมัยนี้ช่วงเวลาแบบนี้มาถึงเร็ว สมัยแจ่ม ....อีตาหัวล้านของแจ่ม
เค้าบอกเรียนให้จบก่อนค่อยฟันสาวเค้ากลัวมีปัญหา แม่ไม่ส่งเรียน
เห็นด้วยที่ว่าถ้าครอบครัวอบอุ่น ปัญหาก็ไม่เกิด
แต่พ่อแม่ มักจะคิดเอาเองว่า ครอบครัวอบอุ่น
ถ้าคุณรอฟังเสียงเค้าเรียกพ่อเรียกแม่มาตั้งแต่แต่เกิด
ตอนเค้าโต เราก็ควรจะรอฟังเค้าพูดดูมั่ง
จากคุณ : โอ้ย...แจ่ม - [ 18 พ.ค. 50 18:57:21 ]
...