28 กุมภาพันธ์ 2554 05:28 น.
เพรง.พเยีย
1.
๏ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า...
พร้อมกับเงารอยยิ้มมาส่งถึง
ค่อยค่อยวางคุณค่าลงตราตรึง
ทุกคำนึง...พึงละเลียด..ละเมียดละไม
๏ ปานหยาดร่ำชื่นปรายแห่งสายฝน
หลอมรินหล่น..ร่วมผสานเป็นธารใส
เพื่อช่วงหนึ่ง...รู้ตื่น...รู้ชื่นใจ
ซึมซับไว้ช่วงวัน..อันงดงาม
๏ หากตระหนักทุกขณะที่เป็นอยู่
อาจเพียงครู่...เผลอไปกับไหวหวาม
ชื่นนั้นหรือจะแนบชิดคอยติดตาม
เช่นนิยามตำนานอันนิรันดร์
๏ กลัวหัวใจต้องหวนแต่ครวญคร่ำ
กลัวต้องซ้ำอาลัยแม้ในฝัน
จมอยู่ในห้วงเหวแห่งเปลวทัณฑ์
แต่ละวัน...ปานเร่ทะเลทราย
๏ รอเวลาสลายลงเป็นผงฝุ่น
เผาเป็นจุณความเสียใจ..ให้เลือนหาย
บอกตัวเองลืมเสีย...อย่าเสียดาย
ในสุดท้าย..ย่อมเลือนดับไปกับกาล
๏ จึงวันนี้แทรกตามในความชื่น
ใจกลับตื่น..กลัวข่ม..ผสมผสาน
อย่าเลย...อย่าให้เป็นเช่นวันวาร
เฝ้าทัดทาน..สิ่งใดที่ไม่มี
๏ ในวันนี้หยดปลายแห่งสายน้ำ
อาจชื่นฉ่ำอาบตน..บนวิถี
แต่สักวัน..สุดปลายสายวารี
อาจไหลรี่ผ่านไปอย่างที่เป็น
๏ ปล่อยเพียงการซึมซับและรับรู้
ผ่านเข้าสู่กลางใจที่ไหวเต้น
สัมผัสพร้อมหยาดรื่นอันชื่นเย็น
และพร้อมปล่อยลอยเร้นด้วยเช่นกัน
๏ เมื่อถึงกาลวาระแห่งกระแส
ให้เหลือแค่เหตุการณ์ที่ผ่านผัน
เช่นสายน้ำไหลที่ไม่มีวัน
ย้อนกลับหันคืนเห็นร่วมเส้นทาง
2.
๏ สายลมกระเพื่อมผิวผ่านริ้วน้ำ
สะท้อนนำความนัยใสกระจ่าง
ภาพหนึ่งใครคอยยิ้มเพียงบางบาง
เก็บรับวางวาดไว้..ในคำนึง
๏ หลับตาพร้อมลมหายใจอันเบาแผ่ว
หรือใช่แล้ว..เวลาที่มาถึง
เสียงใดหนอกำลังเฝ้ารำพึง
ทิ้งความหนึ่งลอยหาย..กับสายน้ำ..