25 สิงหาคม 2551 05:42 น.
เพรง.พเยีย
๑
๏ กลิ่นเทียนธูปในห้องพระยังคละคลุ้ง
ผสมปรุงกลิ่นไอมาลัยร่ำ
เสียงสวดมนต์เพียงแผ่วพอยินคำ
แต่หัวค่ำ..ของคนอยู่บนเรือน
๒
๏ จากข่าวล่วงสู่หลังเมื่อครั้งบ่าย
ก็วุ่นวายอกใจหาใดเหมือน
เมื่อฟ้าพรุ่งกองทัพจะกลับเยือน
ประกาศชัยให้สะเทื้อนไปทั่วแดน
๏ โอ้พี่เอยแต่ครั้งเมื่อจำพราก
ให้ลำบาก..อกน้องคำนึงแสน
พี่สู้ศึกออกตัวไม่กลัวแกลน
ด้วยสมแม้นเลือดหมายแห่งชายชาญ
๏ ปวงเทวาเดชะบุญพระคุณเจ้า
ที่น้องเฝ้าส่งดวงจิตอธิษฐาน
ขอจงดลมีชัยเหนือภัยพาล
ผู้รุกรานแผ่นดินจงสิ้นไป
๏ คอยเถิดคอยพบกันในวันพรุ่ง
เมื่อขอบคุ้งเจิดจ้าสู่ฟ้าใหม่
จะรับขวัญผู้เป็นห้วงแห่งดวงใจ
กลับเวียงชัยดั่งมั่นคำสัญญา
๓
๏ สองมือลูกประนมลงก้มกราบ
ด้วยกำซาบคงเพราะคุณบุญรักษา
จึงประสิทธิ์อวยชัยทัพให้กลับมา
ขับไพรีบีฑาจนปราชัย
๔
๏ ขอบฟ้างามรุ่งรางด้วยสางเรื่อ
หอมกลิ่นเจือข้าวหุงเพิ่งสุกใหม่
ผสมฟืนควันเขม่าจากเตาไฟ
ที่พาไหลลอยเคลื่อนจากเรือนครัว
๏ พอแดดสายทอดตัวลงทั่วถึง
ก็อื้ออึงเสียงหัวเราะแลยิ้มหัว
ในยามนี้ข้าราษฎร์พ้นหวาดกลัว
ทุกแห่งทั่วล้วนสิ้นแต่ยินดี
๏ สำรับเพล..เรียงรายถวายพระ
เนื่องวาระจักซ้องสวัสดิศรี
คืนร่มเย็นอโยธยาทั่วธานี
เหล่าไพรีเพลี่ยงพล้ำอย่ากล้ำกราย
๏ จนเสียงย่ำรัวกลองดังก้องกึก
เหล่าขุนศึกผู้นำประจำค่าย
ค่อยเคลื่อนพลอาวุธนำประจำกาย
แต่ละนายผ่านสู่ประตูวัง
๏ เหล่าผู้คนต่างตื่นไปต้อนรับ
คณานับชื่นใจเฝ้าไหลหลั่ง
ต่างยินดีโห่ร้องจนก้องดัง
ทั้งสองฝั่งขบวนบาทที่ยาตรา
๕
๏ เห็นขบวนเคลื่อนแห่คนแซ่ซ้อง
ก็จดจ้อง..คอยแต่ชะแง้หา
อยู่ไหนหรือกองประจัญพระบัญชา
เป็นกองหน้าบุกล่วงทะลวงฟัน
๏ อกใจน้องจดจ่อแต่รอเห็น
เช้าล่วงเย็นจดจ่อแต่รอขวัญ
จะผ่ายผอมแผกไปเยี่ยงไรกัน
อีกหวั่นหวั่นบ้างหรือต้องศาสตราใด
๏ จนเห็นชายธงพัดสะบัดริ้ว
ก็หวิวหวิวตื้นตันจนสั่นไหว
พี่เอย..ย่อมรู้แม้อยู่ไกล
จนผ่านใกล้ให้เห็นอยู่เต็มตา
๏ คือหนึ่งร่างทรนงผู้องอาจ
สมศักดิ์ชาติชายชาญผู้หาญกล้า
ค่อยเยื้องก้าวนำพล..บนอาชา
งามสง่าสมแท้..ศักดิ์แม่ทัพ
๏ ชะรอยหรือ..สื่อคำนึง..จะถึงพี่
ว่าเห็นมี..ตาสองคอยจ้องจับ
จึงสบตาทอดฉายประกายวับ
ต่างรู้รับเต็มตื้นด้วยชื่นใจ
๏ ตาสบตา..ซาบซึ้งแต่เพียงสอง
แม้มิต้องเอ่ยนำสักคำไข
ก็ประจักษ์ต่างคำนึง..ถึงปานใด
เมื่อหนึ่งไกล..ทิ้งหนึ่งร้างตั้งตารอ
๏ จบขบวนเคลื่อนพลได้พ้นผ่าน
ด้วยความหวัง..คงไม่นานอีกแล้วหนอ
จะกลับเรือนคอยคู่..อยู่เคลียคลอ
ฝากคำต่อพี่อีกครั้ง..นางคำนึง
8 กรกฎาคม 2551 05:26 น.
เพรง.พเยีย
๏ โอบกอดฉันสักนิด..เถิดมิตรรัก
ขอที่พักอุ่นกายชั่วคลายหนาว
ฉันเดินฝ่าความมืดอันยืดยาว
มิเห็นเลยแสงดาว..สักพราวพราย
๏ ขอซบอิงอุ่นไอจะได้ไหม
ขอหัวใจมืดมนของคนพ่าย
ได้ซุกซอนอ้อมกอดลงทอดกาย
รักษารอยแผลร้ายทำลายใจ
๏ สองแขนฉัน..โรยแรงและอ่อนล้า
จนเกินกว่าจะโอบกอดตัวเองไหว
โลกยามนี้..ช่างมืดเร้นมิเห็นใด
สักแสงไฟพอพ้นอนธการ
๏ ทุกข์ที่ฉันรู้จักมันหนักหน่วง
อยู่ในทรวง..เหมือนเงาคอยเผาผลาญ
มันจวนแล้ว..จวนแตกจนแหลกลาญ
ดวงวิญญาณใกล้ป่นเป็นธุลี
๏ ขอพื้นที่สักนิด..เถิดมิตรรัก
อย่าด่วนหักหาญเมินหรือเดินหนี
อย่าเฉยเมยผ่านไปมิไยดี
ใจดวงนี้..เหลือขลาดกับหวาดกลัว
๏ เปล่าเลยมิได้เก่งอย่างที่คิด
ทุกแผลพิษ..ฉันซ่อนไห้ด้วยยิ้มหัว
ฉันซ่อนโลกซ่อนตนอันหม่นมัว
ฉันซ่อนตัวทรมานอย่างซานซม
๏ หลับตาลงทุกวันยังฝันร้าย
กอดกายจนตื่นยังขื่นขม
หยาดน้ำหยดผนึกมันลึกจม
มันทับถมบนกาย..ทั้งหายใจ
๏ โอบกอดฉันสักนิด..เถิดมิตรรัก
ยะเยียบนัก..น้ำตาที่บ่าไหล
มิรู้เลย..คืนหนาวอันยาวไกล
อีกเมื่อไร..จะสิ้นสุด..ลงเสียที..
18 มิถุนายน 2551 05:18 น.
เพรง.พเยีย
๑
๏ ซองจดหมายสีชมพู...
งามหรูด้วยอักษรตัวอ่อนหวาน
เป็นจดหมายขอเชิญไปร่วมงาน
ที่ส่งผ่านมาให้..ทางไปรษณีย์
๒
๏ แล้วภาพความทรงจำเก่าเก่า
แห่งวัยเยาว์ก็โลดแล่นขึ้นแทนที่
ภาพเธอฉายชัดนาม "พัชรี"
"เพื่อนซี้" ร่วมวัย..สมัยนั้น
๏ ดวงตาเธอ..สีเข้มดูสวยคม
ชอบซอยผม..ไว้ทรงเพียงสั้นสั้น
ดูเหมือนทอม..เหมือนใครใครเขาว่ากัน
แต่หากฉันรู้เธอดี..สตรีแท้
๏ ท่าทางโผงผางไม่กลัวใคร
หากน้ำใจมากเหลือคอยเผื่อแผ่
มีอ่อนโยนอ่อนหวานพร้อมอ่อนแอ
มีเย้าแหย่ร่วมเดินหยอกเอินไป
๏ "พัชรี..เธอมาสายอีกแล้วนะ!"
"ทราบแล้วค่ะ" เธอตอบ..ยกมือไหว้
เสียงอาจารย์ทั้งอาทรทั้งอ่อนใจ
"บ้านหนูไกล" ก็เพราะเหตุโปรดเมตตา
๏ เพราะโต๊ะเธอและฉันติดกันอยู่
จึงเป็นคู่เพื่อนสนิทคอยปรึกษา
คำซื่อซื่อ "เพื่อนมีเพื่อนไว้พึ่งพา"
ก็ตรึงตราเราสองไว้ด้วยกัน
๏ เราคือคู่ของความแปลกที่แตกต่าง
ที่กลับสร้างความฉงน..ให้คนขัน
หนึ่งเด็กเรียน..หนึ่งเด็กเล่น..ที่เห็นกัน
กลับผูกพันกันได้เป็นอย่างดี
๏ ฉันเฉยเฉย..นิ่งเงียบและเรียบง่าย
เธอเหมือนชาย..เที่ยวบุกได้ทุกที่
เป็นหญิงบู๊ท่ามกลุ่ม..กุลสตรี
ภาพเหล่านี้..ยังฉายชัดถนัดตา
๏ "ฉันอยากมีผิวขาวเหมือนแกจัง"
คำเมื่อครั้ง..เธอเคยเปรยตามประสา
ของวัยสาว..ที่เริ่มรอยตามเวลา
ด้วยใบหน้าฝันฝัน..เมื่อบรรยาย
๏ "ฉันอยากสวมชุดราตรี..ด้วยสีขาว
เป็นเจ้าสาวผิวสวยในรูปถ่าย"
เธอบอกฉันยิ้มให้อย่างอายอาย
ในช่วงปลายร่วมวัย..สมัยนั้น
๓
๏ ผ่านเดือน..ผ่านปี..จนผ่านพ้น
แต่ละคนมีต่างเส้นทางฝัน
กลายเป็นหนึ่งร่วมหน้าสถาบัน
วิถีเกลอ..เธอฉันห่างกันไป
๔
๏ ฉันมองเธอทวนทาบในภาพพิมพ์
ต้องเผยยิ้มแก้มปริ..อดมิได้
อ่านข้อความแนบวางอยู่ข้างใน
ลงท้ายไว้..แกมหวัด..นามพัชรี..
4 มิถุนายน 2551 05:11 น.
เพรง.พเยีย
๑
๏ จุดแสงเทียนพรายสลัวไปทั่วห้อง
คลอทำนองเพลงแผ่วดังแว่วหวาน
ทุกเนื้อคำแทนห้วงแห่งดวงมาน
ที่ขับผ่านรอไว้ให้เธอฟัง
๏ ชุดแพรบางราตรีนั้นสีขาว
เผยผิวสาวเนื้อเนียนตรงแผ่นหลัง
กลิ่นน้ำหอมชวนหลงใหลในภวังค์
ที่ทุกครั้งเธอบอกรับ..ประทับใจ
๏ ผมสลวยปล่อยสยายอยู่ปลายบ่า
ที่บางคราสะท้อนเห็นเหมือนเส้นไหม
สวมสร้อยคอประดับพลอยเจียระไน
ที่เธอให้..ในวันแรก..ที่บอกรัก
๏ กุหลาบขาวช่องาม..ข้างแสงเทียน
ที่ฉันเพียรนั่งลง..บรรจงปัก
ทีละดอก..ทีละดอก..ถนอมนัก
แม้แต่สักกลีบใบ..มิให้ช้ำ
๒
๏ ราตรีนี้..จะให้เธอ..ได้รับรู้
เมื่อเราอยู่..บนกาลแห่งหวานร่ำ
ราตรีนี้..จะให้เธอ..ได้ฟังคำ
ที่เธอพร่ำเอ่ยถาม..ความในใจ
๏ ในราตรีนี้..ฉันจะเอ่ย
จะขอเผย..ตอบตามทุกความไข
กับความจริงที่กระจ่างอยู่ข้างใน
เธอจะได้ฟังนะ กับคำ "รัก"
๏ คำที่ฉันบรรจงมาส่งถึง
ว่ามีหนึ่งหัวใจได้จำหลัก
ทีละน้อย..ทีละน้อย..คอยฟูมฟัก
จนประจักษ์ใจฉันอย่างมั่นคง
.
.
.
๓
๏ เคลื่อนไปช้าช้าแต่ละนาที
ค่อยริบหรี่งดงามแห่งความหลง
พร่างพรายแสงวูบวับค่อยดับลง
ทิ้งร่างทรงกลางเห่ของเวลา
๏ ราตรีนี้หนอช่างยาวนาน
อนธการ..เปล่าคำอันล้ำค่า
หยดหยาดน้ำไหลล่วงจากดวงตา
จากใบหน้า..ท่วมท้นของคนคอย
๏ เลื่อนลอยราวกับไม่รับรู้
มือกุมอยู่ไม่คลายที่สายสร้อย
เสมือนสายคำนึงถึงร่องรอย
ที่เรียงร้อยลงหยั่ง..อยู่ทั้งคืน
๏ เสียงเพลงคงแผ่วดังแว่วหวาน
หากผสานคลอเคียง..เสียงสะอื้น
แล้วพรุ่งนี้..ต่อหน้าเธอ..ฉันจะยืน
จะยิ้มรื่นตอบให้..อย่างไรดี..
7 พฤษภาคม 2551 04:44 น.
เพรง.พเยีย
๑.
๏ มิรู้หรอก..บนฟ้าจะปรากฏ
ความสวยสดเรื่อปรุงแห่งรุ่งสาง
มิเห็นหรอก..หยาดวงที่ทอดวาง
ของน้ำค้าง..วาดกลั่นด้วยบรรจง
๏ มิรับรู้..หอมระลอกของดอกไม้
ที่ชวนให้เหล่าภมรบินว่อนหลง
มิรับรู้..รอบพฤกษ์ที่ปลิดลง
คืออาจอง..พร้อมผลัดระบัดใบ
๏ มิเห็นหรอก..ปีกสีของผีเสื้อ
ที่แต้มเจือด้วยหยดความสดใส
มิยินหรอก..เสียงก้องกังวานใด
เพราะอยู่ในทะเลคร่ำแห่งน้ำตา
๒.
๏ เสมือนโลกคลุมคลี่ด้วยสีหม่น
มืดมนจนเกินประเมินค่า
ในคืนแห่งคำนึงหนัก..ที่ปักคา
ครวญหาความฝันของวันวาร
๏ รอยอดีตกัดกร่อนจนรอนร้าว
ยืดยาววันเก่าเก่าคอยเผาผลาญ
ช้าช้า..แหลกเหลวกับเปลวกาล
รอคอย..ทรมานจะผ่านพ้น
๏ ท่ามสงัดตาหลับใจกลับตื่น
ฝ่าคืนกลืนซับทุกสับสน
กี่น้ำหยดรานจากทานทน
ท่วมท้นร่างซมซึ่งงมงาย
๏ ซีดจางความฝันอันพิไล
มอดไหม้..รอยแยกแหลกสลาย
โอบฝันส่วนเสี้ยวอย่างเดียวดาย
รอคอยฝันสุดท้าย..เลือนหายไป
๓.
๏ ณ เบื้องหน้าบนฟ้ายังปรากฏ
รอยจรส..ตื่นรับผู้หลับใหล
เพียงเธอปาดน้ำตาแห่งอาลัย
แสงแห่งไฟจักฉายแพร้ว..ในแววตา
๏ ปล่อยหัวใจเธอได้สัมผัสหอม
หลังผ่านหลอมคืนเข็ญจนเต็มค่า
ให้กระแสคลื่นเห่แห่งเวลา
กอปรเดียงสา..กล่อมเกลาอย่างเข้าใจ
๏ เพื่อการคิดถึงครั้งหนึ่งมี
เพื่อยินดีกับเรื่องราว..คราวร่ำไห้
เพื่อจะกร่อนแผลร้ายจนหายไป
จนเนื้อนัย..ส่งคุณค่า..อีกคราครั้ง..