24 ธันวาคม 2550 17:18 น.
"เพชรสังคีต"
"จันทราชา"
ตอน ศึกศุกร์ดารา
(พระจันทรได้รับราชสาส์นจากพระเจ้านครเสาร์ดารา)
....เมื่อนั้น
พระจันทรบดินทร์ปิ่นสวรรค์
เสด็จทรงรถทองผ่องพรรณ
กรีดกรายผายผันลีลามา
แสงทองทาบทับกับองค์
เสนาร้องส่ง ณ เวหา
จรัสแจ้งกว่าแสงพระจันทรา
เหนือแสงดารายองใย
ครั้นถึงจึงหยุดเกยสถาน
เสด็จสู่ทิพย์วิมานสวรรค์ไสว
เทวาเปิดม่านทันใด
คลาไคลสู่ท้องพระโรงครัน
ประทับนั่งเหนือแท่นมณีอาสน์
โอภาสผ่องพรายผายผัน
ฉัตรทองเหลื่อมล้ำสีอำพัน
ตั้งอยู่เรียงกันทั้งแปดทิศ
พรั่งพร้อมเทวาสุรารักษ์
เสนาผู้ภักดิ์ประจักษ์จิต
เทพทุกเหล่าเฝ้ามาทั่วสารทิศ
ไว้จริตสวยสอางค์อย่างเทวี
ครั้นพอถึงยามฤกษ์เบิกสวัสดิ์
ก็เรืองรองผ่องจรัสรัศมี
อำมาตย์อ่านสาส์นถวายพระภูมี
ทูลถึงที่จอมสวรรค์พระจันทร ฯ
....บัดนั้น
เทพอาลักษณ์เรืองรองคล่องอักษร
กราบบังคมพระผู้อรชร
แล้วยอกรยกสาส์นอ่านทันใด
ข้าแต่พระจันทรผู้ทรงภพ
แปดทิศจบพระบาทามาแต่ไหน
บัดนี้ต้องเคืองราชหฤทัย
เหตุเพราะสาส์นหม่อมฉันไปเป็นแน่แท้
ด้วยพระศุกร์ดาราบดีมีอำนาจ
คิดอุกอาจด้วยประสงค์จำนงค์แน่
ได้ยกทัพต่อตีทุกที่แพ้
เสร็จแล้วยึดไว้แต่พระศุกร์เอง
ด้วยหลงอำนาจวาสนา
ข้าน้อยเสาร์ดาราถูกข่มเหง
แม้นอ้างถึงพระองค์ไปไม่กลัวเกรง
กลับเปล่งสีหนาทประภาษมา
ว่าจันทรบดินทร์ปิ่นสวรรค์
เป็นเพราะเชื้อเผ่าพันธุ์อันมุสา
เท็จจริงอย่างไรได้ฟังมา
แต่เห็นว่าท่าทีจะมีนัย
จึงส่งสารแทบบาทยุคล
หวังพึ่งผลบารมีที่สดใส
บังคมเบื้องยุคลบาทพระเทพไท
สรรพชีวีอยู่ใต้บาทบงสุ์ ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรวงศาสูงส่ง
ได้สดับสาราดังฟ้าลง
คราวนี้คงณรงค์แน่เป็นแท้จริง
พลางเผยพจนารจผงาดว่า
ศุกร์ดารานั้นใครไม่สุงสิง
คงพรั่นพรั่นหวั่นจิตคิดประวิง
จึงละทิ้งศีลธรรมจนต่ำช้า
เอาเถิดแม้ใคร่งานในการศึก
ก็จงนึกหลีกหนีทุกทีท่า
เราจะไปรบพุ่งมุ่งพารา
ช่วยเมืองเสาร์ดารารมย์บุรี
จึงตรัสสั่งเสนามหาอำมาตย์
นายพลจตุรงคบาททั้งสี่
จงจัดเวรเกณฑ์ทัพโยธี
แล้วจงรีบจรลีไปทันใด
....เมื่อนั้น
เทพเสนางามงดยศใหญ่
น้อมเกล้าวันทาแล้วคลาไคล
เยื้องย้ายจากท้องพระโรงทอง ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรภูวดลหม่นหมอง
เสรด็จหาสนมชมน้อง
วางท่าประคองจะเจรจา
รุจิเรขเอกสนมก้มลงกราบ
ดั่งความทราบถึงหล่อนก่อนพระว่า
เงยพลางทางโศกโศกา
เอื้อนเอ่ยพจนามาทันที ฯ
....เมื่อนั้น
รุจิเรขเอกสนมก้มเกศี
พลางว่าเอ๋ยพระราชสวามี
จากวันนี้วันไหนจะได้พบ
เหมือนดอกไม้ใกล้ใกล้ที่ได้กลิ่น
มาเหือดสิ้นสาบสวนอวลตรลบ
ใครก็รู้การใดไม่เหมือนรบ
แล้วเมื่อใดจะได้พบบรรจบกัน
ว่าพลางทางฝืนสะอื้นไห้
ด้วยอาลัยยามนอนจะคลอนขวัญ
จะเงียบเหงาดวงฤดีทุกวี่วัน
จะหวิวหวั่นหวาดผวาคราถอนใจ ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรบดินทร์เป็นใหญ่
เห็นสนมโศกาก็อาลัย
จึงตรัสไปปลอบชู้คู่ประคอง ฯ
สนมเอ๋ยสนมนาถ
ยามนิราศจากลาอย่าหม่นหมอง
พี่จะเคร่าคอยเวลามาหาน้อง
มาตระกองกอดเจ้าทุกเพรางาย
เมื่อพี่จากดวงใจมิได้จาก
ยังฝังฝากรอยรักสลักหมาย
ก็หวังเจ้าจอมหอต่อวันตาย
มิเคยหน่ายสักเวลามาแต่ไร
พี่ไม่อยู่จงระลึกเหมือนพี่อยู่
ยอดพธูเรขาอย่าหวั่นไหว
เอาเสียงนกวิหคร้องทำนองไพร
ต่างสำเนียงเสียงใจไว้ข้างกัน
ยามน้ำค้างพร่างพรมลมระรื่น
ต่างความชื่นเหมือนพี่พัดวีมั่น
สนมน้อยคอยเถิดหนาวิลาวัณย์
มิอาสัญพี่จะมาหาเจ้าเอย ฯ
ตรัสพลางเขยื้อยเลื่อนองค์
แล้วหนุนลงตักนางต่างเขนย
ด้วยใคร่อยู่ชื่นขวัญอันน่าเชย
ก่อนลาเลยไปพหลรณรงค์ ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรนครินทร์สูงส่ง
ครั้นได้ฤกษ์เวลาก็อ่าองค์
เสด็จลงสรงอ่างสุวรรณชลา ฯ
หยาดวารีรี่ไหลอยู่ในห้อง
พระผิวทองรองเรืองเปลื้องผ้า
น้ำซัดสาดกระเซ็นเป็นวงมา
ต้องฉวีชีวาคราชื่นใจ
เกาะเป็นเม็ดเจ็ดสีมณีพร่าง
แสนสำอางค์พลางชมนิยมไฉน
นัยเนตรแววดำอำไพ
ต้องแสงรำไรเป็นวาวมา
บรรจงสอดสวมซับสนับเพลา
พร้อมเทพเหล่าท้าวนางกางผ้า
ภูษาเหลืองเรืองดีสีจันทรา
ยกพื้นบุษราน่ามอง
เจียรบาดคาดไว้มิให้เคลื่อน
ปั้นเหน่งเหมือนเดือนเพ็ญเผ่นผยอง
ตาบทิศทับทรวงพ่วงทอง
เกี่ยวกรองสังวาลย์ชาญชัย
ทองกรล้วนแล้วประดับมุก
ธำมรงค์ส่งสุกด้วยพลอยใส
มาลาปราบปัจจามิตรฤทธิไกร
ทรงสวมเสมอไปในสงคราม ฯ
แล้วเสร็จขุนนางกางม่าน
เสด็จลานเวหาน่าเกรงขาม
ยุรยาตรขึ้นเกยแก้วงาม
พร้อมทหารแลหลามล้วนเทวา ฯ
เสด็จทรงรถทองผ่องพราย
ลวดลายล่องลอยเวหา
พวกพหลพลเหล่าเสนา
นุ่งเหลืองพิไชยาคลาไคล
มโหระทึกกึกก้องซร้องเสียง
สังข์เพรียงเรียงรี่ปี่ไฉน
ทหารโห่ขับคล่องร้องไป
เลื่อนลอยมาในอัมพร ฯ
(โปรดติดตาม พระจันทรยกทัพช่วยนครเสาร์ดารา)
30 พฤศจิกายน 2550 17:06 น.
"เพชรสังคีต"
"แม้ไม่มีวัน"
....น้องเอ๋ย น้องน้อยหรือถ้อยคำ
ที่เผยพร่ำพรรณาว่ารักหลง
พี่ก็รักทรามสงวนนวลอนงค์
แต่พี่คงรับไม่ได้ในครานี้
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกจำปี
อาลัยน้องนี้เสียจริงเจ้าเอย
มิใช่พี่ไร้อาลัยในตัวเจ้า
ที่น้องเฝ้าเก็บหัวใจไว้แด่พี่
หาใครเล่าสุดแดนจะแสนดี
กว่าน้องนี้ยากหาระอาใจ
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกมะไฟ
รักรุมสุมใจเหมือนไฟนั่นเอย
จะขอกล่าวสารภาพบาปในจิต
ที่พี่คิดไม่รับรักประจักษ์ไฉน
เพราะไม่ไว้ใจตัวเองเกรงจะไป
กระทบให้กระเทือนน้องจนหมองรา
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกจำปา
สงสารแก้วบุษบาของเรียมนี่เอย
ชาติผู้ชายเจ้าชู้ประตูดิน
ไม่มีสิ้นทุกครั้งหมดกังขา
เพียงแค่เผลอหัวใจก็ชายตา
ตามใบหน้าที่สวยสวยสำรวยครัน
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกลัดดาวัลย์
กลิ่นเหมือนจอมขวัญของพี่นี่เอย
เอาเถิดน้องแม้มิได้ในรสรัก
แม้ต้องหักหัวใจไม่ใฝ่ฝัน
มิใช่เจ้าไม่ถึงซึ่งรักนั้น
แต่พี่หวั่นวันหน้าจะคลาไคล
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกบัวไทย
เหี่ยวเฉาเศร้าไปเหมือนใจพี่เอย
จะจำไว้ทุกคำที่พร่ำพี่
จะเก็บไว้ในที่ฤดีใส
มิได้ครองน้องอย่าช้ำให้ร่ำไร
จะว่าพี่ใจร้ายไม่อายเลย
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกรักเอย
คู่ชมคู่เชยไหนเลยห่างเอย
แม้ชาตินี้เจ้าเอ๋ยมิเชยชิด
ขอเป็นมิตรตลอดกาลดวงมานเผย
เก็บรักไว้สองใจไม่เลือนเลย
โอ้น้องเอยรักนั้นนิรันดร ฯ
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกสาธร
หลุ่ดร่วงโรยร้อน อาวรณ์แท้เอย ฯ
12 พฤศจิกายน 2550 16:58 น.
"เพชรสังคีต"
อินทรธรรม
(ญานี ๑๑)มืดครื้มคำรามทั่ว จิตระรัวกลัวยิ่งแล้ว
เปรี้ยงปร้างดั่งเสียงแก้ว กระทบก้อนศิลาเรือง
ระริกระริกหวั่น ขวัญเอยสั่นวันขุ่นเคือง
หวีดหวาดผาดเพียงเรื่อง ฟ้าพิโรธจงโปรดฟัง
(อินท ๑๑) ครั้งหนึ่ง ณ แดนสรวง สุรห้วงภิภพหลัง
สำราญสบายทั้ง นรเทพและเทวี
ครองชั้นวิมานเมฆ บ่วิเวกฤโศกี
ก้องเสียงดุรีย์ศรี เสนาะครึ้ม ณ อัมพร
นางฟ้าวิลาวัลย์ ฤดิสันต์ระบำกร
เทวัญมิย่อหย่อน จริยาบ่แพ้กัน
ต่างสุขเพราะลืมตัว มนมัวและเปลี่ยนผัน
เหลือเกิน ณ ภพนั้น สละทิ้งเจริญธรรม
(๑๖) ร้อนถึงอาสน์พระอินทร์เจ้า ธ จึงเพ่งเข้า
ฌานดู ณ ชั้นนั้นพลัน
เห็นเทพเทวัญเหล่านั้น ทั้งเทพลาวัณย์
มัวเมาไม่สมประดี
ธ จึงรีบจรลี มายังชั้นนี้
ด้วยอิดหนาระอาใจ
เสด็จด้วยรถทองอำไพ มีอาชาไนย
ขาวคู่เป็นม้ามงคล
นำรถรีบจรดล มายังเวหน
ใกล้ถึงจึงตรึกไตร่พลัน
หากเราจะเข้าไปโดยพรรณ รูปเยี่ยงเทวัญ
อินทราใหญ่ในเมืองแมน
เหล่าเทวดาจะแคลน ทราบฤทธีแสน
ทั้งมีฌานหยั่งรู้ทุกองค์
พวกเทพจะรู้ประสงค์ แล้วเปลี่ยนแปลงคง
มิให้เห็นปัจจุบัน
เอาเถิดจะแปลงองค์ฉัน เป็นเทพธิดาอัน
สำรวยยิ่งด้วยรูปโฉม
ทรงพิณทิพย์ลิบโพยม ไว้กล่อมประโคม
เหล่าเทพมัวเมาเคล้าไป
มิให้ทุกองค์สงสัย ว่าเราเป็นใคร
เพื่อทราบถึงสิ่งอันทราม
ว่าแล้วทรงแปลงรูปงาม ไปด้วยใจตาม
เป็นเทพธิดาทรงพิณ
ประทับบนหลังมยุรินทร์ เกศาปักปิ่น
มรกตเรืองวิไล
ทั้งผืนอาภรณ์สไบ ทองกรอันใด
ปักเขียวด้วยพลอยงาม
ใครเห็นตะลึงวาบหวาม เพราะรูปนงราม
ยิ่งทรามสงวนนวลองค์
เข้าไปถึงแดนบรรจง ย่างเหยียบลง
มิผิดวิสัยนารี
เหล่าเทวัญพลันมี ถ้อยพจนีย์
เกี้ยวพาประหนึ่งคนทราม
(๑๑) ดูกรน้องน้อยเอ๋ย กระไรเลยพี่วาบหวาม
พอเห็นเจ้านงราม พี่กระสันต์ขึ้นทันใด
ธิดาเทพองค์ไหนเล่า จะงามเท่าน้องรักได้
พี่รักสมัครใจ ดวงฤทัยในครานี้
ว่าแต่เจ้านั้นเล่า ใยจึงเข้ามาที่นี่
หรือว่าชั้นอื่นมี แต่เมารสบทพระธรรม
เจ้ามาจากชั้นไหน ตอบพี่ไปนะงามขำ
พี่นี้จะจดจำ ทุกถ้อยคำเจรจา
(๑๖) องค์อินทร์ผู้แปลงโฉมมา นึกอิดระอา
แต่ตั้งมั่นเพื่อดูทราม
จึงตรัสถ้อยพจน์งดงาม แก่เทพจิตห่าม
เหล่านั้นไปในทันที
(๑๑) ดูกรท่านพี่เอ๋ย น้องเพิ่งเคยมาที่นี่
น้องสร้างแต่ความดี จนได้เป็นเทพธิดา
ความชอบนั้นทำให้ น้องอยู่ใกล้พระอินทรา
แทบเบื้องพระบาทา แล้วแต่ทรงประสงค์ใช้
พี่ยามาเกี้ยวนั้น น้องหวาดหวั่นจะหมองไหม้
ฤทธี ธ เกรียงไกร อย่าคิดเกี้ยวเลยพี่ยา
น้องมาในวันนี้ เพราะเสียงคีตะนำมา
น้องใคร่มาศึกษา เพื่อบรรเลงกล่อมพระอินทร์
(๑๖) เหล่าเทพเทวัญหวั่นจินต์ สดับได้ยิน
สำเนียงนางว่าดังนั้น
ต่างก็ร้อนรนบ่นพลัน เกรงว่านางอัน
เป็นนางสนองอินทรา
จะนำความทูลใต้ฝ่า ละอองบาทา
จอมเทพองค์อินทร์เมาลี
จึงคิดจับกุมนางนี้ เอาไว้เป็นที่
มิให้ทราบถึงจอมสรวง
แล้วแต่งอุบายทั้งปวง หมายจักล่อลวง
นางนั้นไว้ ณ แดนตน
(๑๑) ช้าช้านวลน้องหญิง ผู้งามยิ่งมิ่งวิมล
การเรียนดุรีย์กล มีทักษะหลายประการ
เรียนเร่งเรียนรัดไป มิดีได้ในแก่นสาร
ค่อยเรียนค่อยสำราญ ค่อยต่อขานการดนตรี
จะเรียนก็เรียนเถิด พี่จะเปิดฤทัยนี้
เพื่อสอนดีดพิณคี- ตาทิพย์เลิศบรรเจิดแท้
จักใช้หลายปีกาล เพื่อดวงมานเข้าใจแน่
นับขวบในดวงแด ร้อยปีพ้นจึงผลดี
(๑๖) พระอินทราธิบดี ตริตรึกฤดี
รู้ทันเท่าทุกเหตุการณ์
จึงตรัสถ้อยพจมาน เป็นกลแก่การ
สั่งสอนทวยเทพเทวัญ
(๑๑) ดูก่อนพระพี่เอ๋ย ที่เอื้อนเอ่ยจะสอนนั้น
ซุ่มเสียงสำเนียงอัน บรรเจิดแน่ฤๅไฉน
ไหนเลยน้องจะทราบ น้องขอกราบพี่ยาให้
มาลองเริงฤทัย ประชันพิณกับน้องเทอญ
หากแม้นเสียงเนาะ นั้นไพเราะและชวนเพลิน
น้องใคร่จะสรรเสริญ และจะเรียนอยู่นี้แล
(๑๖) เหล่าเทพนั้นมั่นดวงแด ว่าของฉันแน่
เพราะเริงเล่นทุกเวลา
จึงมิเอื้อนเอ่ยวาจา อันใดออกมา
เสียงพิณก็บรรเลง
เทวัญนั้นจึงดีดเพลง แห่งความครื้นเครง
สำเนียงไปทางตัณหา
รสเพลงเป็นถ้อยพรรณา ถึงแต่กามา
ว่าสุขเหลือสิ่งอื่นใด
นาฏกรเริ่มวอนไหว้ ร่ายรำกันไป
ด้วยหลงในรสนิวรณ์
บ้างยินเสียงดนตรีขจร ไร้ความสังวร
สังวาสต่อหน้าต่อตา
มินึกละอายหมู่ประชา บนพื้นโลกา
มัวเมาหนอแดนเทวัญ
องค์อินทร์ในรูปนางนั้น จึ่งดีดพิณพลัน
พิณทรามนั้นขาดทันใด
ธ บรรเลงเพลงดังไกล เป็นบทธรรมชัย
ก้องครึ้ม ณ บนอัมพร
บัดนั้นโฉมองค์อินทร ที่เป็นสมร
แลพิณเลือนไปทันที
ปรากฏแก่หมู่เทวี เทวัญก็ดี
เป็นองค์อินทร์เทพจอมแดน
สถิตเหนือเมฆาแมน เป่าสังข์อันแสน
สำเนียงนั้นเหนือดนตรี
หวู่วู้เสียงธรรมทวี ขับกล่อมชั้นนี้
ที่คลุ้งไปด้วยกามา
กลับกลายเป็นกลิ่นมาลา คือปทุมมา
อันถวายแด่พระอรหันต์
จบสำเนียงเสียงสังข์นั้น สงบลงพลัน
ความเลวหายไปทันใด
ธ จึงตรัสเตือนเทพไท เอ่ยถ้อยร้อยใจ
เสนาะสุรเสียงก้องมา
(อินท ๑๑) ดูเถิดนะทวยเทพ มนเสพระยำช้า
ชวนให้สุขาปรา- กฏขึ้นฤอย่างไร
สำราญก็จริงอยู่ ฤดิรู้ฤหาไม่
เสพสิ่งมหาภัย น่ะสนุกมิเนิ่นนาน
แวบเดียวก็เกิดผล จะมิพ้นตริหักหาญ
คงได้ณรงค์การ ปะทะกันเพราะทั้งปวง
ตัวอย่างก็มีมา ทะเลาะบ้าสนั่นสรวง
เกือบพ่ายอธรรมลวง สละแดนสนองมัน
อยู่กันก็วันนี้ จะมิมีสิแปรผัน
ใช้ธรรมะยึดมั่น ปฏิบัตินิพัทธ์ดี
(๑๖) บัดนั้นเทวัญเทวี น้อมนอบเกศี
ระยอบบังคมองค์อินทร์
เพราะธรรมแห่งองค์มุนินทร์ ทำให้ลืมสิ้น
สุขอันมายาทั้งปวง
เกิดปีติอันใหญ่หลวง สงบแดนสรวง
สว่างจ้าแดนนั้นทันที
เหล่านางนาฏเทวี ก็โปรยมาลี
ขจายเบื้องพื้นเมืองแมน
สุขอันใดจะเหมือนแม้น ธรรมะสุขแสน
รู้ได้แก่ใจตนเอง ฯ
14:00 11/11/255
12 พฤศจิกายน 2550 16:56 น.
"เพชรสังคีต"
โลกมีเมื่อสมมติ
ครั้นลืมตาพาเห็นสิ่งเป็นทุกข์
ทั้งสนุกทั้งโศกเศร้าเคล้าไฉน
เมาสมมติว่าสิ่งนั้นมันวิไล
พาหัวใจเข้าไปจมหวังชมเชย
ทั้งโลกนี้ว่างเปล่าเหงาที่สุด
ไร้มนุษย์ไร้สัตว์ชัดเฉลย
ไร้ต้นไม้ไร้ใบหญ้าอย่าบ้าเลย
ไร้ทุกสิ่งที่เราเคยได้เห็นมา
มันก็ล้วนชวนแต่หลงพะวงจิต
ปรุงให้คิดสมมติสุดหรรษา
นั่นสิ่งนั้นมันชื่นรื่นกายา
จึงชักพาให้หลงทุกข์สนุกไป
ในโลกนี้มีอะไรที่ไหนแน่
ที่สุขแท้ไม่ร้างสว่างไสว
มีสิ่งหนึ่งสำคัญนั้นที่ใจ
สงบได้พบสุขแน่อย่างแท้จริง
ชี้ร่างกายของเราที่สาวสวย
สุดสำรวยหลากหลายทั้งชายหญิง
ที่เห็นงามทรามวสงวนชวนแอบอิง
ก็ในสิ่งที่มายาอันบ้าบอ
มองให้เห็นชัดชัดถนัดเนตร
สิ่งสมเพสเทวษใจอันใดหนอ
พาหัวใจเรานั่งลงรั้งรอ
ชื่นสมมติดุจช่อมาลากรรม
สิ่งสมมติให้เห็นเป็นสมมติ
แล้วเร่งรุดเริ่มใจให้ชื่นฉ่ำ
พิจารณาให้เห็นเป็นรสธรรม
จะพาใจดื่มด่ำทุกค่ำเช้า
วัฏฏะสงสารสงสารดังขานว่า
เวทนามิได้สิ้นจินต์สุดเศร้า
มองให้เห็นหนึ่งในนั้นมันตัวเรา
เกิดมาเขลาชั่วประเดี๋ยวก็เลี้ยวไป
ชีวิตเราเหมือนเป็นเช่นละคอน
มันยอกย้อนโย้เย้เขวไฉน
พอจบตอนจะปรีดาหรือหาไม่
พาหัวใจเลือกได้ในครานี้
สงบเถิดเปิดพระธรรมนำชีวิต
อย่าหวนคิดถึงมายาจงกล้าหนี
พบสุขจริงสุขยิ่งพ้นทวี
หลุดแหล่งโลกทุกข์นี้ที่นิพพาน
4:24 8/11/255
9 พฤศจิกายน 2550 15:37 น.
"เพชรสังคีต"
...เหมันต์ระอุ
พอเหมันต์พลันพรายระบายร่าง
คิดถึงนางน้องขวัญให้หวั่นไหว
ไร้คนเชยชมเดือนเป็นเพื่อนใจ
โอ้กระไรจึงเป็นถึงเช่นนี้
ชะรอยวงศ์พงศ์ศักดิ์พรรคของเจ้า
อยู่เงื้อมเงายอดเพชรวิเศษศรี
มิให้เจือนเปื้อนสาวคาวราคี
ให้กำสรดพี่ยานี้ทุกทีไป
แม้นเป็นคืนวันเพ็ญเล่นลมหนาว
พี่ยิ่งร้าวดวงแดแม่รู้ไหม
คำนึงถึงซึ่งคืนนั้นอันชื่นใจ
กอดเจ้าไว้ในแขนสุดแสนรมย์
ลออองค์หงส์ฟ้ามาบินต่ำ
มาเกลือกกลั้วกาดำถลำหล่ม
มินึกถึงแววสวรรค์อันชื่นชม
มิได้เกรงเปื้อนตมนิยมดิน
แสวงรักสวาทรู้ดูไม่ถึง
แสนยาซึ่งสิ่งใหญ่ทรงดำรงสิน
แม้นหากรู้มาห้ามเราเคล้ายุพิน
คงชีวินแค้นชีวันให้บรรลัย
ยิ่งเหมันต์พลันหนาวเข้าสุดจิตต์
ยิ่งชีวิตร้อนรนมิทนไหว
ยิ่งลมพราวพรายแผ่วกลิ่นแววใจ
ยิ่งขื่นขมตรมฤทัยไม่เว้นวัน
ขอเถิดเทพเสพสรรสวรรค์หล้า
ขอพรพาข้าน้อยอย่าพลอยพรั่น
แม้นรักข้ามิถึงซึ่งรักนั้น
อย่าปล่อยให้คงชีวันหวั่นอย่างนี้
ขอเถิดสาปข้าน้อยลอยไปสู่
ถิ่นที่ผู้ถึงที่ผ่อนร่อนเมืองผี
มิขอรู้รักใดในธาตรี
ให้แผดเผาเถ้าธุลีอัปรีย์ไป
อันความรักหนักจิตให้คิดหน่วง
เหนี่ยวแดดวงห่วงหารักอาศัย
ถึงรักดีที่ขื่นก็ชื่นใจ
ถึงรักร้ายตายก็ตรมระทมเอย ฯ
(8:11 2/11/2550)