21 กรกฎาคม 2549 18:18 น.
เพชรพรรณราย
วันและคืนกลืนน้ำตาพาความเศร้า
ใจแสนเหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดายฝัน
จากวันวานผ่านปวดร้าวคราวจาบัลย์
ความไหวหวั่นยังบันทอนตัดรอนใจ
เงาอดีตกรีดเป็นแผลแม้จะหาย
ก็มิวายหมายแผลเป็นให้เห็นได้
ความเจ็บปวดราวร้าวคราวจากไกล
ทิ้งรอยไว้ให้คำนึงตรึงเวียนวน
อยากจะลบกลบอดีตกรีดใจขม
ทิ้งอารมณ์ตรมให้หายวายแห่งหน
แต่ยิ่งทำกลับย้ำใจให้อับจน
ความร้อนรนสันสนเพิ่มเติมทวี
เงาอดีตกรีดใจใครเล่าหาย
จนวันตายสลายลงปลงวิถี
เพียงยอมรับกับความจริงเป็นสิ่งชี้
ปรับวิธีที่ก้าวย่างอย่างมั่นคง
ให้ความเจ็บแต่คราวหลังครั้งยากลืม
ให้หยิบยืมเงากาลผ่านประสงค์
ประยุกต์ใช้อย่าได้ท้อต่อใจจง
เพื่อสานส่งสู่วันใหม่ดังใจเรา
29 มิถุนายน 2549 14:36 น.
เพชรพรรณราย
ภูเขาเปลี่ยวเดียวดายคล้ายเศร้าสร้อย
จันทร์เคลื่อนคล้อยดูหงอยหงอยคอยส่องแสง
ท้องสมุทรสุดอ้างว้างวางแสดง
เป็นนัยแฝงแห่งอารมณ์ตรมมิวาย
อยู่ที่ไหน.เวลาใด.ใจก็เหงา
ห้วงแห่งเศร้าเฝ้าถากถางมิห่างหาย
ยามที่จากพรากกันวันเดียวดาย
ย่อมเหงาได้ในทุกที่..ไม่มีเธอ
ผ่านถนนหนทางเคยย่างก้าว
ยิ่งปวดร้าวคราวคิดถึงตรึงเสมอ
ยินเสียงเพลงบรรเลงเพลงของเธอ
น้ำตาเอ่อเพ้อพร่ำร่ำรำพัน
กลับมาเถิดคนดี..สุดที่รัก
คืนสลักหักรักพังครั้งโศกศัลย์
อยู่ที่ไหนใจก็เหงาเศร้าจาบัลย์
ลบไหวหวั่นวันที่เหงา.ให้เบาคลาย
14 มิถุนายน 2549 22:45 น.
เพชรพรรณราย
ท้องทะเลเหว่ว้าตามองคลื่น
แอบสะอื้นกลืนน้ำตาพาใจหมอง
ห้วงอารมณ์ผสมเศร้าเหงามาครอง
ใจร่ำร้องมองนาวาน้ำตาริน
ยืนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเปล่าเฝ้าคิดถึง
ในครั้งหนึ่งรำพึงหาพาถวิล
เคยเคียงคู่อยู่ด้วยกันวันสมจินต์
ท้ายกลับสิ้นรักผินจากฝากอาลัย
เหลือเพียงภาพอาบน้ำตาเวลาเหงา
รักเก่าเก้าเฝ้าโหยหากลับมาใหม่
สายเสียแล้วแก้วกาดาเจ้าลาไกล
คงเหลือไว้ในความหลังหลั่งน้ำตา
ทรายผืนเดิมแต่เพิ่มเติมความเหงา
ทะเลเก่ากลับต้องเศร้าเหงาหนักหนา
คลื่นซัดสาดมิขาดคำว่าอำลา
เหม่อมองฟ้าสองตาหมองร้องหานาง
สายลมแว่วดังแผ่วผ่านรีบขานรับ
เอียงหูจับกับสำเนียงเสียงไกลห่าง
คล้ายเสียงเจ้าเฝ้ามองดูอยู่ทุกทาง
หากแต่สร้างวางจิตคิดไปเอง
ยืนเหงาเปลี่ยวเดียวดายข้างชายหาด
น่าอนาถวาดรักล่มถูกข่มเหง
น้ำตาหลั่งยังผืนทรายมิหมายเกรง
แล้วบรรเลงเพลงสะอื้น......กับผืนทะเล
24 พฤษภาคม 2549 20:50 น.
เพชรพรรณราย
รุ่งอรุณอุ่นละไมไออุ่นแสง
ตะวันแดงแยงนภาขอบฟ้ากั้น
แสงสีทองผ่องอำไพใกล้ตะวัน
บอกว่าผันวันใหม่แล้วแก้วนภา
หมองจางจางระหว่างเขาเงาสะท้อน
วูบไหวอ่อนย้อนแสงทองคล้องเวหา
คล้ายม่านทองผ่องพรรณอัศจรรย์ตา
กั้นภูผาหว่างเวหาน่าชวนชม
ลมเย็นพัดสะบัดไม้ไหวไหวลิ่ว
พัดไม้ปลิวพลิ้วผ่านสำราญสม
ปล่อยห้วงใจให้ไหวไปตามสายลม
คล้อยอารมณ์จมห้วงในดวงใจ
ลืมตาตื่นยืนยินเสียงสำเนียงร้อง
ยินเสียงก้องจากท้องป่าพาหวั่นไหว
เสียงนกเรียกเพรียกหากันในพงไพร
บินลับไปในขอบฟ้าออกหากิน
ฟ้าเปลี่ยนแสงแห่งตะวันที่ผันส่อง
จากแสงทองรองเรืองหายกลับกลายสิ้น
สีเงินเคลื่อนเลื่อนมาสู่ฟ้าดิน
แล้วร้างสิ้นผินผ่านตามกาลกล
จนอาทิตย์สถิตฟ้านภากาศ
แสงขาวสาดมิขาดหายวายแห่งหน
สู่พื้นแผ่นทุกแดนไปในตำบล
จุดเริ่มต้นบนโลกกว้างต่างดิ้นรน
9 พฤษภาคม 2549 16:58 น.
เพชรพรรณราย
กว้างสองศอก ยาวหนึ่งวา
บุรุษหนึ่ง
คนคนหนึ่งจะพึงได้แค่ไหนเล่า
จับจองเอาแผ่นดินเป็นสินทรัพย์
ที่แย่งยื้อถือครองหมายปองนับ
ช่วยตอบกลับสดับฟังยังข้อความ
บุรุษสอง
จะมากน้อยยากตอบแท้แก่ปัญหา
หนึ่งเกิดมาวาสนาอย่ามองข้าม
สองความเพียรหากคิดครองมิข้องยาม
ตอบคำถามตามเหตุผลด้วยจนใจ
ความข้อนี้ที่ตอบชอบไหมท่าน
โปรดช่วยขานผ่านปัญหาค่าที่ให้
ผิดถูกไซร้ให้จำย้ำความนัย
เพื่อจำไว้ในความรู้อยู่ในตน
บุรุษหนึ่ง
คนคนหนึ่งพึ่งได้มาข้าจะบอก
กว้างสองศอกยาวหนึ่งวาอย่าสับสน
เพียงเท่านี้ที่พึงได้ในทุกคน
มีเหตุผลกลแฝงนัยให้พิจารณา
เมื่อเกิดมาค่าที่ถือคือตัวเปล่า
แย่งยื้อเอาเฝ้าสร้างวางปรารถนา
จนสุดท้ายพ่ายแพ้แก่ชรา
มรณากายาสิ้นดิ้นดับลง
สู่พื้นดินสิ้นใจไร้วิญญา
ยาวหนึ่งวากว้างสองศอกบอกประสงค์
ที่ครอบครองเป็นเจ้าของยามปลดปลง
ฝังร่างลงตรงแผ่นดินเมื่อสิ้นใจ