14 ตุลาคม 2548 09:22 น.
เพชรพรรณราย
บทท่องยุทธจักร
อักขระเปล่าร้าง.รูปลักษณ์
จารึกผนึกหลัก...ศาสตร์ไว้
เพียงหนึ่งน้อยประจักษ์....แท้ถ่อง เข้าใจ
สุดแต่วาสนาได้ผ่านพบ ซึ้งความ
คัมภีร์นามว่าไร้.อักษร
ลือทั่วทิศกระฉ่อน.ทั่วแคว้น
ใครครองครอบรู้ซ่อน..........ค่าล่วง วิทยา
มิเทียบทานมาตรแม้น..........เลิศล้ำ ใครทาน
ยุทธภพจบพื้น..แผ่นดิน
ปราบศัตรูหมู่สิ้น..........ชั่วร้าย
เพียงหนึ่งผู้ยลยิน.....รู้ชัด ความนัย
ผนึกตรึกอักษรคล้าย....ร่ายลึก ไร้นาม
แม้ครอบครองหากไร้......วาสนา
ก็มิอาจพบพาซึ้งจิต
หนึ่งผู้คู่ควรค่า. .. .ตามแต่ง บุญกรรม
ดีชั่วตัวอุทิศ.....ใฝ่ซ้อง ความดี
เพียงคัมภีร์หนึ่งนี้..จารึก ฤาเล่า
ไร้พู่กันลงหมึก.ร่างข้อ
ควรหรือยุดแย่งฝึก.เข่นฆ่า แย่งชิง
สิ้นชีพเพราะต่างฉ้อ..ลุ่มลึก หลงทาง
ตำราคงบอกกล่าวให้.ผู้คน
ที่คว้าไขว่ฝึกฝน.ค้นค่า
ลืมรูปร่างท่าตน.ฝนฝึก ตรึงตรอง
ปลดปล่อยกำหนดท่า.ลบสิ้น กระบวน
วาดท่วงท่าดั่งนึก.ในใจ
ลืมกฎกำหนดไว้......ว่างคิด
รุกรับแก้ดั่งใจ..มิหวั่น พรั่นกลัว
คือหนึ่งร่างลิขิต...ซึ่งปราชญ์ คัมภีร์ฯ
บทสุนทรสอนใจ
จารึกอักขระละอักษร
ไร้สุนทรสอนถ้อยร้อยภาษา
แค่เพียงหนึ่งซึ่งว่างเปล่าเล่าตำรา
ใยค้นหามาครอบครองหมายปองกัน
สำคัญหรือถือคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่
จารึกให้ไร้ความข้อต่อหมายมั่น
ยื้อแย่งยุดฉุดคร่าหาสิ่งอัน
เพียงค่านั้นมันว่างเปล่าเฝ้าแย่งชิง
ควรแล้วหรือมาทิ้งชื่อระบือนาม
ค้นหาความตามคัมภีร์ไร้สรรสิ่ง
เข่นฆ่าเพื่อนพี่น้องมิตรจิตประวิง
โมหะสิงทิ้งค่าคนจนสิ้นดี
ท่านผู้เขียนเพียรผนึกจารึกข้อ
คงตัดพ้อต่อผู้คนค้นวิถี
ตีความผิดคิดพลั้งยังชีวี
ด้วยคัมภีร์นี้จารึกให้ตรึกตรอง
สัจธรรมนำอยู่รู้ความได้
หลักธรรมไซร้ให้ข้อคิดจิตไม่หมอง
อันคัมภีร์ไร้อักษรย้อนคิดครอง
ให้เห็นพ้องต้องสัจแท้แก่ความจริง
ท่านคงให้เราทิ้งทุกสิ่งสรร
ความยึดมั่นอันตัวตนค้นทุกสิ่ง
ความเปล่าว่างต่างหากที่แน่นิ่ง
คือหลักจริงสิ่งที่มีคัมภีร์มา
เป็นเส้นทางวางไว้ให้ไปสู่
ทางแห่งผู้แสวงธรรมนำค้นหา
เพื่อให้ถึงซึ่งนิพพานอนัตตา
ปรารถนาค่าลิขิตคิดคัมภีร์
12 ตุลาคม 2548 14:41 น.
เพชรพรรณราย
บทนิทาน
กระพริบระยิบพลิ้ว................ลิ่วลม
กลางหมู่แสงดาวพรม.......พร่างฟ้า
เทียบเคียงรัสมีชม................จันทร์ส่อง นภา
ขันแข่งด้วยแกร่งกล้า.......คิดท้าแสงจันทร์
ดาวเห็นระเด่นอ้า........เจ้าแมลง
ตัวเล็กคิดแสดง.........แข่งสู้
ระยิบระยับแจ้ง..........ประจักษ์ สาดส่อง
ลอยล่องนภาผู้............เย้ยเยาะ เจ้าจันทร์
จันทร์เจ้าบ้างเอ่ยเอื้อน.....วจี
ไยเหล่าแมลงเหล่านี้..............แข่งข้า
แสงฤาเล่าเราชี้..........ริบหรี่ หม่นมัว
ไยจึ่งเจ้าคิดท้า.........เทียบไท้ ตัวเรา
คำกล่าวเจ้าหิ่งห้อย.......น้อยใหญ่
ข้าแค่เพียงอาศัย........ค้นคู่
ความมืดมิเห็นได้.......ดังเช่น กลางวัน
จึ่งส่งแสงให้รู้...........หนึ่งผู้ เฝ้าคอย
ข้ามิคิดท้าท่าน..........เห็นควร
เฉกเช่นในสำนวน.......ปักษ์ไว้
ข้าเพียงหนึ่งน้อยล้วน......ด้อยนัก
ท่านก็เห็นเช่นได้........สิ่งสัตย์ ความจริง
ดาวและเดือนต่างพิศ.......รู้ความ
รู้คิดลิขิตตาม..............หิ่งห้อย
จริงแท้แก่คำถาม.........พร่ำเอ่ย คำไป
เห็นชัดด้วยเห็นคล้อย......เหตุนั้น สัจวจีฯ
รำพันรักด้วยคิดถึง
ล่องละลิ้วพลิ้วแสงใสไหวระยับ
เคียงคู่กับดาราจันทราแสง
สวยลมเคลื่อนเลื่อนหมู่ผู้แมลง
ล่องด้วยแสงแข่งจันทร์เจ้าลำเนาลอย
เหมือนดาวเคลื่อนเดือนคล้อยลอยตามสาย
ผ่านแมกไม้แพรพรรณอันน้อยใหญ่
ระยับยิบกระพริบกระทบไพร
ลมพลิ้วไหวไม้สั่นไหวหวั่นอุรา
สายลมโชยโหยหาค่าความรัก
ฝากสลักรักไปในเวหา
วอนหิ่งห้อยน้อยใหญ่ให้นำพา
สื่อภาษาค่ารักมั่นให้ผันตาม
แม้เวลาคราใดใจรักมั่น
ด้วยสัมพันธ์อันมั่นคงตรงคำถาม
ความรักจริงหิ่งห้อยลอยลมตาม
ฝากข้อความตามลมเลื่อนเคลื่อนที่ไป
แสงหิ่งห้อยเป็นสื่อสายหมายสัมพันธ์
สัญญาณนั้นครั้นกระพริบระยิบไหว
ค่าความรักสลักสัญญาพาคู่ใจ
ด้วยดวงใจใฝ่เพียงเจ้าตราบนิรันดร์
10 ตุลาคม 2548 16:45 น.
เพชรพรรณราย
อาฆาตมาตรมั่นไว้ในทรวง
รอซึ่งเวลาล่วง.ลบแค้น
สาสมแก่ใจดวง..ปวดเจ็บ เหลือทน
อยู่แห่งใดในแคว้น..จะล้าง ตามไป
ความเจ็บฤาไม่สิ้น.หายห่าง
ความท้อทุกข์ไม่วาง.ว่างเว้น
สะสมก่อต่อร่าง.น้อยนิดเพิ่มพูน
รอแค่โอกาสเน้น..เซ่นช้ำ สาใจ
ให้เจ็บมากกว่าร้อย..เท่าที่ฉันเจ็บ
ระบายถ่ายเจ็บนี้หม่นไหม้
ปลดปล่อยปิศาจผี..ในจิต ห้วงใจ
อิสระโมหะไซร้..หนึ่งภูต วิญญาณ
ล้างผลาญขานขับฆ่า...บ้าบิ่น
ตามติดทุกแผ่นดิน..ล่ารุก
ฟัดฟาดให้ขาดสิ้น.ใจหน่ำ ช้ำทรวง
ใครคิดห้ามปราบปลุก..จะล้าง ให้จม
เก็บความแค้นแสนช้ำระกำหมอง
เพียงร่ำร้องก้องอุราอาฆาตไว้
รอเวลาพาชำระแค้นหัวใจ
ฉันจะให้มันได้เจ็บเหน็บไม่วาย
เจ็บเพียงใดจำไว้ไม่เคยลบ
รวมสบทบทีละน้อยร้อยความหมาย
ฉันจดจำเพื่อชำระในเชิงชาย
ให้ยิ่งร้ายหมายมุ่งมั่นรอวันคืน
อย่าให้ถึงทีของฉันเมื่อมันเห็น
จะไม่เว้นจองเวรแม้หลับตื่น
ให้หลอกหลอนนอนฝันร้ายให้กล้ำคืน
เหยียบให้จมถมพื้นยากฟื้นมา
ให้สาสมความตรมที่ถมอยู่
ให้มันรู้ว่าผู้นี้ยังมีค่า
ให้สมกับความแค้นแน่นอุรา
คนไร้ค่าอาฆาตประกาศไป
รอวันผ่านประสานมาพาวันหนึ่ง
จะให้ถึงซึ่งแค้นแสนหมองไหม้
ให้เจ็บยิ่งกว่าฉันมั่นความไว้
ให้สาใจที่มันทำให้ช้ำทรวง
8 ตุลาคม 2548 13:09 น.
เพชรพรรณราย
เบื่อหน่ายถ่ายท้อต่อชีวิต
จึงลิขิตสุนทรกลอนเล่าขาน
เพื่อปลดเปลื้องเรื่องที่ท้อต่อวันวาน
ด้วยดวงมาลย์รานร้าวคราวอ่อนแอ
ฉันอับจนหนทางอย่างมืดมน
มันสับสนปนท้อไร้ข้อแก้
ความไว้เนื้อเชื่อให้ให้เปลี่ยนแปร
ทั้งคนรักเพื่อนแท้ที่แปรไป
เหมือนโดนทิ้งประวิงวนเมื่อค้นคิด
ใช้ดวงจิตพิจารณาหาความได้
เมื่อพวกเขาไม่เฝ้าเอ่ยเผยความนัย
ก็รู้ได้ในท่วงท่าภาษาสัมพันธ์
ความรู้สึกนึกน้อยใจยามไร้ร้าง
คนคิดห่างต่างหยามเหยียดให้เย้ยหยัน
ทนเจ็บปวดรวดร้าวเหงาเศร้าจาบัลย์
อยากจะตายวายชีวันเมื่อมันตรม
ใจเอ่ยใจไม่รู้ว่าค่าแค่ไหน
จะรับได้ในทุกข์ท้อต่อทับทม
ใจคงขาดมาตรแม้นแสนระทม
ความขื่นขมถมไม่สิ้นคงดิ้นตาย
อีกไม่นานผ่านผันฉันคงสิ้น
คงดับดิ้นตรอมใจในความหมาย
ความทุกข์ท้อต่อยอดทอดไม่วาย
สิ่งที่หมายคงวายปราณด้วยตรมตรอม
7 ตุลาคม 2548 16:36 น.
เพชรพรรณราย
นั่งเหม่อลอยร้อยใจตรึกระลึกหา
เหม่อมองฟ้าพาหวนรัญจวนเหงา
ใต้ร่มไม้ต้นใหญ่ให้ร่มเงา
วันเก่าเก่าที่เราผ่านประสานมา
ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้มีความหมาย
ในใจชายมิวายถึงคำนึงหา
ค่าความรักที่ปักษ์ใจไม่โรยลา
ยังตรึงตราค่ามั่นมิผันแปร
ต้นไม้ต้นนี้ที่แรกพบ
แรกประสบคบหาพารักแท้
รู้จักกันผูกสัมพันธ์หมั่นดูแล
ค่อยค่อยแปรแก่เพื่อนเลื่อนรักจริง
ต้นไม้นี้สองเราเฝ้าวาดฝัน
สัญญามั่นไม่หวั่นไหวในทุกสิ่ง
จะเคียงอยู่คู่สองครองใจนิ่ง
รักเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลกา
ต้นไม้ต้นนี้ที่เราจาก
ที่เราพรากฝากคำให้ย้ำหา
ด้วยสัตย์ปฏิญาณผ่านสัญญา
จดจำค่าว่ากี่วันฉันจะรอ
ต้นไม้ต้นนี้ที่ยังคอย
ใจละห้อยร้อยเหงาเศร้าสุดท้อ
เฝ้าระบายคำพร่ำน้ำตาคลอ
ตั้งตารอต่อสัญญาโหยหานาง
ต้นไม้ต้นนี้คืออดีต
ที่ตามกรีดหัวใจให้หายห่าง
ทั้งความหวังฝังรักปักใจวาง
ทั้งราร้างห่างพรากเมื่อจากลา