เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา...คิดถึงเมนูอาหารว่าจะทำอะไร ทานดี..พอดีนึกขึ้นได้ว่าได้สูตรทำอาหารอย่างหนึ่งจาก เพื่อนฝน (โคลอน) มาหลายวันแล้ว...เผอิญยังจำได้อยู่ ส่วนผสมก็มีไม่กี่อย่าง...และหลังจากได้สำรวจวัตถุดิบ ที่มีอยู่...ก็ตัดสินใจทันทีว่า..ต้องแสดงฝีมือซะแล้ว เพราะมีครบหมดทุกอย่างเลยง่ะ...แจ่มเลยเรา...อิอิ อาหารที่ว่าเป็นอาหารของชาวฝรั่งเศสเชียวนา..หุหุ ฝนบอกสูตรและวิธีทำให้ทางโทรศัพท์.. และด้วยความ ง่ายของวิธีทำอ้อยเลยจำได้ทุกขั้นตอน...อาหารจานนี้มี ชื่อว่าเฟรนทซ์โทสต์ (French tost) ซึ่งวันนี้จะกลายเป็นอาหารเช้าของข้าพเจ้าเองค่ะ...(=^o^=) ^ ^ และนี่คือส่วนผสมซึ่งประกอบไปด้วย - ขนมปังสไลด์ 4-5 แผ่น จะเป็นของฝรั่งเศสหรือของที่มีขายทั่วไปก็ตามสะดวกเลยค่ะ วันนี้อ้อยขอใช้เป็น โฮลวีตแล้วกันเพราะที่บ้านมีพอดี - ไข่ไก่ 2 ฟอง - อบเชย (ชินาม่อน) ป่น 1-2 ช้อนโต๊ะ - นมจืด ½ ถ้วย - น้ำตาลไอซิ่ง - น้ำผึ้ง - เนย 2 ก้อน ใช้สำหรับทอด วิธีทำ >> ก็ง่ายแสนง่าย นีเป็นคำพูดของ เพื่อนฝนค่ะ เริ่มจากนำไข่มาตี แล้วผสม นมจืด อบเชย เข้าด้วยกัน คนจนส่วนผสมเป็นเนื้อเดียวกัน... จากนั้นนำขนมปังมาชุบลงไปโดยให้ขนมปังชุ่มทั่วแผ่น และที่เห็นเป็นผงสีน้ำตาลลอยอยู่นั่นก็คือผงอบเชยค่ะ อยากบอกว่า.ผงอบเชยเนี่ย จะทำให้ขนมปังมีกลิ่นหอมมากๆ ที่สำคัญช่วยเพิ่มรสชาดให้อร่อยยิ่งขึ้นด้วย ขอบอกๆ..อิอิ เมื่อชุบขนมปังจนชุ่มดีแล้ว ก็เตรียมกะทะวางบนเตาพร้อม แล้วนำเนยมาใส่ลงไปรอจนเนยละลาย นำขนมปังที่เราชุบไข่ไว้ ลงมาทอด กลับไปกลับมาแค่สองสามครั้ง ก็ใช้ได้สุกง่ายมากๆ อืม...กลิ่นหอมของอบเชยโชยขึ้นมาเตะจมูก ท้องเริ่มร้องแล้วเจ้าค่ะ..ฮ่าๆๆ เมื่อทอดสุกแล้ว หน้าตาจะเป็นแบบนี้ ที่เห็นเป็นสีน้ำตาลเข้มๆ อย่าเข้าใจว่า ขนมปังมันไหม้นะคะ ..จริงๆแล้วคือสีของอบเชยอ่ะค่ะ..ถ้าเราใช้ขนมปังขาว สีก็จะอ่อนกว่านี้ค่ะ.. หลังจากตักขึ้นใส่จานโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง แต่งหน้าด้วยสตอเบอรี่อีกสัก หน่อยให้มันมีสีสัน..จากนั้นก็ราดด้วยน้ำฝึ้ง เพื่อให้มีรสหวานหอม มองดูมันโล่งๆยังไงกะไม่รู้...ต้องหาอะไรมาเพิ่มว่าแล้วก็ไปเปิดตู้เย็น สำรวจดูว่าพอจะมีอะไรบ้าง...อืม..มีส้มซันควิ๊กอยู่ 1 ผล กีวี 2 ผล เอาหล่ะแค่นี้ก็แจ๋วสุดๆแล้ว นำส้มกับกีวีมาปอก แล้วหั่นจนได้ปริมาณ ที่พอใจ..อ้อยก็นำขึ้นมาจัดเรียงทันที.. และนี่คือหน้าตาของ เฟรนซ์โทสต์ ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วค่ะ ว๊าวๆ...ดูดีแฮ่ะ (ขอชมตัวเองนิดนุง..อิอิ) เป็นอันเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนลิง..พร้อมหม่ำแล้ว ..... ทานพร้อมกับผลไม้...ก็จะช่วยทำให้ความเลี่ยนลดน้อยลง หรือจะทานพร้อม นมสด หรือไม่ก็กาแฟร้อนสักถ้วยก็ไม่เลว ตามแต่ชอบและสะดวก... สำหรับเช้าที่บรรยากาศแสนสบาย เนื่องจากมีฝนตกพรำๆ อ้อยขอทานกับกาแฟดีกว่า...จิบไปฟังเพลงบรรเลงไป เฮ้อ...เป็นช่วงเวลาที่แสน จะสบายจริงๆ....หลังจากตักคำแรกเข้าปาก..โอ้..อร่อยมากๆสหายฝน...หวานกำลัง ดี และกลิ่นของอบเชยนี่..ช่วยให้เจริญอาหารจริงๆ...ปรากฏว่าเกลี้ยงจานค่ะ.. สำหรับเมนูนี้ขอยกเครดิตให้โคลอน...ที่แนะนำ... < < แล้วพบกันวันหน้ากับอีกหนึ่งเมนูแนะนำจากสหายฝน... ขอบอกว่ามันไม่ธรรมดา..บาย เทียนหยด (=^o^=)
ทำไมต้อง "ส้มตำ" เห็นมีแต่มะละกอมีส้มตรงไหนนี่..อิอิ ทำไมต้อง "ส้มตำ" คนอื่นก็ตำกันเยอะแยะ..คนชื่อ ส้ม ตำคนเดียวที่ไหนเนาะ.. ทำไมต้อง "น้ำตก" น่าจะเป็นหมูตก หรือเนื้อตกมากกว่านิ.. แล้วที่ว่า "น้ำตก" น่าจะเป็นน้ำอะไรดีน๊ะ หว่าง น้ำตาตก กับ น้ำลายตก..เอ..หรือว่า หก ดี? 55555 ทำไมต้อง "ซกเล็ก" นี่ก็แปลกมีแต่เนื้อสัตว์กะเลือดเป็นตัวนำ...แบบว่า มันน่ากลัวมากกว่าน่ากินอ่า...หุหุหุ ทำไมต้อง "ซกเล็ก" หรือว่า ย่อ มาจาก ซกมกเล็กๆ..ประมาณว่าสกปรก เล็กน้อยพอทนได้..หรือเปล่า? อ่านแล้วอย่าว่ากันนิ...มันเป็นแค่เพียงความสงสัยส่วนตั๊วส่วนตัว ขอยกมาแค่ สามอย่าง จริงๆแล้วมีอีกเยอะสำหรับชื่ออาหาร ของบ้านเรา...ที่สร้างความงุนงงและสงสัยให้ตลอดเวลาซิเอา.. ปล.(=^o^=) ลิงเชียงรายเอ๊ย.... เสียใจด้วยนิ...คำแช่งที่ไร้ซึ่งความหมาย ฮ่าๆๆๆๆ
เช้าวันอาทิตย์หลังจากที่ฉันปฏิบัติภาระกิจส่วนตัวเสร็จ.. ตั้งใจว่าจะไปตลาดซะหน่อย..แต่ยังไม่ทันได้ออกจากบ้าน ก็มองเห็นหลานชายเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถามว่า "น้าอ้อยครับยายให้มาถามว่าจะไปวัดไผ่โรงวัวด้วยกันหรือเปล่าครับ" "มีใครไปบ้างจ๊ะ" ฉันถามกลับ "ก็ไปกันหมดบ้านนั่นหล่ะครับ" "ไปซิ เดี๋ยวน้าอ้อยเปลี่ยนชุดแป๊บเดียวสตาร์ทรถรอได้เลยจ้ะ" ฉันใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เรียบร้อย..เพราะเป็นคนแต่งตัวง่ายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์เท่านั้น..ฉันพร้อมไปได้ทุกที่..ดีน๊ะที่ไปวัด ถ้าเป็นที่อื่นอาจเป็นกางเกงขาสั้น..อ๊ะๆอย่าตกใจกางเกงขาสั้น สำหรับฉันก็คือเหนือเข่าขึ้นมานิดเดียว..แหะๆ..มิกล้าให้สั้น กว่านั้นอายตัวเอง..อิอิ เวลาในขณะนั้น 9 โมงกว่าๆเราไปด้วยกันทั้งหมด 5 คน ซึ่งก็มี แม่ฉัน ที่หลานเรียกว่ายายอ่ะค่ะ หลานชายกับภรรยาและ หลานสาวกับฉันรวมเป็น 5 คนพอดีกับที่นั่งในรถ....ซึ่งระยะทาง จากบ้านไปยังวัดไผ่ฯ ไม่ไกลเท่าไรขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง แต่ก่อนที่จะถึงวัดพวกเรามีความเห็นตรงกันว่ากองทัพต้องเดิน ด้วยท้อง เพราะทุกคนยังไม่ได้ทานมื้อเช้ากันเลย ซึ่งเวลาขณะนั้น เกือบ 11 โมงแล้ว ก่อนที่จะถึงวัดเหลือระยะทางอีก 30 กว่ากิโล ข้างทางจะมีร้านกุ้งเผาตั้งเรียงรายอยู่หลายร้าน... สำหรับพวกเราจะมีร้านประจำอยู่ร้านหนึ่งซึ่งมีลุงกะป้าสามีภรรยา เป็นเจ้าของร้าน..ที่ทำให้เราติดใจมากมายก็คือน้ำจิ้มซีฟู๊ดฝีมือป้า แซ่บสุดๆแถบลุงกับป้าก็อัธยาศัยดีมากๆ..เรียกว่าบริการทุกระดับ ประทับใจจริงๆ เราสั่งกุ้งมา 2 กิโล ส่วนหนึ่งแบ่งให้ป้าทำต้มยำ ที่เหลือก็เผาอย่างเดียว..แต่ฉันยังมีเมนูพิเศษให้ป้าทำเพิ่มให้อีก ก็คือไข่เจียว..ปกติเมนูนี้เขาไม่มีขายหรอกค่ะแต่พวกเราขอร้องให้ ป้าเขาทำให้และด้วยความที่เราไปทานกันบ่อยๆ..ป้าก็เลยมิอาจจะ ขัดใจพวกเราได้..น่ารักซะจริงๆ กลิ่นไข่เจียวเริ่มลอยมาแตะจมูก..โอย..ยิ่งทำให้ท้องพวกเราเริ่ม บรรเลงเพลงหิวอีกแล้วเจ้าค่ะ...ฉันไม่รอช้ารีบเดินไปหาป้าทันที พร้อมกับถือจานรอไข่เจียวจากกะทะ ป้าอมยิ้มที่เห็นอาการของฉัน ก็คนมันหิวนี่ค่ะป้าขา..จากนั้นหลานชายฉันก็เดินไปตักข้าวมาเสริฟ์ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา บอกแล้วว่าเราคุ้นเคยเหมือนเป็นบ้านของ เราเลยหล่ะ..อิอิ ทันทีที่ไข่เจียวมาวางบนโต๊ะ พวกเราก็จัดการกัน คนละหนุบละหนับ..เผลอแป๊บเดียวไข่เจียวเกือบหมดจาน ...เหอๆ ทานกันไปหัวเราะกันไป..ไอ้ความหิวนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงจริ๊ง อะไรที่อยู่ตรงหน้าเป็นฟาดเรียบ พวกเราเริ่มชะเง้อกันอีกแล้ว..เพราะไม่อยากให้การรับทานมัน ขาดตอนและป้าคงจะมองเห็นจึงส่งเสียงให้ฉันช่วยเด็ดใบมะกรูดและ ใบสะระแหน่ให้หน่อย....เพราะป้าเขาปลูกเอาไว้ใกล้ๆกับโต๊ะม้าหิน ที่พวกเรานั่งนั่นหละ...ฉันไม่รอช้ารีบจัดการเด็ดให้ป้าทันที.. และนี่ก็คือเคล็ดลับของความอร่อย..ทุกอย่างสดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หรือบรรดาเครื่องต้มยำทั้งหลายแหล่.. ฉันถือหมอต้มยำกุ้งเดินตามหลังป้าซึ่งถือชามใส่มะนาวผ่าซีกและ พริกขึ้หนูสดเตรียมไว้ให้เราด้วยเผื่อต้มยำรสชาดไม่แซ่บพอ.. เราก็สามารถปรุงรสกันไปตามใจชอบค่ะ ต้มยำกุ้งมาเสิร์ฟได้ไม่ถึง 5 นาที กุ้งเผาจากลุงก็ตามมาสมทบ..คุณเอ๊ย กลิ่นไม่ต้องพูดถึงหอมมากๆ..และแล้วได้เวลาเผด็จศึกกุ้งเผาซะที..อิอิ แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะกุ้งมันเพิ่งขึ้นจากเตามาใหม่ๆก็ร้อนซิค่ะ... แต่ละคนแกะเปลือกกุ้งไปสลัดมือไป..(ลองนึกภาพตามไปด้วยเลยค่ะ) สักพักพอกุ้งคลายร้อนไปหน่อยพวกเราก็พร้อมลุยค่ะ..อิ่มและอร่อย ด้วยความประทับใจสุดๆ...มีแรงเดินทางต่อแล้ว..ตามมาเลยค่ะ เราออกจากร้านกุ้งเผาก็มุ่งหน้าสู่วัดทันที..ใช่เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึง..ทันทีที่ถึงวัดพวกเราก็ตรงเข้าไปไหว้พระก่อนอันดับแรก... หลังจากนั้นเราจึงเดินเข้าไปด้านในเพื่อชมเปรตซึ่งมีเป็นสัญญลักษณ์ ของวัดนี้ คิดว่าทุกๆคนคงพอจะทราบกันดี..พวกเราเดินตามหัวหน้า ขบวนซึ่งก็คือแม่ของฉันนั่นเอง.. แม่จะเป็นคนคอยแนะนำว่าเราจะต้อง ไหว้พระตรงไหนก่อน..หลังจากที่เราไหว้พระเกือบหมดทุกจุดแล้วก็มา ถึงจุดสุดท้าย..ที่มีองค์พระที่ตั้งอยู่เรียงรายกันอยู่ทั้งหมดสามองค์.. ก่อนที่ฉันจะไหว้พระนั่นเอง ฉันรู้สึกคอแห้งจึงเดินไปซึ้อน้ำดื่มที่ร้าน แถวๆนั้นหล่ะค่ะ..ส่วนแม่กับหลานๆเดินไปอีกด้านหนึ่ง ฉันถือขวดน้ำ ไปนั่งดื่มที่ม้าหินโดยถือไว้ที่มือซ้าย ส่วนกระเป๋าเงินอยู่มือขวา.. ฉันวางขวดน้ำไว้ที่ม้าหินก่อนที่จะขึ้นไปไหว้พระ ส่วนกระเป๋าเงินนั้น ก็ยังถืออยู่มือขวาดังเดิม เมื่อได้ดอกไม้ธูปเทียนแล้วฉันจึงเดินขึ้นไป ยังแท่นปูนเพื่อไหว้พระ เสร็จจากไหว้พระแล้วฉันจึงนำทองคำเปลว ไป ปิดที่องค์พระขณะที่ปิดทองอยู่นั้น กระเป๋าก็ยังอยู่ในมือพร้อมกับ แผ่นกระดาษเปล่าที่ได้หยิบเอาทองคำเปลวออกมาแล้ว.. ทันทีที่ฉันปิดทองเสร็จก็เดินตรงมาที่ตะกร้าทิ้งขยะซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก องค์พระเล็กน้อย ฉันทิ้งแผ่นกระดาษเปล่าลงไปแล้ว..ก็เดินกลับมานั่ง ยังม้าหินตัวที่ได้วางขวดน้ำไว้ เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาทีเห็นจะได้.. "น้าอ้อยค่ะ" เสียงหลานสะใภ้เรียกฉัน..ฉันหันมองตามเสียงเรียก พร้อมกับมองหน้าหลานสะใภ้เป็นเชิงถามว่ามีอะไร "นี่กระเป๋าเงินของน้าอ้อยหรือเปล่าค่ะ หลานสะใภ้ซึ่งยืนอยู่ใกล้กับ ตะกร้าขยะถามขึ้นมา ฉันรีบเดินไปดู...ทันทีที่มองลงไปในตะกร้า ใจฉันหายวาบ....เป็นไปได้ไงเนี่ย...กระเป๋าเงินของฉันไปอยู่ในนั้น ได้ยังไง...แว๊บแรกที่ฉันคิดได้ก็คือ ฉันคงโดนมือดีฉกกระเป๋าไป ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้..มันคงหยิบเอาเงินไปจนหมดแล้วแน่ๆ...ฉันรีบ หยิบกระเป๋าขึ้นมาเปิดดู..ความรู้สึกตอนนั้น ตกใจอย่างบอกไม่ถูก... มือเริ่มสั่นนิดๆในขณะที่กำลังจะเปิดซิบดู..และคิดอยู่ตลอดว่าเงินคงจะ หายไปหมดแน่ๆ แต่พอเปิดซิบดู ให้ตายซิ..ฉันมองเห็นธนบัตรยังคง เรียงรายอยู่ในนั้นเหมือนเดิม..เป็นไปได้ยังไงกัน ฉันเริ่มคิด..หรือว่าตัวเราเองหว่า? ...เอาล่ะซิ สมองเริ่มลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่ตอนที่เริ่มจุดธูปไหว้พระจนกระทั่งถึงตอนที่ทิ้งแผ่นกระดาษลงใน ตะกร้า...ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าฉันอาจทิ้งมันลงไปพร้อมกับกระเป๋า..โดยที่ เวลานั้นใจฉันไม่ได้จดจ่ออยู่กับกระเป๋าเลย..คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะทิ้ง กระดาษ....ฉันลองนับเงินที่ในกระเป๋าอีกครั้งมันก็ยังอยู่ครบเหมือนเดิม แทบไม่อยากเชื่อเลย นับเป็นความโชคดีของฉันจริงๆ เพราะก่อนที่หน้า ที่จะเดินทางมาวัดนั้น ฉันแวะกดเงินจำนวนหนึ่งก็หลายพันบาทอยู่ค่ะ ฉันนั่งนิ่งโดยไม่รู้จะพูดยังไง..คิดดูซิค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนของเรา มาเห็นจะได้คืนหรือเปล่า เพราะเท่าที่สังเกตุจำนวนผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น ก็มีไม่น้อย..หรือบางทีอาจมีใครเห็นแล้วก็เป็นได้..แต่คงคิดไม่ถึงว่าใน กระเป๋าจะมีเงินเหลืออยู่... หลานสะใภ้ได้เล่าให้ฉันฟังว่าตอนแรกที่เห็นก็คิดว่าฉันคงตั้งใจทิ้งเอง เพราะเขาได้ยินที่ฉันคุยกับหลานสาวตอนอยู่ในรถว่า อยากจะเปลี่ยน กระเป๋าใบใหม่..ก็ใบนี้น่ะใช้มานานจนคุ้มกับราคาที่ซื้อมาแล้ว..แบบว่า ฉันยังรู้สึกเสียดายอยู่นิดๆเลยทู่ซี้ใช้มาตลอด..จากนั้นแม่ฉันพร้อมกับ หลานชายหลานสาวซึ่งอยู่อีกด้านก็เดินมา..ฉันจึงเล่าให้ทุกคนฟังอีกครั้ง คนแรกที่พูดขั้นมาหลังจากฟังฉันเล่าจบก็คือแม่..แม่ฉันบอกว่าอาจเป็น เพราะเราตั้งใจมาทำบุญก็ได้ ผลบุญเลยช่วยไม่ให้เราต้องสูญเสียเงินไป ฉันพูดกับแม่ว่าอะไรจะรวดเร็วขนาดนี้..แม่บอกว่าของแบบนี้ไม่เชื่อแต่ก็ อย่าลบหลู่...ฉันไม่พูดต่อได้แต่อิ้ง..และไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็นับว่าเป็นความโชคดีที่ฉันไม่ต้องสูญเงินไป... จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันได้แง่คิดในเรื่องของความไม่ประมาทและ ความมีสติ...ฉันโทษตัวเองเต็มๆที่ประมาทเลินเล่อ..จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดเรื่องราวแบบนี้ได้..เพราะถ้าเราตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทและมีสติ ทุกครั้งไม่ว่าจะทำอะไร..เหตุการณ์แบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น..คุณว่าไหม?