10 มิถุนายน 2550 12:01 น.
เทพระวี
แววตา
อย่าสบแววฉายมา คาดคั้น
สรรพเสียงที่เงียบงัน
พลัน อย่าพิพากษาใด
แววตา
เคยเปล่งกล้า กรุ่นไหม้
พริ้มกระพริบ ฟักฟูมไฟ
ก่อนปล่อยให้ผลาญร่านระบำ
แววตา
เคยล้า ราโรย เจ็บช้ำ
ร้าวลึก แผลพลอยเพียงถ้อยคำ
ก้องหู เช้าค่ำ ย่ำยิน
แววตา
เอ่อคลอ หยาดพร่า ระริกดิ้น
กระหน่ำ คำ ซัดซ้ำเกินชาชิน
ห่มแพรแผ่นดินเดียวดาย
แววตา
จงสบแววฉายมา อย่าหลบหาย
ทอแววตาที่เดียวดาย
ร่วมจับประกายทายท้ารัก
แววตา
จงเหลือแต่แววที่ฉายท้าอุปสรรค
ปลอบประโลมเพื่อนที่ล้านัก
ผู้เหนื่อยหนักในกระแสวิถีที่ร้อนรน
แววตา
ของคนขลาดหวาดผวา หมองหม่น
ทอดร่างในแพร่งทางที่วกวน
อับจนหัวใจจะพ่ายพัง
เแววตา
ต่อแต่นี้เพียงเพ่งมาอยู่รั้ง
จับประกายฉายท้าเป็นพลัง
แต้มฝันเป็นวันหวังให้ผู้คน
แววตา
แค่ผู้คนที่เกิดมาเศร้าหม่น
เปล่งประกายฉายมาท้าทน
ส่องเป็นทางเลิศล้นให้คนเดิน
****************************
9 มิถุนายน 2550 17:28 น.
เทพระวี
เปิดตำนานการบินเพียงปีกแก้ว
อิสระเสรีแพร้วเพริศใฝ่ฝัน
วาดปีกออกรับไอหมอกตาวัน
เบื้องหน้า ไกล ๆ นั้น มีอะไร
คว้าง กว้าง เกินกว่าคิด
อิสระแห่งชีวิต หนอ ทิศไหน
อาบปีกด้วยลมฤดูใด
พาปีกไปเพียงเท่าแรงมี
แล้วเรียวปีกกาลเพลาก็พร่าหม่น
ผ่านวังวนเมฆหมอกดอกฝันสี
พริ้วปีกขยับนับเวลานาที
ณ ที่นี่ มี ชีวิต จิตวิญญาณ
ป่านปรากฏการณ์โยงใย
ให้ ใคร ต่อใครขับขาน
บันทึกลับลึกรับตำนาน
ผ่านแผ่นดิน จดจารนานมา
ขนปีกร่วงช่วงชิงสิ่งยิ่งใหญ่
แก้วปีกไหม้ ไฟฝันอันสูงค่า
ทั้งความจริงสิ่งเท็จนานา
ปล่อยเปลือยป่นลงตรงหน้าวินาที
แม้นเรียวปีกกาลเพลาจะพร่าหม่น
หลงวังวนเมฆหมอกดอกฝันหนี
ล้าปีกยับกับเวลานาที
ณ บัดนี้ มีความคิด จิตวิญญา
แม้นขนปีกร่วงช่วงชิงสิ่งยิ่งใหญ่
ดับดวงไฟ ไร้ฝัน ไร้ค่า
ทั้งเท็จจริง ทั้งมวลล้วนมายา
พร้อมหลอมลงตรงหน้า ....ท้าทาย
*****************************
http://www.thaiall.ne
5 มิถุนายน 2550 22:31 น.
เทพระวี
(1) แดดที่เผาร่างร้อน ลึกใน
เท้าฝ่าก้าวไปใน แดดร้อน
ภาระบรรทุกของจิตใจ แน่นหนัก
เหงื่อที่อาบซ้ำซ้อน เกรอะแห้งเป็นเกลือ
(2) แดดที่สอนสั่งข้า กายดำ
แต่ละหน้าจงจำ จดไว้
งานหนักไม่เคยทำ ใครดับ
เหนื่อยย่อมเหนื่อยแรงใช้ พั กแล้วฟื้นแรง
(3) จอบที่สอนสั่งข้ า เส้นเอ็น
โปนปูดให้แลเห็น เ ลือดข้น
ขุดดินลึกกระเด็น แรงจอบ
มือสั่นสะท้านท้น ขุด สู้ แรงดิน
(4) น้ำที่สอนสั่งข้า ชุ่มเย็น
พรมรดเมื่อยามเย็น ค่ำแล้ว
เหนื่อยหนอเหนื่อยทุกข์เข็ญ คนทุกข์
เมื่อดับด้วยน้ำแก้ว ร สร้อนพอคลาย
(5) ค่ำลงวงน้ำล้อม วงคน
ล้อมดื่มสาโทจน อ่อนเคลิ้ม
ร้องรำทำเพลงชน แก้วดื่ม
ได้ที่ตาหวานเยิ้ม ออกเกี้ยวจีบสาว
(6) พิณแคนแว่วกล่อมฟ้า ดินเพลิน
แว่วว่ายากแค้นเกิน ทุ กข์ท้น
คนจนที่จนเงิน เอื้อนเอ่ย
รอพรุ่งนี้หรือจะพ้น สลัดทิ้งความจน
(7) นาแล้วยิ้มเศร้าอยู่ เ ดียวดาย
นาล่มจมน้ำตาย ทับซ้อน
ข้าวเปลือกถูกเมื่อขาย ข้าวถูก
ข้าวที่แพงแรงร้อน อยู่ล้นโรงสี
4 มิถุนายน 2550 21:17 น.
เทพระวี
(๑) ดื่นดาวดื่มด่ำฟ้า ...............ดอมดาว
พรายพร่างวิบวอมวาว ............ระยิบระย้า
ล้ำลึกลับเรื่องราว..................... ซ้อนซับ
สรรพสิ่งเหนือฟากฟ้า ...............อัศจรรย์
(๒) ดวงดาวคราวหม่นล้า ..........ราโรย
ดับแผ่นดินระโหย ......................หื่นไห้
โคจรจุดเปลี่ยนโดย .....................กาละ
สรรพชีพลิขิตไว้ใต้ .......................ตำหนักดาว ฤาดาว
(๓) ดาวตาวาวเจิดจ้า ....................ท้าทาย
อุปสรรคชีวิตราย ...........................ทักท้า
หนทางอีกมากมาย...................... ให้เลือก
เพียงหนึ่งต้องก้าวกล้า .........เดี่ยวเดิน
(๔) ดวงตาพร่าฝุ่นฟุ้ง ...........เฟือนตา
หมอกมืดดั่งมายา................... หยอกล้อ
ทางฝันแห่งศรัทธา................. เปล่าเปลี่ยว
หลอนหลอกท้อแท้ท้อ............... ท่องฝัน
(๕) ดวงใจเลือนเลื่อนแล้ว ........ล่องลอย
สู่หุบผาดงดอย........................... ลุ่มน้ำ
ไหวไหวอ่อนแอคอย................... แพ้พ่าย
หลายเรื่องราวย้ำซ้ำ ......................หลอกหลอน
(๖) ดวงใจไฟกรุ่นไหม้ ..................โลมแรง
หลอมหล่อละลายกำแพง................. ทิฐิร้าย
ข้องขุ่นคิดแคบแคลง........................ ทางสว่าง
ความอ่อนแอแท้คล้าย........................ คุกขัง
***************************
3 มิถุนายน 2550 23:59 น.
เทพระวี
จันทร์กระจ่างฟ้า
แผ่นดินสุกไสว
พลันเมฆทมึนคลุม
ฝอยฝนหยาดโรยริน
จันทร์อับอาย
ปล่อยให้หิ่งห้อย
อวดแสงวอมแวม
เทียวทาง...................
ในพายุกล้า
โบกพัดโคมไฟแหงศรัทธา
มือน้อย ๆ ค่อยๆ ประคองขวัญ
เหน็บหนาวในคืนวัน
เพียรก้าวเดินไปยังที่หมาย
ปลายรุ่งตะวันฝัน.............
***************