1 พฤศจิกายน 2550 23:04 น.
เทพระวี
(๑)..ด้วยรักควักมอบให้ นัยนา
ยอมมืดบอดดวงตา สละแล้ว
ให้รักนำนาวา ชีวิต
ก้าวต่อก้าวทางแก้ว รักล้ำนำทาง......?
(๒)..ด้วยรักจักดับสิ้น สรรพเสียง
ยอมหนวกไร้สรรพสำเนียง โสตด้าน
ให้รักร่ำลำเลียง กล่อมชีพ
ก้าวต่อก้าวไป่สะท้าน รักล้ำนำทาง.....?
(๓)..ด้วยรักจักเก็บถ้อย ภาษา
ใบ้ปากเงียบเจรจา ปากใบ้
ให้รักดั่งคาถา สะกด
ก้าวต่อก้าวเปล่าไร้ รักล้ำนำทาง......?
(๔)...ด้วยรักจักร่างไร้ วิญญาณ
สิ้นสติสตังปาน หุ่นปั้น
ให้รักดั่งอาหาร เลี้ยงชีพ
ก้าวต่อก้าวอดกลั้น รักล้ำนำทาง.....?
****************
แด่เด็กชายและเด็กหญิงผู้เริ่มเปิดตำราชีวิต...
5 ตุลาคม 2550 22:31 น.
เทพระวี
(๑)..เหลืองหน้าล้าตื่นฟ้า.........เฟือนตา
ย่ำค่ำราตรีมา ...........จวบแจ้ง
เซโซทรุดกายา ...........หลงหลับ
ร้องกรีดนาฬิกาแกล้ง ............กระชากทิ้งฝันหวาน
(๒)..เช้าฝืนทนตื่นฟื้น.................กายา
เมื่อยขบมือแขนขา....................อ่อนเปลี้ย
ขมคอปากหิวหา........................เครื่องดื่ม
สองบ่าแบกก้มเตี้ย.....................หนักแท้ชีพตน
(๓)..ดนตรีขยี้กรีดร้อง.................ทำนอง
ฉาบฉิ่งกีตาร์กลอง.....................กระหน่ำซ้ำ
ลั่นจังหวะลั่นจับจอง....................สู่นรก
บ้านช่องเรือนชานช้ำ...................ขวดแก้วเกลื่อนกอง
(๔)..สำเนียงเสียงเพื่อนบ้าน..........สรรเสริญ
มารยาทผู้ดีเกิน............................เกลื่อนหน้า
สุนัขเห่าขวยเขิน.........................เดินผ่าน
ก้าวแรกไหนก้าวกล้า...................ย่างเท้าออกเดิน
(๕)..อาเจียนเวียนกลิ่นฟุ้ง.............ข้างทาง
ท้องขับกรดเจือจาง....................พิษเหล้า
สองมือสั่นครวญคราง.................เจ็บปวด
ร่างหล่นบนทางเท้า...................สติสิ้นอินทรีย์
(๖)..เมามายจากขอบโพ้น..........ชเลใจ
เหล้าเล่าเมาเท่าใด...................ดิบกระด้าง
เมาดิ่งลึกลงใน.........................ดวงจิต
แล้วโลกแย้มโอษฐ์อ้าง.............โลกนั้นเช่นนี้...จริงหรือ ?
*****************
ขอร่วมรณรงค์งดเหล้าขอพรรษา**ขอร่วมรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษา***
ด้วยการดื่มกินจากจินตนาการ
ด้วยความเคารพ
30 กันยายน 2550 05:57 น.
เทพระวี
(๑)...เหลืองเรืองรองเรื่อริ้ว...........ลีลา
สัญจรจากบูรพา..........................ผ่านฟ้า
แพรพันธุ์พุ่มพฤกษา....................พรายสะพรั่ง
เจื้อยไก่แก้วแจ้วจ้า.....................แจ่มแจ้งแจงจาร
(๒)...ฟ้าเบิกสุริยะแก้ว..................เกศมณี
โกกิลาสดุดี................................กู่ก้อง
สังข์แตรแห่มโหรี......................รุ้งรุ่ง
เตือนตื่นตาตามต้อง...................ตราบต้องติดตาม
(๓)...ณ ที่หล้าแหล่งฟ้า...............จรดกัน
จุมพิตตะวันจันทร์........................มั่นแม้น
ธรรมชาติเชี่ยวประชัน..................ชีวิต
เชื่อมชีพเชื่อมแว่นแคว้น.............คู่คล้อยเคียงครอง
(๔)...ดึกดาวระติระดาษด้าว..........ประดับแดน
ดวงดื่นดอมดาวแสน...................โกฐล้าน
มากมวลมิ่งเมืองแมน...................เมืองมนุษย์
ก่อกนกกาญจน์กิ่งก้าน...............ประกอบกล้าประดาดาว
(๕)...พรมพร่างพรายพร่างพื้น.......พรมพราย
ฝนห่าแก้วโปรยปราย....................เปียกป้อง
อาบอิ่มเอิบอวยอาย.....................ไออุ่น
กู้กอบเก็บกายก้อง......................เก็จแก้วประกายกาญจน์
(๖)...มวลมาลาผลิแย้ม................ดอกใบ
หอมกรุ่นละมุนละไม...................อวดอ้าง
รื่นชื่นตื่นตาใน..........................นิมิตร
หวนสู่สวนขวัญสร้าง..................สุดสล้างมลังเมลือง
(๗)...จรใจจากขอบโพ้น.............ชเลใจ
ผ่านเรื่องผ่านราวใด..................บอกบ้าง
นิ่งดิ่งลึกลงใน.........................ดวงจิต
แล้วโลกแย้มโอษฐ์อ้าง.............โลกนั้นเช่นนี้.......จริงฤา...?
**************
แด่อักษรเสรี
ด้วยความเคารพ
6 กันยายน 2550 20:04 น.
เทพระวี
ศิลปอารยะล้น................................เลอดิน
เลอมิ่งเมืองเรืองอินทร์...................บอกฟ้า
อ้าอวดศิลปะหิน...........................สลักเรื่อง
ปราสาทหินประดับหล้า...............อวดฟ้าโอ่ดิน
วางซ้อนก้อนหินดินดึกฯ
ล้ำลึกเลิศแล้วแพร้วศิลป์
อวดองค์แต่งอ้างอวดอินทร์
อารยะระบือยินกระเดื่องไกล
ทั้งหินแท่งหินเหลี่ยมเลื่อมลับ
ระย้าระยับงามงดสดใส
ตอกสลักเรื่องราวเป็นไป
ประดับไว้บนแผ่นหินดินดำ
รอยกลีบกรีดลึกแรงแท่งหินหนา
กาลพฤษพวงผกากาญจน์เด่นด่ำ
คลี่กลีบคลี่ดอกบานชมคมขำ
สลักตอกหินล้ำ ผกากาล
กลีบขนุนละมุนลึกแรงกลิ่น
สง่าหินลวดลายแลงแสงสาร
ทนงหยิ่ง ยิ่งด้วย ทวารบาล
ทุกทิศประจำการณ์ เรียงราย
ทั้งทับหลังสะกดกรอบประตู
ศิลปะรอยรู้ค่ามาสืบสาย
สุวรรณภูมิค้ำงามล้ำลาย
ที่ทุ่มแรงเนื้อแรงกายประดิษฐ์องค์
หยาดเหงื่อเพื่อพลีบูชา
หลอมศรัทธาบรวงสรวงส่ง
เคี่ยวเลือดเนื้อผูกพันมั่นคง
คงคุณค่าประดับฟ้าดิน
*********************
แด่ความเพียรของศรัทธาในผู้คน
คนผู้ต่ำต้อยอย่างข้าขอคารวะ
12 สิงหาคม 2550 04:51 น.
เทพระวี
คำรามเสียงเครื่องจักรเร้า เร่งคำรณ
ฟ้าฉีกยับอับจน ป่นปี้
แผ่นดินคว่ำหน้าทน อัปยศ
หยดเลือดรินร่างนี้ เพื่อพ้องเผ่าใด
ร่วงหล่นดั่งแมกไม้ สลัดใบ
ใจร่วงลงกี่ใจ เจ็บร้าว
ใจคลั่งคลั่งแค้นใด อดีต
กรีดเลือดทาทาบด้าว เซ่นท้าสังเวย
พญาไม้จารึกไว้ วงปี
เลือดหลั่งลงธานี ซับซึ้ง
ปมเปลือกลวดลายมี บันทึก
จารแผ่นดินลึกบึ้ง ดิ่งก้นโลกันตร์
ลมฤดูกร่อนเนื้อ หินผา
แส้แม่น้ำกระหน่ำมา ดีดดิ้น
ฝนแดดทิ่มแทงตา สรรพชีพ
สรรพสิ่งนิ่งงันสิ้น บ่าน้ำตานอง
***************************************************
**************************************************
ลมฤดูจูบเนื้อ หินผา
แพรแม่น้ำพริ้วมา หยาดดิ้น
ระบำแดดดื่นดา ระดาษ
ฝนฉ่ำพรมโลกสิ้น ดับร้อนโดยพลัน
เจียนแผ่นดินลุกไหม้ ปานใด
ร้อนคลั่งดั่งดวงใจ ยับขยี้
ฟ้ามืดระอุอวลไอ ฟ้ามืด
หญ้าดอกนิดหนึ่งนี้ ผลิแย้มตุ่มตา
รอท่าฟ้าใหม่ฟื้น ชีวิน
เห่กล่อมพื้นแผ่นดิน ดับร้อน
รอโลกอาบฝนริน สุหร่าย
ระบำใบรำฟ้อน เบิกฟ้าบูชาดิน