14 พฤษภาคม 2550 18:34 น.
เทพดารา
โลกนี้มีเพียงใบสี่เหลี่ยมหรืออย่างไร
ใยเจ้ามานั่งอยู่ได้ทั้งวัน
ดูสิ...ข้างนอกเขาออกย่ำโลก
สุข ทุกข์ โศกเศร้า เคล้ากันไป
เจ้ามัวเสียเวลาอยู่กับโลกแคบๆ
ซ้ำซากใบสี่เหลี่ยมนี้
ไม่น่าเบื่อหรืออย่างไร ?
อย่าเลย...
ข้าพอใจอยู่กับโลกใบสี่เหลี่ยมนี้
ดูสิ...ข้างในมันมีอะไรมากกว่าที่เจ้าคิด
เขาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ
จะคิด จะเขียน อะไรก็แล้วแต่ความพอใจ
แต่มันเป็นโลกแห่งความหลอกลวงนะ
หญิงปลอมเป็นชาย ยายปลอมเป็นสาว
แก่ปลอมเป็นบ่าว
หนุ่มสาวเปลือยกายร่ายรำ ไร้ยางอาย
อะไรคือลวง ?
อะไรคือจริง ?
ถ้าคนที่ปกปิดความจริงที่เขาเป็น
เพียงเพื่อให้คนทั้งโลกเข้าใจในสิ่งที่เห็น
....จริงคือลวง....
ถ้าคนที่ทำตามสันดานดิบ
ด้วยการลวงให้คนทั้งโลกเห็น
...ลวงคือจริง....
***เคยคิดบ้างไหมว่า ในโลกที่เราอยู่ปัจจุบันนี้ มันมีโลกซ้อนอยู่อีกใบ โลกแห่งความมืดมิด มันเป็นสีดำสนิท พอๆ กับถ้ำลึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจของทุกคน เมื่อไรก็ตามที่เรามีโอกาสอยู่กับโลกใบนั้น เราจะสามารถปลดปล่อยสิ่งที่มีพลังมหาศาลออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด แต่น้อยคนนักที่จะสามารถค้นหาโลกใบนั้นได้เจอ บางคนยอมจมจ่อมอยู่กับโลกแห่งความหลอกลวง เพียงเพื่อให้คนทั้งโลกเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากเป็น
เรากำลังหนีความจริง ?
หรือความจริงกำลังหนีเรา ?
6 มีนาคม 2550 13:39 น.
เทพดารา
นาคา องค์หญิงมีพระบัญชาให้เข้าเฝ้า...เดี๋ยวนี้เลย
อีกแล้ว...เสียงนี้เป็นเสียงที่ฉันได้ยินจนชินชา ฉันไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอะไรที่ต้องมานั่งเป็นทาสรับใช้แม่นี่อยู่อย่างนี้ ตั้งแต่มาอยู่ในเมืองบ้าๆ แห่งนี้ มักมีอะไรให้ฉันต้องปวดหัวอยู่เรื่อย แต่เอาเถอะ ฉันจะไม่ยอมเป็นอย่างนี้ไปนานหรอก เพราะเมื่อภารกิจของฉันเสร็จ ฉันก็จะรีบจากเมืองนี้ไปทันที...
นาคา หนุ่มน้อยวัย 18 ปี ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นองค์รักษ์สุดโปรดปรานขององค์หญิงมิอาน่า แห่งจักรวรรดิเฮกโปโร บ่นกับตัวเองด้วยความหน่ายในหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เขาได้รับบัญชาให้เข้าเฝ้าองค์หญิงนับครั้งไม่ถ้วนในแต่ละวัน ใช่ว่าจะมีภารกิจสำคัญอื่นใด นอกจากไปถวายความอารักขาในขณะที่เธอเที่ยวเล่นเพลิดเพลินในวนอุทยานหลวง ที่ซึ่งรู้กันอยู่ว่าปลอดภัยที่สุด ยากที่เหล่าผู้ปองร้ายจะเล็ดลอดสายตาทหารองค์รักษ์ทั้ง 8 ด่านไปได้ แม้แต่นกกระจิบบินผ่านแค่ตัวเดียวก็ยังไม่คลาดสายตา
นาคา ย่อเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น วางดาบคู่กายลงข้างๆ เบื้องหน้าองค์หญิงเจ้าชีวิตของเขา หล่อนยังคงมีคาวมสุขกับการชมพฤษชาติ เมื่อเห็นนาคามาอยู่เบื้องหน้า รอยยิ้มของหล่อนยิ่งมีความสุขราวกับว่าที่แห่งนั้นมีน้ำทิพย์ชโลมใจให้สดชื่นรื่นเริง
ถวายบังคมพะยะคะ องค์รักน้อยกล่าวคำเข้มแข็งที่คุ้นเคยตามระเบียบแบบแผน
เธอยังคงไม่กล่าวอะไร เพียงส่งยิ้มให้พักหนึ่ง และกวักมือเป็นสัญญาณให้เหล่านางสนมและองค์รักษ์คนอื่นไปให้ห่างสายตา เป็นที่รู้กันว่าพระองค์ต้องการอยู่เพียงลำพัง 2 คนกับองค์รักษ์หนุ่ม
เมื่อลับตาผู้คนเหล่านั้น นางรีบเดินรี่มาจับมือนาคา และพาวิ่งไปชมธรรมชาติอย่างเป็นกันเอง ราวกับเธอและเขาเป็นผู้มีชาติตระกูลเสมอกัน
นี่...องค์หญิง...หม่อมฉันว่า วันนี้เราเที่ยวชมธรรมชาติกันมามากแล้วนะ เกรงว่าจะทรงเหนื่อยพระวรกาย และจะทรงพระประชวรเอานะพะยะคะ..
ไม่หรอก...ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า... เธอมองค้อนมายังองค์รักษ์หนุ่มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกระโดดขี่คอเขา
โอ้ย...เล่นอย่างนี้เลยเหรอพะยะคะ
เจ้าต้องเป็นม้าให้ข้าขี่ ถ้าเกิดว่าเจ้าเป็นห่วงข้าจริง..
องค์รักษ์หนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้สึกว่าองค์หญิงเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโตเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าเขากับองค์หญิงจะอายุห่างกันแค่ 2 ปี
ก็ได้...ถ้าเป็นพระประสงค์ขององค์หญิง แต่ม้าตัวนี้จะไปส่งเมืองนะยะคะ
ไม่เอา...มิอาจะเที่ยวต่อ... องค์หญิงทำเสียงไม่พอใจ ในขณะที่องค์รักษ์หนุ่มไม่สนใจ ยังคงพาเธอวิ่งไปยังที่พำนักที่เหล่านางสนมและเสนาทหารจัดไว้
นาคาและองค์หญิงมักจะอยู่ด้วยกันลำพังแบบนี้ประจำ ตั้งแต่นาคาได้รับคัดเลือกมาเป็นองค์รักษ์รักษาพระองค์เมื่อเดือนก่อน และด้วยความที่เขาเป็นคนหนุ่มที่มีรูปร่างสง่างาม ประกอบกับฝีมือในการต่อสู้ที่ร้ายกาจ ยากที่จะหาใครมาเทียบได้ จึงเป็นที่ถูกใจขององค์หญิงยิ่งนัก ถึงแม้ว่าพระมารดาของพระองค์จะไม่ค่อยจะพอใจนักที่วันๆ เอาแต่สนุกสนานเฮฮาอยู่กับข้าราชบริพาน แต่พระองค์ก็ยังเป็นเด็กนักที่จะมาแบกรับภาระการบริหารบ้านเมือง
24 ตุลาคม 2549 23:38 น.
เทพดารา
พอเปิดอ่านดูก็ตกตะลึง เพราะคำทำนายที่พระพุทธองค์ได้ทำนายไว้เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วนั้น แม่นยำอย่างกับตาเห็น จนเกิดความสงสัยว่าพระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร หรือว่าพระองค์ใช้ตาทิพย์ดู จึงได้ไปศึกษาดูพุทธประวัติจึงได้ถึงบางอ้อว่า ที่พระพุทธเจ้าได้ทำนายได้อย่างแม่นยำนั้น เพราะว่าท่านได้สำเร็จการศึกษาศาสตร์ต่างๆ มามากถึง 18 ศาสตร์ จากเมืองตักศิลา (เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองที่มีขื่อเสียงในเรื่องการศึกษามากที่สุดของอินเดียในยุคนั้น) และท่านสำเร็จมากด้วยผลการเรียนที่เป็นเลิศ ถ้าเทียบในปัจจุบันก็ระดับเหรียญทองทั้งหมดทุกศาสตร์เลยทีเดียว
ทำให้ผมเกิดความสนใจในเรื่องโหราศาสตร์ขึ้นมาทันใด แต่ไม่ใช่ว่าผมจะอยากศึกษาเรื่องโหราศาสตร์ เพียงแต่ผมอยากพาท่านผู้อ่านเข้าสู่พุทธทำนาย เพื่อไขปริศนาในอนาคตด้วยกัน
พุทธทำนาย เกิดจากการทำนายของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่ยังทรงมีพระชนม์อยู่ (ประมาณสองพันห้าร้อยกว่าปี) มีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้
วันหนึ่งพระเจ้าโกศลมหาราชได้ฝันเห็นเหตุการณ์ประหลาด 16 ข้อ เกิดความไม่สบายใจ จึงได้นำเรื่องไปถามพวกพราหมณ์ จึงได้รับคำแนะนำให้ทำการบูชายัญ แต่พระนางมัลลิกาเทวี ซึ่งเป็นพระชายาของพระองค์ได้แนะนำให้นำเรื่องความฝันประหลาดเหล่านี้ไปถามพระพุทธเจ้า
พระเจ้าโกศลจึงได้นำเรื่องราวเหล่านั้นไปถามพระพุทธองค์ตามคำแนะนำของพระนางมัลลิกาเทวี เมื่อไปถึงจึงได้เล่าเรื่องความฝันประหลาดทั้ง 16 ข้อ ให้พระพุทธองค์ฟังดังนี้
24 ตุลาคม 2549 23:28 น.
เทพดารา
ผมไม่ใช่คนที่จะเชื่อเรื่องหมอดูนัก ออกจะเป็นคนหัวสมัยใหม่สักหน่อย เมื่อใครมาบอกว่าหมอดูคนนั้นคนนี้ดูแม่นนะ ผมก็มักจะบอกว่าไร้สาระ ถ้าอะไรก็ตามที่พิสูจน์ไม่ได้ ผมจะต่อต้านอย่างหนัก จนเพื่อนผมมักบอกว่าผมมันบ้าลัทธิวิทยาศาสตร์
เออแฮะ...มันก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน อันที่จริงถ้าผมจะลองมาดูอีกมุมหนึ่งของเขา ผมอาจจะเห็นอะไรที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้ ถึงแม้ว่ามันจะฝืนใจสักหน่อย แต่ก็ไม่เลวร้ายอะไร
คนเฒ่าคนแก่แถวบ้านผมยิ่งไปกันใหญ่ เห็นใครที่ตั้งตัวเป็นเจ้าเข้าทรง เข้าไปกราบไหว้กันใหญ่ เชื่อไปหมดทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่เข้าวัดเข้าวาก็บ่อย หลวงพ่อก็เทศน์ให้ฟังประจำ ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ค่อยจะนำมาปฏิบัติกัน
โดยส่วนตัวแล้วผมจะชอบอ่านหนังสือมาก โดยเฉพาะหนังสือแนวคิดใหม่ๆ เพื่อพัฒนาความคิด และเติมอาหารให้สมองของตัวเอง หลายครั้งที่เข้าไปในห้องสมุดจะคลุกอยู่ที่นั่นนานๆ ยิ่งถ้าเป็นร้านหนังสือเมื่อเดินเข้าไปจะใช้เวลาในการสำรวจร้านเกือบทุกหมวดหนังสือ มีอยู่วันหนึ่งนึกอยากจะไปอ่านพระไตรปิฎก จึงขอหลวงพ่อเจ้าอาวาสเปิดตู้พระไตรปิฎกนำมาอ่าน
ไปสะดุดเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่อง "พุทธทำนาย" ซึ่งอยู่ในมหาสุบินชาดก ในนั้นกล่าวถืงคำทำนายอนาคตที่พระพุทธเจ้าได้ทำนายไว้เมื่อครั้งยังทรงมีพระชนม์อยู่ ผมยังแปลกใจเลยว่า เอ๊ะพระพุทธเจ้าเป็นหมอดูด้วยเหรอไม่ยักรู้แฮะ
28 สิงหาคม 2549 14:33 น.
เทพดารา
หวนคืนอดีต (ตอนที่ 2)
มันเป็นความจริงที่จะเอาอะไรแน่นอนกับผู้หญิงในเน็ตไม่ได้เลย เพราะล่วงเลยมาสอง สามเดือน ผมก็เริ่มเบื่อ เพราะตอบเมล์ไป มา ก็วกวนอยู่ไม่กี่เรื่อง จึงเลิกติดต่อกับสาวๆ เหล่านั้น แต่เหลือคนหนึ่ง ที่ผมยังคงติดต่ออยู่
เธอมีอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่เวอร์ ไม่หวาน ตรงไปตรงมา คำไหนคำนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ผมยังคงคบกับเธออยู่ เราเจอกันในเว็บแห่งหนึ่ง (www.thaipoem.com มั้งนะ) ซึ่งเป็นเว็บที่รวมพลคนชอบเขียนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทกลอน เรื่องสั้น นิยาย ความเรียง และอีกมากมายแล้วแต่จะเขียน
เธอชอบเขียนนิยายมาลงในเว็บนี้บ่อยๆ โดยใช้นามปากกาว่า น้ำค้าง ส่วนผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบเขียน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบทกวีซะมากกว่า และใช้นามปากกาว่า ต้นกล้า ดูไปเหมือนว่าเราจะไปคนละแนว แต่ในความแตกต่างกลับมีอะไรที่เหมือนกันอยู่ นั่นคือนิยายและบทกวีของเราผสานเป็นเรื่องเดียวกันได้ ผมแต่งบทกวีเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวละครของเธอ ส่วนเธอก็เอาบทกวีของผมไปใส่ไว้ในเรื่องสั้นของเธอ