13 ธันวาคม 2550 11:32 น.
เถ้าธุลี
เธอนั่งเอียงคอไปทางซ้าย มองภาพตรงหน้าผ่านแว่นตามัว ๆ ที่เธอไม่เคยคิดจะใส่ แค่ก็ไม่ได้คิดจะถอด สายตาเธอไม่ได้แย่อะไรนักหนา แค่...
คุณมีกล้ามเนื้อตาบกพร่องนะครับ อย่าจ้องอะไรนานถ้าไม่จำเป็น พยายามใส่แว่นให้ติดเป็นนิสัย
....เท่านั้นเอง
ภาพตรงหน้าแม้จะถูกแว่นกลั่นกรองแล้ว แต่ก็ยังไม่กระจ่างชัด อย่างน้อยก็ในสายตาเธอ อันที่จริง ไม่มีอะไรชัดเจนในสายตาคู่นั้นอยู่แล้ว
เธอเอียงคอไปอีกข้าง พร้อมกับถูจมูกโดยที่เธอไม่ทันได้รู้ตัว แต่รู้สึกตัวอีกที มือของเธอก็สัมผัสผิวหนังใต้จมูกแล้วขยับซ้ายขวาเสียแล้ว
เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเบลอ ๆ คอยปัด ๆ ทิ่ม ๆ ตาข้างขวาเธอรู้สึกรำคาญและอยากปัดมันเก็บเข้ากับผมเส้นอื่น ๆ ที่มัดรวมกันอยู่ แต่มือเธอกลับไม่ยอมทำตามความคิด มันนิ่งเงียบสงบราวกับหลับลึกอยู่
ข้างนอกฝนตก....
เธอรู้ว่าฝนตก เพราะเสียงดังครืนในลักษณะที่คุ้นชินตามมโนสำนึกว่าเป็นเสียงฝนตก เบา หนัก เบา และหนัก และกลับมาเบาอีกครั้ง เธอรับรู้ว่าเมื่อเกิดเสียงนั้น ก็จะเกิดสิ่งอื่นตามมา ทั้งกลิ่นดินชื้นที่จะมีเสมอยามฝนตก สายน้ำที่สาดซัดเป็นเส้นเฉียง และหยดน้ำจากกันสาดตรงข้ามห้องของเธอ รวมถึงผ้าม่านตรงระเบียงที่โป่งพองออกเพราะลมพัด
เฮ้อ เธอไม่รู้ว่าถอนหายใจทำไม ราวกับบังคับสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ หลายสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ราวกับว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธอ
ภาพตรงหน้ายังคงขุ่นมัว และดูจะหม่นหมองลงไปกว่าเดิม
เสียงฝนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความนิ่งเงียบของเธอที่ยังคงดำเนินต่อไป
ท้องส่งเสียงโครกคราก ประสาทรับรู้ส่งความหมายมาบอกว่าเธอกำลังหิว ปฏิกิริยาต่อไปที่ควรกระทำคือลุกขึ้นและกินอาหาร
แต่เธอยังคงนิ่ง
วันนี้ดูร่างกายจะไม่ยอมทำตามที่ใจเธอปรารถนาสักอย่าง ราวกับมันกำลังดื้อดึงและกลั่นแกล้ง
....ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง...
เธอหันไปมองสายฝนที่มีความยาวประมาณหนึ่งฟุต สายฝนช่างสั้นนัก
จะบ้าเหรอ เพราะแกมองผ่านกระจกบนผ้าม่านที่กว้างหนึ่งฟุตต่างหาก
แล้วสายฝนจริง ๆ มันยาวเท่าไหร่
.....
นั่นไง แกก็ไม่รู้นี่นา
สองเสียงในหัวของเธอกำลังทุ่มเถียงกัน เธอยิ้ม ราวกับเห็นทั้งสองออกมานั่งเถียงกันต่อหน้า แต่วินาทีต่อมา ความหงุดหงิดอย่างเฉื่อยชาก็แผ่กระจาย เพราะเธอรู้สึกถึง อีกครั้ง ที่เธอไม่สามารถควบคุมอะไรรอบ ๆ กายได้ แม้แต่ตัวเอง
โครก....
เอาอีกแล้ว..ท้องร้องเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ ฉันจะไม่หิว ฉันจะไม่หิว ฉันจะไม่หิว ฉันจะ...
โครก...
โธ่เว้ย!!! เธอสบถออกมาดัง ๆ เป็นอะไรวะ ก็บอกแล้วว่าจะไม่หิว ร้องอยู่ได้
โครก...
เธอลุกขึ้น เดินตรงไปหน้ากระจกบานขนาดครึ่งตัว พอที่จะมองเห็นใบหน้าโกรธขึ้ง และฟันที่กำลังกัดริมฝีปากล่าง
ทำไมวะ มึงเป็นของกูนะเว้ย ทำไมกูสั่งแล้วไม่ทำตาม ไหนเขาบอกกันว่าร่างกายทำงานตามที่จิตสั่งไง แล้วมึงล่ะ มึงเป็นแค่ร่างกาย กูเป็นเจ้าของ กูคือจิต มึงต้องฟังกู กี่วันแล้วที่มึงไม่ฟังกู กูยังพอให้อภัย วันนี้กูอยากอยู่เฉย ๆ ซึมซาบบรรยากาศฝนตก ไอ้ห่า ดันมาหิว ร่างกายหิว แต่จิตซึ่งก็คือกู ไม่หิวนี่หว่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาเรียกร้อง
โครก...
เวรเอ๊ย... เธอสบถ วันนี้จะบังคับอะไรไม่ได้เลยใช่ไหม
ใบหน้าบิดเบี้ยวหน้ากระจกเริ่มกลายเหลือเพียงคิ้วที่ยังคงขมวดเข้าหากัน เธอไม่เข้าใจตัวเองและสภาพรอบ ๆ ตัววันนี้หรือแม้กระทั่งวันก่อน ๆ ที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังที่เธอคาดเลยสักนิด
โครก...
เอาอีกแล้ว เธอก้มลงมองพื้นที่บริเวณหน้าท้องตัวเอง ให้ตายเหอะวะ
น้ำตาเธอไหลอาบแก้ม น้ำมูกเธอไหล ตอนนี้ใบหน้าเธอมีน้ำเปรอะไปหมด
ทำไมเล่า ทำไม ทำไมฉันถึงบังคับอะไรไม่ได้ ทำไมเล่า
ขาเธอขยับไปที่ประตู
ลูกบิดหมุนด้วยแรงจากมือของเธอ
แกร๊ก!! ตัวล็อกถูกปลด
เธอยืน
นิ่ง
นิ่ง
ฝนยังคงตกอยู่
โครก
ขาสองข้างพาเธอไปนั่งที่โต๊ะ
กินข้าว
กินข้าว
...
......
ไงล่ะ สุดท้ายแกก็ยอมแพ้
มือตักข้าวเข้าปาก ฟันเคี้ยว ลิ้นผลักลงไปในคอ
คราบน้ำตา น้ำมูกแห้งเกรอะกรังอยู่บนหน้า
สายตาเธอทอดนิ่ง
8 มิถุนายน 2548 12:18 น.
เถ้าธุลี
ฉันเคยมีความฝัน
ฝันอันสวยงาม
เคยวาดมันไว้
มีความตั้งใจเดินตามทางที่ขีดเอง
ด้วยสองขาที่ฉันมี
ด้วยสายตาและหัวใจที่มุ่งมั่น
.................................................
ระหว่างทางเดิน
อุปสรรคมากมาย
ฉันเดินต่อไปด้วยใจที่ไม่ย่อท้อ
มุ่งหน้าต่อไป
สักวันฝันของฉันต้องเป็นจริง
....................................................
ตอนนี้
ทำไมนะ
ความเหนื่อยล้ามันมากขึ้นทุกที
สิ่งที่ฉันทำมันไม่ถูกเลย
ทางข้างหน้ามืดมน
ความฝันคืออะไร
สิ่งที่ฉันเคยคิดคืออะไร
...................................................
ก้มลงมองข้างล่าง
สองขาของฉัน
ถูกโซ่ตรวนล่ามไว้แน่นหนา
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
25 กุมภาพันธ์ 2548 12:04 น.
เถ้าธุลี
ฉันแหงนหน้ามองฟ้า...
ฟ้าวันนี้สวยดี...
ก้อนเมฆขาว...
รูปร่างแปลก ๆ ...
นกบินผ่านเป็นฝูง...
ลมพัดเอื่อย ๆ ...
ฉันยืนมอง...จากที่ที่หนึ่ง
ใต้ท้องฟ้า...
ใครคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าฉันไป...ชนฉัน
จนฉันต้องละสายตา...มองตามเขาไป
ใจเกิดคำถาม.... " เขารีบไปไหนกันนะ? "
เหลียวมองไปรอบ ๆ ... มีอีกหลายคนที่กำลังรีบ
รีบไปไหนกัน...
ฉันยังคงยืนอยู่...แหงนหน้ามองฟ้าอีกครั้ง...ถามฟ้าในใจ
"ฟ้าเคยรีบอย่างนี้มั้ยนะ?"
ก้มลงมองพื้นดิน
" โลกเคยรีบอย่างนี้มั้ยนะ?"
.............................................................
................................................
.................................
จะรีบไปทำไมกันนะ ทำไมเราต้องกลัวตามใครไม่ทัน ทำไมเราต้องกลัวคำว่า
' ล้าหลัง'
หยุดยืนมองฟ้า สัมผัสความสวยงามที่อยู่ใกล้ตัวเสียบ้าง หรือมันใกล้เกินไปจนใครต่อใครมองไม่เห็นมันนะ
ก้าวเดินตามจังหวะตัวเอง ไม่ใช่จังหวะคนอื่น
อยากทันคนอื่น...แต่ไม่เห็นอะไร
หรือช้ากว่าคนอื่น...แล้วเจออะไรข้างทาง
ที่จริงถามตัวเองก็ได้...
วันนี้ฟ้าสีอะไร? ก้อนเมฆบนฟ้ามีรูปอะไรบ้าง?
ตอบได้มั้ยล่ะ?.............................
3 ธันวาคม 2547 12:35 น.
เถ้าธุลี
ฉันยืนอยู่ที่ตรงนี้....ที่เดิม
ด้วยใจที่เงียบเหงา....
วันเวลาผ่านไป...ทุกอย่างก็เปลี่ยน...
แต่ทำไมนะ..ฉันยังเหมือนเดิม
นานเท่าไหร่แล้วนะ...ที่ฉันยังเป็นอย่างนี้
อยากจะเปลี่ยนตัวเองบ้าง แต่ทำไม่ได้เลย ความทรงจำเก่า ๆ ยังจำติดอยู่ในใจ.. ใบหน้าของเขา เสียงหัวเราะของเขา รอยยิ้มของเขา มือที่เคยเกาะกุมไว้เสมอ เส้นผมที่เคยคลอเคลีย .......... ตอนนี้ไม่มีแล้ว สิ่งที่ยังคงมีอยู่ คือสายลมที่พัดผ่าน ใบไม้ที่ร่วงหล่น และฉันที่ยังนั่งมองเหม่อที่เดิม
เขาเดินจากไปเงียบ ๆ ไม่มีแม้คำพูดใด ๆ มีเพียงสายตาที่บ่งบอกได้ว่าสิ่งที่ฉันกลัว ได้มาถึงแล้ว
แม้ไม่ได้ยินเสียงเขา แต่เสียงเท้าที่ก้าวเดินจากไป มันยังดังก้องในใจฉันเสมอมา
ฉันไม่อยากรู้เหตุผลใด ๆ น้ำตาที่เสียไปมันมากเกินพอแล้ว
ที่จริง..ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมยังคิดถึงเขาอยู่ ชีวิตทุกวันของฉัน มีอะไรเข้ามามากมาย แต่เขาคนนั้นก็ยังติดอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
ตอนนี้ไม่มีแล้วน้ำตาที่จะเสีย ฉันยังยิ้ม หัวเราะได้ แต่ในหัวใจ ไม่สามารถเปิดรับใครได้อีกแล้ว มันเหมือน...ถูกปิดตาย
..............................................
ผมยืนอยู่...
ท่ามกลางความวุ่นวาย..และตัวผม..ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทุก ๆ วัน ผมมีเรื่องให้ทำมากมาย ไม่มีเวลามานั่งเหม่อลอย
แต่ทำไมนะ..ทั้งที่ผมไม่เคยว่าง แต่ในใจผมกลับรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างมันไม่ถูกต้อง
หรือจะเป็นเพราะ...เธอ
นานแล้ว ที่ผมจากเธอคนนั้นมา ผมคิดว่าผมคงไม่ดีพอ และตัวผมเองไม่ควรจะดึงเธอไว้กับผม อีกไม่นานผมคงจะลืมเธอได้เอง
แต่เปล่าเลย ยิ่งเวลาผ่านไป ภาพเธอก็ยิ่งฝังแน่นในความคิดผม ในวันนั้น ผมไม่อาจเอ่ยคำใด ๆ ออกมาได้ เพราะผมกลัว..กลัวว่าคำพูดจะทำให้เธอเข้าใจผิด ผมจึงตัดสินใจ...เงียบ
ผ่านไปนานขนาดนี้ เธอคงลืมผมไปแล้วสินะ... เธอคงได้พบเจอคนใหม่ ที่เหมาะกับเธอมากกว่าผม และทำให้เธอมีความสุขได้ .... ขอให้เป็นเช่นนั้น
ส่วนตัวผม..คงใช้ชีวิตต่อไป และจะส่งความห่วงใยนี้ไปให้เธอ.....แม้มันอาจจะไม่เคยถึงเลยก็ตาม............
คิดถึง คิดถึง คิดถึง
คำหวาน คำซึ้ง เสน่หา
ภาพเก่า ยังคง ติดตา
วันนี้ วันหน้า ไม่อาจลืม
26 ตุลาคม 2547 22:28 น.
เถ้าธุลี
ในห้อง ๆ หนึ่ง..........
มีใครคนหนึ่ง นั่งอยู่มุมห้อง
ในห้องสี่เหลี่ยมมืด ๆ นี้
เขาคนนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยว่าภายนอกเป็นอย่างไร
ที่ขาของเขา...พันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนอันหนักอึ้ง
และรอยแผลมากมายจากการขัดขืน
หลายต่อหลายครั้งที่เขาหกล้มลง
จากการพยายามหลุดพ้น
แต่มาถึงตอนนี้
เขาเริ่มคิด .. ว่าการกระทำของเขามันไร้ประโยชน์
นานแสนนาน.......
จากวันเป็นเดือน เดือนเป็นปี
ใจเขาเริ่มท้อ ไร้ซึ่งแรงผลักดัน มีชีวิตอยู่ต่อไปในความมืด จนกลายเป็นกลัวความสว่างไปเสียแล้ว
.....................................................................................
วันเวลาผ่านไป หลายสิ่งหลายอย่างย่อมผุพังลง ไม่เว้นแม้แต่ห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้
ผนังกะเทาะ มีรูเล็ก ๆ พอให้แสงลอดเข้ามาได้
เขามองเห็นแสง แสงซึ่งไม่ได้เห็นมานาน
ความอยากรู้อยากเห็น เริ่มถูกกระตุ้น
เขาลุกขึ้นยืน ก้าวออกไปหาแสง....แต่เขาก็ล้มลง โซ่ใหญ่รั้งตัวเขาไว้
" เราต้องทำได้สิ ข้างนอกต้องมีอะไรที่เรายังไม่เคยเห็นอีกแน่ ๆ เราต้องทำได้"
เขาก้าวเดิน เขาล้ม เขาลุก ...... จนบาดแผลเต็มร่างกาย เขาก็ยังไม่ย่อท้อ
สิ่งที่ดีกว่าอยู่ข้างหน้า อาจจะไม่ดีเท่าที่คิด ก็คงดีกว่าที่เป็นอยู่
เวลาผ่านไป..ไม่รู้นานเท่าไหร่
เขาทำสำเร็จ............
ลำแสงเพียงนิดเดียวนั้น ทำให้เขาสามารถหาทางออกมาได้
ซึ่งที่จริงแล้ว..มันก็แค่ประตูผุ ๆ บานเดียว
และข้างนอกก็มีกุญแจ ที่จะไขปลดล็อกตัวโซ่นั้น
..................................................................................
เหมือนชีวิตคนเรา ถ้าเราจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ ก็เหมือนการขังตัวเองอยู่ให้ที่แคบ ๆ สร้างพันธนาการในความคิดเอาเอง ทำให้เราติดอยู่กับคุกที่ตัวเองสร้างขึ้น แต่ถ้าวันใด เราต้องการจะหลุดพ้นจากมัน ขอเพียงแต่คิดว่า เราจะทำให้ได้ เราก็ต้องทำได้
เขียนขึ้น เพื่อคนที่กำลังท้อแท้นะคะ แสงสว่าง มีอยู่แน่ค่ะ อยู่ที่ว่าเราจะมองหามันหรือไม่เท่านั้นเอง