28 เมษายน 2546 17:04 น.
เด็ก รนบ.
ท่านนายกรัฐมนตรี โยชิโร โมริ ของญี่ปุ่นได้เคยแวะเยี่ยมเยียนทำเนียบขาวเข้าพูดคุยกับท่านอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าภาษาอังกฤษของชาวญี่ปุ่นไม่ค่อยแข็งแรงนัก เนื่องจากความที่เป็นชาตินิยมสูง ดังนั้น คณะผู้ติดตามท่านนายกรัฐมนตรี จึงต้องเตรียมข้อมูลสำหรับการเจรจาให้พร้อม กำหนดการถูกร่างขึ้นโดยละเอียดว่า
เมื่อท่านนายกฯจับมือกับท่านประธานาธิบดีแล้ว ให้เปิดฉากทักทายว่า
How are you ?" ตามมารยาท
แล้วท่านคลินตันจะต้องตอบกลับว่า Im fine, and you ?"
ท่านนายกฯ โมริก็เพียงแต่พูดว่า Me too.
เป็นอันเสร็จพิธีทักทายระหว่างผู้นำ
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาจะเข้ามาประสานงานด้วย แผนงานนี้แทบจะเป็นสูตรตายตัว สำหรับการเจรจาของทั้งสองชาติ
เมื่อ โมริ ได้พบหน้าคลินตัน เขาก็เริ่มเปิดฉากทักทายทันที
Who are you ?
เจอประโยคนี้เข้า คลินตันถึงกับช็อค แต่เขาก็ยังรักษาสถานการณ์ด้วยการใช้อารมณ์ขันตามสไตล์อเมริกัน
Well, I am Hillarys husband, ha ha
นายโมริก็ตอบไปตามสคริปต์อย่างมั่นใจ
Me too, ha ha ha
16 เมษายน 2546 21:56 น.
เด็ก รนบ.
น่าเสียดายเวลาที่ผ่านมา ความทรงจำทุก ๆ อย่างของเราทั้ง 2 จบลงเมื่อผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิตของ ผึ้ง ก็คงจะเหมือนวัยรุ่นปกติทั่วไปที่จะมีความรัก เควินชื่อของแฟนผึ้ง เราทั้ง 3 คนรู้จักสนิทกันดี และไปเที่ยวด้วยกันบ่อย ๆ หลังจากนั้นไม่ถึงปีเรากับเควินก็จบกัน อาจจะเป็นเวลานั้นเราเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าแฟน เพราะเราอยากมีเวลาให้กล้วยเหมือนเดิม
หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน เราก็ได้ข่าวจากเพื่อนกลุ่มอื่น ว่า กล้วยกับเควินคบกัน ในเวลานั้นเราไม่เชื่อเพราะเราเชื่อใจกล้วยมากกว่า หรือถ้าเป็นจริงเราอยากได้ยินจากปากกล้วยเอง สุดท้ายมันก็เป็นจริงออย่างที่ใคร ๆ พูด พวกเขาคบกัน ฉันก็พยายามทำให้ทุกๆ อย่างเป็นปกติแม้ในใจมันจะไม่เหมือนเดิมก็ตาม เพราะว่าฉันยังรักเควินอยู่ซึ่งกล้วยก็รู้ดี แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้น ผ่านไปได้ 6 เดือนกล้วยกลับไปเยี่ยมญาติที่เมืองไทย เหลือเพียง ฉัน เควิน และความทรงจำเก่า ๆ
ในช่วงเวลานั้นเควินก็ได้เข้ามาบอกกับฉันว่า เขายังรักฉันอยู่ นี่ไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันกลับมาคืนดีกับเขาแต่อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งสำคัญกว่า ฉันยังรักเขาอยู่เสมอ ในเวลานั้นฉันคิดแต่เพียงว่าเรารักกันเป็นพอ ส่วนกล้วยเพื่อนรักก็คงเข้าใจในเหตุผลนี่ดี พอกล้วยกลับมาเขาก็ยอมรับเหตุผล และเรื่องราวแต่โดยดี หลังจากนั้นฉันกับเควินเราก็คบกันปกติเหมือนคู่รักคู่อื่น ๆ
ส่วนกล้วยก็เริ่มห่างกับฉันไปด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ เขามีเหื่อนกลุ่มใหม่ เวลาไม่ตรงกัน ในเวลานั่นฉันสังเกตุเห็นความผิดปกติของเควิน คือเขาเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มไม่มีเวลาให้กัน ส่วนกล้วยเราก็ไม่ได้เจอกัน แล้วฉันก็จับได้ว่าเขาแอบคบกันในเวลาเดียวกันที่เควินคบฉันไปด้วย ในตอนนั้นฉันรู้สึกยังไงหลาย ๆ คน ที่กำลังอ่านอยู่ก็คงเข้าใจ
แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เควินกลับมาขอโอกาส และตัวฉันก็ยอมเพราะฉันรักเขาเราสัญญาว่าครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายส่วนกล้วยเพื่อนรักของฉันเราก็จากกันเพราะเรื่องบ้า ๆ ส่วนตัวฉันก็ต้องทนอยู่กับวังวลความรักที่มีแต่ความทุกข์เพราะเวลาก็ทำให้ฉันรู้ว่าเควินไม่เคยรักฉันเลย ฉันได้สูญเสีย มิตรภาพความเป็นเพื่อนเพราะความรักเพื่อที่จะมอบให้ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชาย ความรัก มิตรภาพระหว่างเพื่อน เท่ากับศูนย์ สิ่งดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเดินจากไปอีกพร้อมกับคนที่ฉันรัก 2 คน
ในตอนนี้ฉันก็ได้รู้แล้วว่าสิ่งที่จะอยู่กับฉันได้ตลอดคือ มิตรภาพ ไม่ใช่ความรัก เพราะความรัก เป็นแค่อากาศที่ผ่านมาแล้วก็ต้องผ่านไป ไม่มีใครสามารถจับต้องอากาศ และจะเก็บมันไว้กับเราได้ตลอดไป จะมีก็เพียงแต่ความทรงจำเท่านั้น ที่จะอยู่ในใจเราตลอดไป ............
11 เมษายน 2546 17:43 น.
เด็ก รนบ.
ชายแก่เลยวัย 70 คนหนึ่งคุยกับลูกชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยม หลังจากแต่งงานย้ายครอบครัวออกไปไม่กี่ปี
ชายแก่ : แจ๊ค (ชื่อลูกชาย) นั่นอะไรลูก ? พ่อเห็นลาง ๆ
แจ๊ค : อ๋อ วัวหน่ะพ่อ
เวลาผ่านไป 2-3 นาที
ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก ?
แจ๊ค : วัวตัวเดิมนั่นแหละพ่อ ยังไม่ไปไหนเลย
ผ่านไปอีก 2-3 นาที
ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรอีกล่ะลูก ?
แจ๊ค : (เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด) วัวพ่อวัว !! วัวตัวเดิมที่เพิ่งถามนั่นแหละ
เวลาผ่านไปอีก 2-3 นาที
ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก ?
แจ๊ค : (เริ่มทนไม่ไหว) เอ๊ะ !! พ่อนี่ยังไงนะ ถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ได้ ผมจะบอกครั้งสุดท้าย แล้วนะว่า วัว...!!
ผ่านไปอีก 2-3 นาที
ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรน่ะลูก ?
แจ๊ค : โอ๊ย !!! พ่อเลอะเลือนแล้ว คุยกันไม่รู้เรื่อง ผมไม่คุยกับพ่อแล้ว
แล้วแจ๊คก็ผละจากพ่อไปอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุด เวลาผ่านไป จวบจนตอนเย็น ได้เวลาอาหารค่ำ เมื่อไม่เห็นผู้เป็นพ่อลงมา แจ๊คจึงเดินขึ้นไปตามที่ห้อง ณ ที่นั่น เขาได้พบชายแก่ นั่งเหม่อลอย ข้าง ๆ มีไดอารี่เก่า ๆ เล่มหนึ่งที่เพิ่งเขียนบันทึกในวันนี้เสร็จ
แจ๊คถือวิสาสะเข้าไปอ่าน ความว่า...ครั้งหนึ่งเมื่อ 40 กว่าปีก่อนมาแล้ว
เรามีลูกชายคนหนึ่งที่เรารักมากที่สุด เราตั้งชื่อเค้าเองว่า...แจ๊ค ในวันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง เราพาแจ๊คออกไปเดินเล่น ตอนนั้นแจ๊คกำลังพูดได้เก่งทีเดียว
เราพาเค้าไปนั่งที่สวนหลังบ้าน พอดีมีวัวผ่านมา...
แจ๊คถามเราว่า พ่อ นั่นอะไร...วัวไงลูก เราตอบ เวลาผ่านไป อีกไม่ถึงนาที แจ๊คก็ถามคำถามเดิมเราอีก เราก็ตอบเช่นเดิมอีก เป็นอย่างนี้อยู่ถึง 25 ครั้ง ...เราไม่เคยเบื่อหน่ายเลยที่จะตอบคำถามเดิม ๆ เหล่านั้น เรากลับรู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ลูกสนใจเราอย่างไม่เบื่อหน่าย...
แต่ในวันนี้ ณ ที่แห่งเดิม คน 2 คน ที่เคยถามคำถามเดียวกัน หากแต่ว่าเราเป็นฝ่ายถาม แจ๊คเป็นฝ่ายตอบ... เพียง 5 ครั้งเท่านั้น ลูกก็ตวาดเสียงดังใส่เรา หาว่าเราเลอะเลือน รังเกียจแม้แต่จะคุยกับเราต่อไป...
เมื่ออ่าบจบแจ๊ครู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ พ่อเลี้ยงเขามาอย่างดี
แต่วันนี้สิ่งที่เขาทำให้ท่านคือ การตวาดเสียงดัง ไม่พูดด้วยแล้วก็เดินหนีไป
เขาตระหนักว่า เขาได้ทำสิ่งผิดพลาดซึ่งเขาเองแทบไม่รู้ตัว แล้วคุณล่ะ
วันนี้คุณได้ทำอะไรดี ๆ ให้ท่านเหล่านั้นหรือยัง ?...
11 เมษายน 2546 17:34 น.
เด็ก รนบ.
แต่แล้วเกิดพลัดหลงทางออกจากป่าไม่ได้จึงได้ขี่ม้าวนไปริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อจะไปล้างหน้าล้างตาและดื่มน้ำให้ชื่นใจหลังจากที่อ่อนล้ามาทั้งวัน เมื่อควบม้ามาถึงริมฝั่งแม่น้ำจึงโดดลงจากม้าตัวโปรดแล้วปรี่ไปที่ธารน้ำ ทันใดนั้นก็ได้พบกับอะไรบางอย่าง
มีหญิงสาวแสนสวย 3 คนกำลังเล่นน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนาน ชายผู้นั้นเมื่อไม่ค่อยจะได้พบปะกับเพศตรงข้ามเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปดูใกล้ ๆ อย่างสบายอารมณ์ แต่โชคไม่ดีเป็นจังหวะที่หญิงสาวทั้ง 3 คน เล่นน้ำเสร็จกันพอดีจึงทยอยขึ้นฝั่ง
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ตกใจเหลียวซ้ายแลขวาไม่รู้จะทำอย่างไร ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว จึงแก้ผ้าล่อนจ้อนแล้วก้มลงไปหยิบโคลนมาพอกตัว แต่ยัง...ยังไม่สะใจจึงกระโดดลงไปคลุกโคลน..หญิงสาว 3 คนรีบจ้ำอ้าวเข้ามาริมฝั่งทุกที ๆ
ชายหนุ่มเห็นดังนั้น จึงก้มลงไปหยิบยาสระผม และสบู่ที่อยู่ริมฝั่ง แล้วรีบไปยืนกางแขนกางขาอยู่ที่ริมแม่น้ำ มือซ้ายถือสบู่ มือขวาถือยาสระผม เพื่อจะอำพรางตัวเป็นรูปปั้น หญิงสาวคนแรก เมื่อเห็นจึงเดินเข้ามาดูด้วยความสงสัยเธอมองตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ แล้วก็ได้เห็นอะไรบางอย่างล้ำยาวออกมาจากรูปปั้น หญิงสาวเห็นดังนั้นก็แปลกใจ คิดอยู่ในใจว่าคงเป็นคันโยกอะไรสักอย่างจึงลองโยกดู เมื่อเธอก้มลง...สบู่ในมือของรูปปั้นนั้นก็ร่วงลง หญิงสาวเห็นก็ดีใจก้มลงเก็บ และวิ่งไปบอกเพื่อน ๆ
หญิงสาวคนที่ 2 เห็นก็เกิดกิเลส วิ่งเข้าไปที่รูปปั้นแล้วก้มลงจับคันโยกทันที คราวนี้ยาสระผมก็ร่วงลงมาพร้อมกับเสียง..อ่อย..ย..ย หญิงสาวเห็นก็ดีใจรีบก้มลงเก็บ แล้วรีบวิ่งไปอวดเพื่อน ๆ หญิงสาวคนที่ 3 เมื่อเห็นเพื่อนได้ ก็อยากจะได้บ้างรีบวิ่งไปจับคันโยก แต่ก็ไม่ยักจะมีอะไรหล่นลงมา
จึงลองโยกดูช้าบ้างเร็วบ้าง แต่ชายผู้นั้นเมื่อไม่มีอะไรอยู่ในมือแล้วก็ได้แต่กัดฟันและกลั้นใจแทบหืดจับ ประกอบกับความอยากได้ของหญิงสาวจึงโยกขึ้นโยกลง อย่างแรงแล้วเดินอย่างสลดไปหาเพื่อน ๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "พวกเธอโชคดีนะ ได้กันทั้งสบู่ทั้งยาสระผม" แล้วแบมือให้เพื่อนดู และพูดว่า "ฉันได้แต่ครีมนวด"
19 มีนาคม 2546 18:55 น.
เด็ก รนบ.
นานมาแล้ว ณ สำนักธรรมบนเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พำนักของเหล่าผู้ทรงศีลโดยมีผู้ทรงศีลอาวุโสท่านหนึ่งเป็นเสมือนครูผู้สอนและผู้ดูแลความเรียบร้อยของสำนักธรรมแห่งนี้
อยู่มาวันหนึ่งผู้ทรงศีลอาวุโสมีความจำเป็นต้องแจ้งข่าวสารอย่างหนึ่งให้กับสำนักธรรมอื่นๆทราบ จึงได้ไหว้วานผู้ทรงศีลวัยหนุ่ม 2 คนให้ช่วยเป็นธุระจัดการให้
เมื่อได้รับทราบความประสงค์ของผู้ที่เป็นดังครูผู้สอน ผู้ทรงศีลทั้งสองจึงรีบออกเดินทางเพื่อไปจัดการธุระให้
หลังจากเดินทางมาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งสองได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่ จึงรีบรุดไปยังต้นตอของเสียงนั้น ภาพที่ปรากฏคือ สตรีที่มีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมแม่น้ำ โดยที่ขาข้างซ้ายของนางดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองจึงเข้าไปถามสตรีผู้นั้น
"มีปัญหาอะไรหรือ...แม่นาง" หนึ่งในสองถามขึ้น
"บ้านของเราอยู่ริมแม่น้ำฝั่งโน้น ลูกชายของเราไม่สบายมาก เราเพิ่งรวบรวมเงินที่มีไปตระเวนหาซื้อยาเพื่อมารักษาอาการป่วยของเขา ซึ่งอาการป่วยของลูกชายเราจำเป็นต้องได้รับยาของเราในวันนี้ และมีเราเพียงผู้เดียวที่สามารถปรุงยาสำหรับเขาได้ ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นต้องข้ามแม่น้ำไปฝั่งโน้นให้ได้ก่อนพลบค่ำ แต่น้ำในแม่น้ำเชี่ยวกรากมาก และเราเองได้รับอุบัติเหตุจากการเดินทางอย่างที่ท่านทั้งสองได้เห็น ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถข้ามแม่น้ำโดยลำพังได้ หากท่านมีเมตตา กรุณาช่วยพาเราข้ามแม่น้ำด้วยเถิด" สตรีท่านนั้นอธิบายพร้อมวิงวอนต่อผู้ทรงศีลทั้งสอง
ทางที่ผู้ทรงศีลจะต้องเดินทาง ก็ต้องข้ามผ่านแม่น้ำสายนี้เช่นเดียวกัน ผู้ทรงศีลคนแรกกำลังคิดถึงคำสอนที่ได้ร่ำเรียนมา แม้ใจจะอยากช่วยแต่คำสอนที่ระบุว่าห้ามผู้ทรงศีลสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวของหญิงสาวก็ทำให้ผู้ทรงศีลไม่อาจละเมิดได้ ในขณะที่กำลังจะชี้แจงถึงเหตุผลที่ไม่อาจช่วยได้ให้สตรีผู้นั้นทราบ ผู้ทรงศีลอีกท่านหนึ่งก็ตรงไปอุ้มนางขึ้นและหานางเดินข้ามแม่น้ำในทันทีท่ามกลางความตกตะลึกของผู้ทรงศีลคนแรก
เมื่อข้ามพ้นแม่น้ำแล้ว ผู้ทรงศีลที่อุ้มสตรีผู้นั้นมาก็วางนางลง ซึ่งนางก็ได้กล่าวคำขอบคุณและพยายามเดินจนกลับถึงบ้าน เมื่อผู้ทรงศีลทั้งสองเห็นนางเข้าบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ทรงศีลคนแรกก็เอ่ยถามผู้ทรงศีลคนที่สองทันที
"นี่ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร เราทั้งสองคือผู้ทรงศีลนะ ทำไมท่านถึงละเมิดสิ่งที่เป็นคำสอนของเราล่ะ?"
แต่ผู้ทรงศีลคนที่สองไม่ตอบอะไร แล้วทั้งคู่ก็เริ่มเดินทางต่อ
ผ่านมาได้อีกสักพัก ผู้ทรงศีลคนแรกก็ถามขึ้นอีก
"เราไม่เชื่อเลยนะว่าท่านจะกล้าทำในสิ่งที่ผิดเช่นนี้ วานท่านบอกเราหน่อยได้มั้ย เหตุใดท่านจึงทำสิ่งที่ผิดคำสอนเช่นนั้น"
แต่ผู้ทรงศีลคนที่สองไม่ตอบอะไรเช่นเดิม แล้วทั้งคู่ก็เริ่มเดินทางต่อ
จนถึงที่หมายซึ่งเป็นเวลาค่ำมากแล้ว ท่านผู้ทรงศีลคนแรกก็ถามขึ้นอีกครั้ง
"เราจะถามท่านเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ทำไมท่านถึงละเมิดคำสอนโดยการไปอุ้มสตรีผู้นั้นข้ามแม่น้ำมา หากท่านไม่ตอบเราอีกล่ะก็ เสร็จธุระครั้งนี้แล้วเราจะไปรายงานให้ผู้อาวุโสทราบ"
"สหายเอ๋ย" ในที่สุดผู้ทรงศีลคนที่สองก็เอ่ยขึ้น...
"ท่านบอกว่าเราละเมิดคำสอนโดยการช่วยอุ้มสตรีที่ได้รับบาดเจ็บและต้องการไปช่วยบุตรอันเป็นที่รักของนางข้ามแม่น้ำใช่มั้ย"
"ใช่สิ ในที่สุดท่านก็ยอมรับแล้วใช่มั้ย ว่าการที่ท่านอุ้มนางข้ามแม่น้ำถือเป็นการละเมิดคำสอน"
"สหายเอ๋ย" ท่านผู้ทรงศีลคนที่สองกล่าวตอบ
"ท่านช่วยฟังคำของเราและตรองดูสักนิดเถิด แม้เราเองช่วยนางโดยการอุ้มนางข้ามแม่น้ำจริง แต่เราวางนางลงตั้งแต่เราพานางข้ามมาอีกฝั่งแม่น้ำได้แล้ว แต่ท่านต่างหากที่ยังอุ้มนางมาจนถึงที่นี่..."