9 พฤษภาคม 2548 01:26 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
กำหนัดบัดสีผีมนุษย์
ยื้อยุดขัดแย้งแยกแบ่งสี
เปรตนรกร้องร่ำกำเนิดกลี
ราคีทุกข์เข็ญจึงเป็นไป
คมมีดกรีดเชือดเดือดแผ่นภพ
ฝุ่นตลบสับสนคนโหยไห้
ป่นปี้ขี้ข้าหมาจัญไร
ซากไส้สาปศพอบเพลิงกาม
เหล็กแหลมน่าอนาถเมื่อบาดเนื้อ
ปะทุเชื้อสาปแช่งแรงหื่นห่าม
เมินรอยถ้อยระยำคำประณาม
คำไขสงครามเกิดความกลัว
ศพทหารศพหนึ่งจึงยืนหยัด
บ่งชัดบ่งชี้สิ่งดีชั่ว
แสงสว่างในระหว่างทางมืดมัว
ตื่นตัวร้องสิทธิกูผิดฤา?
ผู้นำหลับตาแล้วด่ากราด
สัญชาติโฉดทรามปนความดื้อ
อำนาจไร้สำนึกกูฝึกปรือ
ซื่อบื้อบั่นคอคนต่อไป
เสียงทหารศพที่สองกึกก้องฟ้า
มึงบ้ามึงบื้อหรือมึงใบ้
กำหนดชีวิตใครต่อใคร
เสแสร้งผลักไสให้กูตาย
ผู้นำหน้าด้านสานอำนาจ
เพื่อชาติอ้างซ้ำย้ำง่ายง่าย
ชีวิตต้องสู้ลูกผู้ชาย
แค่นี้โวยวายไปตายซะ
ทหารอีกสิบศพเดินตบเท้า
เร่งเร้าครวญคร่ำย้ำตรรกะ
เดินตามปณิธานสานภาระ
หยุดยั้งภาวะระงับกลี
ร้อยศพพันศพหมื่นศพ
บุกตะปบคนผิดด้วยฤทธิ์ผี
หลอกหลอนเรียกร้องจ้องราวี
ไอ้ตัวบัดสีขี้ขลาดทราม
แสนศพหมื่นล้านพันสันติภาพ
กำราบสัตว์ชั่วตัววางก้าม
ดับทุกข์ดับโศกโลกงดงาม
ทุกยามเย็นใจสานไมตรี
คนผีเคียงคู่เพื่อกู่ร้อง
กึกก้องแรงรักษ์สร้างศักดิ์ศรี
หวังทุกชีวาสามัคคี
เพื่อมีสันติภาพตราบเท่านาน
4 พฤษภาคม 2548 06:30 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
เพราะโลดตามตัณหาไฟราคะ
ใต้ภาวะต่ำทรามรุกลามจิต
จึงขุ่นข้องเคืองเคียดเกลียดชีวิต
โลกมืดมิดหม่นไหม้ใจระทึก
เพราะอารมณ์โกรธบ้าจึงด่ากราด
เปรตตวาดหวีดร้องดังก้องกึก
เลวระยำยั่วยวนชวนบาปคึก
เหยียบสำนึกบุญกรรมธรรมวัตร
เกิดปะทุระอุลามด้วยความโกรธ
ไฟชั่วโฉดร้อมรุ่มพากลุ้มกลัด
กลิ่นศพสัตว์บัดสีซึ่งชี้ชัด
ทางกำหนัดกำหนดบทบาทรับ
เพราะไม่ได้ดังใจใจจึงบาป
เนิ่นนานตราบมีนิยามความเกิดดับ
กิเลสถองกระแทกใจให้เคืองคับ
ขาดการแปรเปลี่ยนปรับยอมรับทุกข์
จึงต้องร้อนรุ่มใจในนรก
จิตวิตกติดตามสิ้นความสุข
ไฟโลกันตร์โหมระห่ำกระหน่ำรุก
จึงจมทุกข์เพราะยึดติดในจิตใจ
เพราะอัตตาตัวตนบนทางโลก
คือทางโศกทางทุกข์ซึ่งรุกไล่
หวังดับร้ายคลายร้อนผ่อนแรงไฟ
ทำเรื่องใหญ่เป็นเรื่องย่อยแค่ปล่อยวาง
22 เมษายน 2548 15:26 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ตะวันทอแสงทองส่องฟากฟ้า
เริ่มเวลาสุขสันติ์เช้าวันใหม่
ลบเลือนความมืดมิดจากจิตใจ
โหมรุกไล่ลีลาแห่งราตรี
เก็จน้ำค้างเคลียคลอล้อไอหมอก
คล้ายเย้าหยอกยิ้มรับอวดสรรพสี
เสียงนกน้อยขับขานสานไมตรี
เปล่งวิถีลำนำท่วงทำนอง
มอบสีสันสดใสให้ผีเสื้อ
ประดับไม้เมืองเหนือเมื่อแสงส่อง
แห่งดอยหมอกดอกไม้ใต้แสงทอง
บนครรลองลีลาตาของวัน
ปลุกคุณงามความคิดจิตมนุษย์
ชำระความชำรุดหยุดถือมั่น
ซึ่งบอดใบ้เบ่งบ้าเข่นฆ่ากัน
เพื่อแบ่งปันแสงธรรมเป็นน้ำใจ
หลงรักคำคารมลมพัดหวน
เปลวแดดอุ่นอบอวลชวนหวั่นไหว
เติมชีวิตวิญญาณสานสายใย
ระบายสีสดใสให้จดจำ
แสบแสงสาดสอดแทรกเหงื่อแตกซ่าน
จินตการร้อยกรองยิ่งร้องร่ำ
แสง-สี-เสียง-เรียงร้อยแต่งถ้อยคำ
เป็นลำนำบทนี้ที่คนเมิน
19 เมษายน 2548 23:41 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
เสียงซากผีขี้ข้าอาจมวิบัติ
กลิ่นสาปสัตว์สลดสิ้นกินซากศพ
ความแห้งแล้งกันดารลาญพิภพ
จึงบรรจบภาพอุจาดบาดสำนึก
ความอดอยากยากจนคนเคืองเคียด
เสียงโกรธเกลียดกู่ร้องดังก้องกึก
ระห่ำเปรตโหยหวนชวนระทึก
เกิดรู้สึกเสียวไส้ใจรันทด
ฟ้าจึงแผดเสียงก้องร้องเกรี้ยวกราด
สื่ออำนาจรุกกระหน่ำเร่งกำหนด
ลบเคืองเคียดเกลียดชังพรั่งพรูพจน์
กระแทกกฎธรรมชาติประกาศชัด
ปะทะความร้อนแรงดินแห้งผาก
ชำระซากสำส่อนสั่งสอนสัตว์
ล้างคำสาปคราบขี้เพื่อชี้วัด
ลบกำหนัดอมนุษย์แล้วหยุดคิด
รินน้ำฝนหลั่งรดเริ่มหยดแรก
จึงสอดแทรกสรรพ์สีไมตรีจิต
ตบแต่งเติมเสริมสร้างทางชีวิต
เนรมิตวิญญาณสานสายใย
เกิดต้นน้ำลำธารบันดาลสุข
ฝนรินหลั่งล้างทุกข์รุกโลกใหม่
ชโลมโลกเฉลิมหล้าชลาลัย
ผืนทองผองไผทใกล้กลับมา
นกน้อยร้องเพลงหวานเฝ้าขานขับ
ดวงตะวันก็ยิ้มรับกับหมอกฝ้า
เกิดรุ้งแห่งความหวังพลังชีวา
สัญญาณฟ้าหลังฝนดลบันดาล
หยาดหยดรินหล่นร่วงจากสรวงสวรรค์
คือของขวัญข้าวปลาแหล่งอาหาร
เสกผสมกลมกลืนอย่างชื่นบาน
จิตวิญญาณค่อยค่อยนำกำเนิดคน
เกิดวิถีชีวิตจิตมนุษย์
บริสุทธิ์ไร้ศัพท์ความสับสน
ไร้ซึ่งความแปลกแยกแตกตัวตน
สุขท่วมท้นทางธรรมท่วงทำนอง
สังคีตร้อยลำนำเพลงลำน้ำ
แปลงอดีตเลวทรามความหม่นหมอง
ฟ้าเกรี้ยวกราดอึกทึกคึกคะนอง
เป็นครรลองวิถีแห่งชีวา
15 เมษายน 2548 02:17 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
๑.กำเคียวกูเกี่ยวข้าว
ร้อยเรื่องราวการดิ้นรน
ทุกข์ยากลำบากทน
เทวษแท้ชาวนาไทย
หยาดเหงื่อหลอมแรงงาน
ปลุกวิญญาณสานเยื่อใย
เลี้ยงชาติภูมิชัย
เฉลิมโลกฉลองเมือง
ฝนพรำใจพร่ำร้อง
เพื่อรวงทองอันรองเรือง
แข็งขันแม้ขัดเคือง
อัตคัตขาดเงินทอง
เหงื่อรินจึงเกิดรวง
อิ่มเอิบทรวงท่วงทำนอง
สังคีตขีดครรลอง
เพลงเกี่ยวข้าวของชาวไทย
ฝนรินดินผสม
ทุกข์ระทมทับถมใจ
ร้อนเย็นความเป็นไป
แปลงเหงื่อกูให้สูกิน
๒. แดกข้าวทุกคราวคำ
เพราะเจ็บจำช้ำจนชิน
ขี้ครอก ตอกย้ำยิน
สูเยาะเย้ยเหยียดหยามคน
บูชาค่าเงินทอง
ลืมกลั่นกรองกลับกรอกกล
บ่งชั้นบิดเบือนชน
บุบบูดบี้ชี้เปลือกแปลง
หยามโลกหล้าอาหาร
บาปสันดานจึงสำแดง
หลงวัตถุเคลือบแคลง
คลุ้งกลิ่นคาวฉาวโลกีย์
แดกข้าวทุกคราวคำ
ยิ่งตอกย้ำการย่ำยี
คลุกข้าวคาวราคี
จึงสิ้นคิดจิตพิการ
เหงื่อกูที่สูหมิ่น
เหยียดหยามยินถิ่นบันดาล
ลืมต้นน้ำลำธาร
ทะลวงล้างถางทำลาย
นิยามทุนนิยม
จึงสั่งสมไม่ขาดสาย
ชีวิตวิญญาณตาย
จึงตกต่ำย้ำสิ่งทราม
๓. ชาวนาน้ำตาตก
เริ่มตระหนกตระหนักตาม
อยากหลง กิน เกียรติ กาม
หวังจะสุขสิ้นทุกข์ทน
เกิดบ้าทิ้งนาข้าว
ลืมเรื่องราวการดิ้นรน
เดียดฉันท์บรรพชน
ชีวิต ข้าว อันยาวนาน
วุ่นวนคนหนุ่มสาว
ทิ้งเพลงข้าวเคยขับขาน
มุ่งหน้าหวังหางาน
มาโง่งมจมปลักเมือง
หมดคำข้าวทำขวัญ
สิ้นสวรรค์อันรองเรือง
คนควาย ก็เคียดเคือง
ขุ่นข้องเข็ญลำเค็ญใจ
วางเคียวหวังเกี่ยวเงิน
ซึ่งดำเนินลำนำสมัย
ชี้เห็นสิ่งเป็นไป
ปรกติทุนนิยม
คุณข้าวสิ้นคุณค่า
สิ้นท้องนามั่วอาจม
หมดสิ้นขลังคำคม
ว่า เหงื่อกูที่สูกิน
กู สู คงอดแดก
ความแปลกแยกยิ่งย้ำยิน
ราคาคาวราคิน
ของกลไกในกลกาม
ชาวนาเมื่อสูญพันธ์
ก็ยืนยันเสียงหยันหยาม
นาข้าว ถูกคุกคาม
ก็สิ้นค่าความเป็น ไทย