18 ตุลาคม 2546 11:38 น.
เจือจันทร์
# หากความคิดถึงเธอคือสายลมหนาว
เวลานี้ฉันคงหนาวเสียดกระดูกเจียนขาดใจ
หากว่าเธอคือสายลมหนาว ไม่ว่าเธอจะพัดผ่านไปยังที่แห่งใด
ใจฉันขอเป็นดั่งกองไฟใช้ผิงยังที่แห่งนั้น
@ สายลมหนาวราวไล้เรียวเกี้ยวรวงข้าว
อีกรวงข้าวราวลู่เรียงเอียงอายหนี
เห็นรวงข้าวลมหนาวเกี้ยวเปลี่ยวฤดี
หน้าหนาวนี้ไม่มีเจ้าแสนเศร้าใจ
@ ห่มผ้าห่อก่อไฟผิงให้อิงอุ่น
หนาวลมหนุนหมุนกิ่งส่ายใบไม้ไหว
ใบไม้ตายกลายชื้อก่อต่อเชื้อไฟ
ลุกเชื้อไฟไว้ใช้ก่อต่อชีพคน
@ นั่งผิงไฟให้หนาวหายพอกายผ่าว
ให้ใจหนาวได้ผิงดาวพราวเวหน
จิบกวีที่ว่าหวานจากธารตน
กล่อมกมลให้ทนหนาวยามเจ้าเลือน
@ เจ้าเลือนเหมือนลมหนาวคราวพัดผ่าน
เสียดสะท้านซ่านทรวงในราวใจเฉือน
ดุจดายเดียวเปลี่ยวเปล่าดาวไร้เดือน
ยามเจ้าเลือนแม้เดือนดาวก็ร้าวราน
@ สายลมหนาวราวสายไหมไว้ทอถัก
ห่วงใยรักไว้ถักทอก่อความหวาน
ลงลายรักร้อยอักษรเป็นกลอนกานต์
ยามหนาวนานได้อ่านห่มให้ลมอาย
@ ความคิดถึงยังตรึงจิตให้ติดเจ็บ
ลมหนาวเหน็บพัดผ่านไปให้ใจหาย
หากคืนนี้ดวงแดสิ้นลงดิ้นตาย
ขอเพียงได้แค่เพียงหนึ่ง...คิดถึงเธอ
# เธอถามฉันด้วยบทเพลงคำถามว่าคิดถึงเธอไหม?
ฉันทำได้เพียงตอบคำถามด้วยบทกวีบทนี้
แม้เธอจะเคยบอกกับฉันว่า
บทกวีเป็นเพียงเล่ห์ลิ้นลมลวง จะแต่งอย่างไรก็แต่งได้
แต่สำหรับฉัน..บทกวีคือหยาดน้ำตาของดวงดาวที่ใช้เวลากลั่นตัวทั้งคืนจนกลาย
เป็นหยาดน้ำค้างบริสุทธิบนยอดหญ้ายามเช้า เพื่อที่จะสื่อความหมายที่ว่า
คิดถึงเธอ
1 ตุลาคม 2546 03:48 น.
เจือจันทร์
@เธอหน้าใสไฮโซแต่โสโครก
หมกเชื้อโรคหมักหมมผายลมเหม็น
อาบน้ำหอมย้อมกลิ่นเฉาทุกเช้าเย็น
ฉากที่เห็นเช่นเล่ห์ลิงใช่จริงจัง
@ท่าผู้ดีมีตีนแดงตะแคงข้าง
ทำมือห่างตีนห่างอย่างฉมัง
ช่างน่าจูบลูบใบหน้าด้วยบาทัง
ใช้แต่ตังค์เหยียบชนต่ำจนฉ่ำตีน