17 มกราคม 2552 21:49 น.
เจน_จัดให้
...พี่ยองมินเป็นคนที่ซื้อร่มให้ฉันในวันที่ฝนตก...
...แต่คุณแทกกีคือคนที่พร้อมจะยืนตากฝนไปกับฉัน...
ไม่รู้อะไรทำให้จำคำพูดของตัวละครในซีรี่ย์เกาหลีเรื่อง Vineyard Man ได้แม่นจัง...แม้ซีรี่ย์เรื่องนี้จะลาจอไปแล้ว ก็ตาม (หุหุไม่เป็นไรซื้อแผ่นเก็บไว้แล้วว)
มันก็น่าคิดระหว่างคนที่ซื้อร่มให้กับคนที่พร้อมจะยืนตากฝนไปด้วยกัน..
.ถ้าให้เลือกก็คิดว่าขอเลือกคนที่พร้อมจะยืนตากฝนไปด้วยกันดีกว่า
ก็มันน่าซึ้งใจกว่ากันเยอะเลยนินา...
"ได้ผจญหนาวบ้างร้อนบ้าง...เคียงข้างกัน
ไม่ต้องมีอะไรปกป้องมากมาย...แค่มือซ้ายของเธอยังจับมือขวาฉันไว้
ก็ทำให้มั่นใจและอบอุ่น..."
ความโรแมนติกและมุขขำขำมันก็ทำให้หัวใจชุ่มฉ่ำไปด้วยได้เหมือนกัน
บางครั้งคนเรามักตั้งเงื่อนไขให้กับความรัก มากมาย แต่อาจลืมไปว่า
สิ่งเหล่านั้นมันสำคัญและเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดคำว่ารัก จริงๆหรือเปล่า
บางครั้งความรักก็ไม่มีเหตุผลรองรับไม่มีสมการให้ Run เพื่อหาความสัมพันธ์
แต่มันก็เป็นความรัก...และอาจเป็นรักแท้ก็ได้ใครจะไปรู้ หุหุ
................................................
ในซีรี่ย์เรื่องนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่ตรงใจ...โดยเฉพาะบรรยากาศในเรื่อง
ไร่องุ่น ทุ่งหญ้า ภูเขา ลำธาร ท้องฟ้า ดวงดาวและดวงจันทร์ยามค่ำคืน...ตลอดจน
เรื่องราวที่ดำเนินไป ทำให้รู้สึกว่าง่ายๆแค่นี้เองชีวิต...
ถ้าเลือกได้ก็ขอได้ใช้ชีวิตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนี้ก็คงจะดีไม่น้อย...
ทุกๆวันที่ชีวิตถูกเหวี่ยงให้ห่างไกลจากธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจำกัดไว้ด้วยเวลา ว่าต้องทำโน่นทำนี่ทำนั่น วันๆดูวุ่นวายไปหมด...บางทีเหมือนจะขาดใจ
(โดยเฉพาะการต้องติดแหง็ก อยู่บนท้องถนนในวันที่ฝนตก)...
ใจข้างในแม้ไม่ยินดีกะความเป็นไปเหล่านี้ แต่ก้อไม่สามารถหลีกหนีไปไหนได้...คงต้องยอมรับสภาพกันไป
การยอมรับ...เป็นสิ่งหนึ่งที่ให้ความอึดอัดใจมันดูน้อยลงไป...คิดๆไป
นอกหน้าต่างยังมีต้นไม้ดอกไม้ ลมเย็นๆ มีความหวังที่จะได้เจออะไรดีดีอยู่อีกมากมาย...จินตนาการหล่อเลี้ยงหัวใจให้มีแรงต่อไป...
...................................................
พอใจในพื้นที่เล็กๆตรงนี้...แค่รอยเท้าที่ยืนเหยียบอยู่บนโลกใบนี้...
ก็ไม่ว่าใครยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ยืนได้แค่พื้นที่เท่านี้เท่านั้น
ขอบคุณซีรี่ย์เรื่องนี้ที่ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น...
ปล.มะได้มาโปรโมตเด้อจ้า...แค่รู้สึกนึกคิด
10 ธันวาคม 2551 11:26 น.
เจน_จัดให้
....วันนี้อากาศดีใช้ได้ทีเดียว....แม้จะมีแดดแต่ก้อมีสายลมเย็นๆพัดมาอยู่ตลอดเวลา....ทำให้รู้สึกสดชื่นและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก....
ในใจก้อคิดอะไรไปเรื่อย....จนมาสะดุดที่ภาพหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ....รอยยิ้ม
ของใครคนหนึ่ง....นี่หรือเปล่าน๊ะที่เค้าเรียกว่า ยิ้มพิมพ์ใจ.....
...........................................
วันพบเจอ....
....เอ้ยเพื่อนแกเมื่อไหร่จะมาเนี่ย....
....อ่อ... มันมานานแล้วหล่ะ แต่แอบไปเดินเล่นอยู่น่ะ 555+
....อืมมม นะ....งั้นไปเจอกันเลยมั๊ย นี่ก้อจะเย็นแล้วเดี๋ยวแสงหมด....
เดี๋ยวก็ได้มาถ่ายแต่พระจันทร์กะดาวกันพอดี
....แป๊บบบ โทรมาพอดี....ไปกันเถอะ ได้พิกัดที่มันอยู่แล้ว....
..................
การนัดเจอกันบางทีก็เหมือนเส้นผมบังภูเขายังงัยยังงั้น...กว่าจะเจอก็หมดกัน
ไปหลายบาทเลยทีเดียว....ทั้งที่อยู่ห่างกันไม่ถึง 20 เมตร....
แต่ก็นับว่าคุ้มค่าสำหรับฉันทีเดียวกับการรอคอย....หุหุ
เรามักจะไม่รู้หรอกว่าวันไหนจะต้องพบเจออะไร...แต่หัวใจคุณจะบอกได้ว่า
สิ่งที่เจอนั้นมีค่ากับคุณมากน้อยแค่ไหน และคุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่
สิ่งที่เคยพลาดคลาดกันไปก่อนหน้า...มันก็มีวันจะกลับมาเจอกันได้อีก....
เหมือนมันได้กำหนดไว้ เพียงแต่รอเวลาได้ปรากฎเท่านั้น...(แล้วเมื่อก่อน
ฉันจะร้อนรนไปทำไมน๊ะหุหุ)
..................
ยิ้ม...ยิ้ม
....นี่ไงเพื่อนที่ฉันเคยบอก ที่ชอบอะไรๆเหมือนแกน่ะ
....(เหมือนคุ้นเคยไงบอกไม่ถูก แต่จะถามว่าเราเคยสนิทกันมาก่อนก็คง
แปลกๆ และอาจโดนเค้าตอบแบบคิดในใจว่า ยัยนี่บ้าเปล่านี่...)
....อ่อ หวัดดี เราน่าจะเคยเดินสวนกันมั๊ง เพราะเราก็เคยไปกินข้าวแถว
คณะนายบ่อยๆ (ซ้าที่ไหน งัยก็โม้ไปก่อน 555+)
....ได้ยินว่าชอบถ่ายรูปเหมือนกัน ก็ยินดีที่ได้เจอคนมีอุดมการณ์เดียวกันนะ
เราแค่มือสมัครเล่น ถ่ายตามอารมณ์มีอะไรก็แนะนำกันได้น๊ะ....
....( ^_______^ ) .....
....(ทำอะไรอย่างอื่นเป็นมั๊ยนอกจากยิ้มเนี่ย แต่ก็ให้อภัย เพราะยิ้มได้น่ารัก
มั๊กมากกก ^_^)
....เอ่อ อ่า ฮะ เราก็ไม่ได้เก่งอะไร ต้องฝึกอีกเยอะเหมือนกัน ....อิอิ
....(อย่ายิ้มได้มั๊ย pls หุหุ )
....................
สิ่งเล็กๆน้อยๆ.....ในการสนทนาและท่าทีที่แสดง....มันดูเหมือนจะไม่เล็กน้อย
สำหรับฉันซะแล้ว.....รอยยิ้มเล็กๆ นั่นมันไม่ธรรมดาจริงๆ.....
มันก็คงเหมือนกับก้อนดินธรรมดาๆ....ที่สามารถเป็นแหล่งอาหารให้แก่ต้นไม่ได้
อะไรทำนองนั้น....น้ำเปล่าที่มีคุณค่ามากกว่าน้ำอัดลม.....
....................
อะไรมากมายเหนือความคาดหมาย....และมันได้กลายมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
กับชีวิตของเรามากมาย....แม้สิ่งธรรมดาๆ ถ้าเราเปิดใจยอมรับมันก็เป็น
สิ่งมหัศจรรย์ได้ทุกขณะนาที....ไม่ต้องรอพรจากดวงดาวหรือดวงจันทร์....
...................
12 มกราคม 2551 12:06 น.
เจน_จัดให้
ข้อความบังเอิญ....
(ที่มา : จาก forward mail)
พอดีมีเพื่อนส่งมาให้
อ่านแล้วรู้สึกดี ยาวไปนิ
แต่ก็อยากให้ทุกคนอ่าน....(และก็เจนด้วยคนนึงหล่ะจ้าที่เพิ่งได้เมลนี้)
...ข้อความบังเอิญ....
"มีคนเคยบอกว่า...ชีวิตคือความบังเอิญ..แต่ความบังเอิญบางครั้งก็เปลี่ยนแปลง..มุมมองเราใหม่ทั้งชีวิต "
ผมไม่เคยเชื่อในข้อความนี้...จนกระทั่งวันธรรมดาวันหนึ่ง
ที่ผมเปิดมือถือขึ้นตอนเช้า
ผมได้รับข้อความ SMS บอกว่าผมมีข้อความเสียงฝากไว้ใน Voice Mail Box
ของผมให้โทรเข้าไปฟัง...
ผมกด เข้าไปฟัง
แต่พอฟัง...ผมกลับรู้สึกแปลกใจใหญ่เพราะเสียงของคนที่ฝากข้อความไว้นั้นผมไม่คุ้นเอาเสียเลย...
และยิ่งฟังข้อความที่ฝากไว้...ยิ่งน่าจะไม่เกี่ยวกับผมเลยด้วยซ้ำ
แต่เสียงเศร้า
ของชายสูงวัยนั้น
ทำให้ผมสะดุดใจผมอย่างยิ่ง
"ชัย...นี่พ่อนะ
พ่อพยายามติดต่อลูกหลายครั้ง
แต่ติดต่อไม่ได้ คือ
พ่อต้องเข้ารพ.ไปผ่าตัดอาทิตย์หน้า
และหมอให้พ่ออยู่ที่
โรงพยาบาลตั้งแต่พรุ่งนี้..ที่บ้านไม่มีคนอยู่..ถ้าลูกว่างก็แวะมาได้ที่
โรงพยาบาลโคราช
บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มาก......"
เสียงปลายทาง..สิ้นสุดลง
ผมอึ้งและ...งง
กับข้อความที่เพิ่งฟังจบไป
อยู่พักหนึ่ง
ผมไม่ได้ชื่อชัย...และผม
ก็ไม่มีพ่ออยู่โคราช
พ่อผมเสียไปนานมากแล้ว...
ผู้ชายคนนั้นคง..กดเบอร์โทรผิด
ผมคิดแค่นั้น
และพยายามไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งฟังมา
ทำไมต้องสนใจ????..มันไม่เกี่ยวกับผม..!
แต่ตลอดวันนั้น เสียงล้าๆ
เหนื่อยๆ
ของชายคนนั้นที่ฝากไว้ใน
Voice Mail Box
วนเวียนเข้ามารบกวนใจผมเป็นระยะ...
ผมได้แต่คิดว่า
ผมมีสิทธิ์ที่จะลืมมัน?
มันไม่ใช่หน้าที่อะไรของผมที่จะต้องสนใจ
กับแค่การฝากข้อความผิดเบอร์...
แต่ประโยค "บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มากนัก......"
มันทำให้ผมรู้สึกแย่
หากไม่ลุกมาทำอะไรสักอย่าง
ผมตัดสินใจโทรกลับไปที่หมายเลขที่โทรมาฝากข้อความไว้....ซึ่งเป็นโทรศัพท์บ้าน...
ผมโทรไปหลายต่อหลายครั้ง
ไม่มีคนรับสาย....ใช่ป่านนี้เค้าคงอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
ผมได้แต่ถอนใจและพยายามบอกว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว...
แต่ตอนเย็นของวันนั้น
ในที่สุด
ความสำนึกดี..(ที่มีอยู่ไม่มากนักในตัวผม)
ก็(ดัน) ดลบันดาลในให้ผมหาทางออกได้ว่า
ผมน่าจะลองโทรไปหาเบอร์มือถือที่ใกล้เคียงกับผมดู
เผื่อบางทีอาจจะมีเบอร์ใด...ที่อาจจะเป็น
ลูกชายของคนที่ฝากข้อความไว้ก็ได้
เพราะถ้ากดผิดได้แสดงว่าหมายเลขคงจะห่างกันไม่มาก
ผมตัดสินใจไล่...กดเบอร์มือถือ
ที่ใกล้เคียงกับเลขหมายโทรศัพท์ของผม
ตั้งใจว่าจะกด แค่สิบเบอร์แรก...เท่านั้น
โดยเรียงจากเลขที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด...ผมทำมันด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่นักหรอก..
เพราะมันไม่สนุกเลยที่คุณจะต้องโทรไปหาใครที่ไม่รู้จักแล้วบอกเค้าว่า
"สวัสดีครับ
คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ
ใกล้เคียงกับคุณ คือ
คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด
และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail
ของผม คือ ท่านบอกว่า
เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า...."
ทายซิครับ...ผมได้รับคำตอบ....อะไรบ้าง?
บ้างก็วางสายใส่อย่างไม่ปราณี...
บ้าง..ก็ถามกลับมาว่า
คุณบ้าหรือเปล่า?
แต่คำตอบยอดนิยมที่ผมได้รับ...คือ...."ขอโทษนะค่ะ...ดิฉันไม่ซื้อประกันตอนนี้...และทำบัตรเครดิตครบทุกธนาคารแล้วค่ะ"
ผมอยากจะบ้าตาย..ผมไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องประกันกับบัตรเครคิตซะหน่อย..เฮ้อ...
บางที...คนสมัยนี้
คงยุ่งเกินกว่าที่จะคุยกับคนแปลกหน้า..ก็ได้...มั้ง
ผมนึกโกรธ
เจ้าความสำนึกดีในตัวเอง...ที่มันยังดึงดันพยายามต่อ...
จากที่ตั้งใจว่า จะโทรแค่10 เบอร์ที่ใกล้เคียงเท่านั้น
แล้วผมก็ลามปราม...โทรไปถึง..สามสิบเบอร์
แต่ในที่สุด..ผมก็ต้อง..ถอนใจ...หมดหวัง..เมื่อเบอร์สุดท้ายก็ติดต่อไม่ได้
ผม...ตัดสินใจฝากข้อความVoice Mail
ของหมายเลขที่ผมลองสุ่มโทรไป...
ด้วยประโยคที่ผมพูดซ้ำกันมากกว่า 30 รอบ อย่างเชี่ยวชาญ
"สวัสดีครับ
คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ
ใกล้เคียงกับคุณ คือ
คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด
และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail
ของผม คือ ท่านบอกว่า
เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า.... "
ผมวางสาย...เบอร์โทรที่เป็น...เป้าหมายสุดท้าย...เสร็จสิ้นไปแล้ว...
ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่า...ผมทำดีที่สุดแล้ว...และไม่ควรรู้สึกผิดอะไรอีก
ผมหลับตานึกภาพพ่อของคนที่ชื่อชัย....ที่ต้องนอนป่วยโดดเดียวที่โรงพยาบาล
ผมได้แต่หวังว่า เค้าจะมีช่องทางการติดต่อสื่อสารอย่างอื่นที่ทำให้สองคนนี้ได้คุยกันได้
แต่แล้ว...สวรรค์
ก็คงมีตาอยู่บ้าง...
(จริงๆผมว่า สวรรค์น่าจะมีCallCenterเพราะถ้ามีแค่ตาบางทีอาจจะมองไม่เห็นทุกคนที่เดือดร้อน...)
แล้วอยู่ๆ
ก็มีเสียงโทรศัพท์จากเลขหมายหนึ่งเข้ามา....
นั่นคือ...เลขหมายสุดท้ายที่ผมฝากข้อความไว้ใน Voice Mail นั้นเอง
"ขอโทษนะครับ...คุณใช่คนที่ฝากข้อความไว้ใน
Voice mail ของผมหรือเปล่า?
ผมชื่อชัย"
และแล้ว...ภาระกิจอันยิ่งใหญ่...ของผมก็สำเร็จ...เมื่อคนที่ชัยโทรกลับมาจริงๆ
แม้ในน้ำเสียงของเค้าดูจะไม่ค่อยไว้วางใจกับเรื่องที่ผมเล่าเท่าไหร่...และยังสงสัยอยู่หลายประเด็น
แต่เมื่อผมบอกว่า...เขาสามารถโทรไปสอบถาม
ที่โรงพยาบาลโคราชได้ว่ามีชื่อพ่อเค้าอยู่หรือเปล่า
เขาวางหูและเงียบหายไปพัก...และโทรกลับมาขอบคุณผม
เพราะที่โรงพยาบาลโคราชยืนยันว่ามีคนป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่ชื่อตรงกับคุณพ่อของเค้าจริงๆ
ผม...อึงไปพัก..เมื่อรู้ว่า...น้ำเสียงล้าๆ...ที่ผมได้ยินจากVoice Mail Box
นั้นเกิดจากการเป็นโรคร้ายระยะสุดท้าย..
ชัยรีบเดินทางกลับไปโคราช เขาไปถึงก่อนที่พ่อจะผ่าตัด
แค่หนึ่งวัน ชัย
โทรมาขอบคุณผมอีกครั้ง
เขาเล่าว่าสาเหตุที่..เขาต้องปิดมือถือ
หนีหน้าครอบครัว..และคนอื่น..
เพราะธุรกิจที่เขาที่กรุงเทพมีปัญหา...เขาต้องหนีเจ้าหนี้...ที่ตามทวงอย่างหนัก
เขาบอกว่า...แต่สิ่งที่โชคดีที่สุดของเขา..ตอนนี้ อย่างน้อย เขาก็ได้มีเวลาได้ดูแลพ่อ แม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็ตาม
ผมยังเก็บข้อความเสียงของคุณพ่อของชัยเอาไว้
และแอบกดเข้าไปฟังอีกหลายครั้ง
เพราะ ท่ามกลางชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย..จนไม่มีเวลาจะสนใจคนอื่น..ของผม
ข้อความเสียงนั้น ใน Voice Mail Box
ที่ผมได้รับโดยบังเอิญนั้น...คอยเตือนให้ผมรู้ซึ้ง
ถึงความหมายของคำว่า
"การที่เรายอมลำบากเพียงเล็กน้อย...เพื่อคนอื่นบ้างนั้น
ใครจะรู้ว่า...บางทีมันอาจจะหมายถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดของอีกคนหนึ่งก็ได้"