10 กุมภาพันธ์ 2552 11:58 น.

คนของความรัก คนของความเข้าใจ จะเลือกฝ่ายไหนดี ?

เจน_จัดให้

จากหนึ่งกระทู้ที่มีคนตั้งไว้...อ่านความเห็นแล้วประทับใจง่ะ 555+
ที่มา : http://guru.google.co.th

pao : 
คนของความรัก คนของความเข้าใจ จะเลือกฝ่ายไหนดี ?
ถ้าเรารักใครซักคน.....แต่ไม่เข้าใจเรา
กะอีกคนที่เราไม่รัก แต่พยายามเอาใจเราทุกอย่าง.......
เป็นคุณ คุณจะเลือกใคร.. ????? 


coconut :

ความรู้สึกนี้มีให้คิดตั้งแต่เด็กจนคนแก่

เด็กหลายคนเวลานอนจะมีหมอนประจำตัว บางครั้งหมอนเน่าสุดๆ มีคราบน้ำลายติดเต็มเลย พ่อ-แม่ ซื้อหมอนใบใหม่มาให้ก็ไม่ยอมเปลี่ยน เขาจะมีเหตุผลว่า นอนหมอนใบเก่ามันรู้สึกคุ้นเคย ถ้าใช้ใบใหม่จะนอนไม่หลับ ต้องรอจนกว่าหมอนใบเก่าเละพังไปนั่แหละถึงจะยอมเปลี่ยน

หรือผู้หญิงบางคนมีเสื้อผ้าแฟชั่นสวยมากมาย แต่ชุดนอนบางคนขาดเป็นรูก็ไม่ยอมเปลี่ยนยิ่งเสื้อเก่าๆยึดๆ ยิ่งชอบใส่นอน เหตุผล เพราะมันสบายตัว ใส่แล้วคุ้นเคยให้ความรู้สึกดีซื้อชุดใหม่มาใส่ถึงจะสวยกว่าก็จริงแต่มันให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยทำให้นอนไม่หลับ

ถ้าเป้นผู้ชายรถเปอร์เช่ รถสปอร์ตใครๆก็ใฝ่ฝัน แต่หลายคนเวลาจะซื้อจริงๆกับเลือกที่สมรรถนะ ประโยชน์การใช้งาน ความคุ้มค่ามากกว่าจะดูแค่ความสวยเพียงอย่างเดียว

คนแก่หลายคนชอบสะสมพระเครื่อง แต่พระองค์ที่ดีที่สุด ราคาแพงที่สุด มักจะไม่เอามาคล้องคอ จะเก็บไว้ในตู้เซฟ แล้วเลือกเอาพระธรรมดาที่รู้สึกดีมาคล้องคอแทน 

ระหว่างสิ่งที่เราดูแล้วชอบ ดูแล้วดี ดูแล้วสวย กับสิ่งที่ดูธรรมดา ไม่สวยเลยแต่เราจับต้องได้อยู่กับมันได้ เรามักจะเลือกอย่างหลังมากกว่าอย่างแรก เด็กยังรู้สึกชอบหมอนใบใหม่แต่บนหัวนอนเขาจะใช้หมอนใบเก่า ผู้ชายหลายคนยังฝันถึงรถสปอร์ตสวยๆในขณะที่เขาอาจจะขับรถญี่ปุ่นคันเล็กไปจนตาย คนแก่สามารถบอกเล่ากับเพื่อนวัยเดียวกันได้ว่าเขามีพระเครื่องที่ดี
ที่สุดในขณะที่เขาเอาพระธรรมดามาคล้องคอแทน

มีคนอีกหลายคนหากถามเขาว่าเขารักใครที่สุด เขาจะบอกชื่อคนหนึ่งมา แต่ถ้าถามต่อว่าเขาจะใช้ชีวิตร่วมกับใครคำตอบเขาอาจกลายเป็นอีกคนความรักของคนๆเดียวใช้แค่ความรู้สึกก็พอ แต่ความรักของคนสองคนต้องใช้สิ่งที่มากกว่านั้น 

อืมมม จริงแฮะ				
25 ธันวาคม 2551 11:40 น.

ถุงชาร้อนกับความรัก

เจน_จัดให้

ถุงชาร้อนกับความรัก
  
 
รายงานโดย :หนูดี วนิษา เรซ:
 วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551
 

ใกล้เทศกาลปีใหม่และคริสต์มาสกันแล้ว ช่วงนี้ใครที่มีแฟนหรือมีครอบครัว ก็เตรียมอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาล

เป็นเวลาดีๆ เวลาที่พิเศษอีกครั้งหนึ่ง...วันนี้ บรรยากาศช่วงปลายปีเป็นใจให้หนูดีชวนคุยเรื่อง ความรักและชีวิตคู่ เลยต้องขออนุญาตเล่าเรื่องสมัยที่หนูดีเรียนปริญญาตรีด้านครอบครัวศึกษา เพราะเป็นวิชาที่หนูดีแสนรักและนำมาใช้ในชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ เสมอๆ พบว่า ได้ผลดีทีเดียว ทำให้เราเป็นคนที่น่ารักขึ้นสำหรับคนรอบข้าง ทำให้คนอื่นๆ อยู่กับเราด้วยความสบายใจมากขึ้น และเมื่อคนรอบตัวมีความสุข...เราเองก็ได้อานิสงส์ความสุขนั้นไปด้วย ยิ่งช่วงปีใหม่นี้ เราต้องอยู่ด้วยกันเยอะกว่าปกติ อาจมีกระทบกระทั่งกันได้บ้าง หนูดีเลยเลือกเรื่องราวสองเรื่องนี้มาฝากกันค่ะ 

เรื่องของถุงชาร้อน...กับความรัก

วันหนึ่งศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยาครอบครัวของหนูดีเดินเข้ามาที่ห้องเรียน และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็แจกกล่องชาลิปตันที่ภายในมีถุงชาร้อนอยู่นับสิบซอง บอกว่าให้นักเรียนหยิบกลับบ้านไปคนละซอง แล้วให้ทำการบ้านมาส่งว่า ถุงชานี้มีส่วนเหมือนกับชีวิตสมรสที่มีคุณภาพอย่างไรบ้าง เอากับครูเขาสิคะ การบ้านแบบนี้หนูดีไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย และพวกเรามีเวลาถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ที่จะคิด...แต่ต้องยอมรับแบบจนด้วยเกล้าว่า คิดกันไม่ค่อยออก พวกเรามาปรึกษางานกันที่ห้องสมุดแล้วก็ออกไอเดียกันว่า ชีวิตสมรสคงหอมหวานเหมือนชามั้ง บางคนบอกว่า คงร้อนแรงเหมือนชาร้อน...ว่าแล้วพวกเราก็ชงชากันเพื่อสังเกตรูปลักษณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปของใบชา 

ในที่สุด เมื่อกลับมาเรียนอีกครั้ง หลังจากที่ฟังไอเดียการบ้านเด็ดๆ หลายอัน คุณครูก็เฉลยว่า ฟังดูดีนะ แต่ผิดหมดเลยจ้ะ และก็พูดต่อว่า ลองดูเวลาเราชงชาสิ เราจะเห็นว่า น้ำร้อนจะเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลเหมือนสีชา และกลิ่นก็หอมขึ้น แต่ว่าถ้าเรายกถุงชาออกจากถ้วยก็จะพบว่า ใบชาก็ยังอยู่ข้างในเหมือนเดิม เปรียบไปก็เหมือนชีวิตคู่ที่มีคุณภาพดี ก็คือ บางสิ่งเก็บไว้ บางสิ่งแลกเปลี่ยนแบ่งปันแสดงออก

อาจารย์พูดต่อไปว่า 

บางครั้งในการอยู่เป็นคู่เราก็มีสิ่งที่เราเก็บไว้ไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิดก็ได้ แม้ในบางเรื่องก็จำเป็นต้องแบ่งปันความคิดเพราะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา แต่อย่ากังวลว่าต้องพูดทุกเรื่องที่คิดเสมอไป เพราะอาจทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงแทนที่จะดีขึ้น 

เนิ่นนานหลังจากคาบเรียนวันนั้น มาถึงวัยที่กลายเป็นนักศึกษาปริญญาโท หนูดีก็กลายมาเป็นนักเลงชาด้วยเหตุผลว่า หนูดีเป็นคนแพ้กาเฟอีนในกาแฟมากและจำต้องลดกาแฟลง เมื่อเรียนด้านสมองก็รู้ว่า กาแฟถือเป็นศัตรูตัวย่อมๆของสมองทีเดียว

อุปกรณ์คู่ใจของนักเลงชาก็คือ ป้านชา ถ้วย ที่ชงและใบชาประเภทต่างๆ รวมถึงหนังสืออ้างอิงชาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน หนูดีมีสะสมไว้มาก เรียกว่าถ้าใครมาเยี่ยมบ้านจะต้องถูกหนูดีบังคับให้ชิมชาใหม่ที่หนูดีเพิ่งได้มา มีตั้งแต่ชาขาว ไปจนถึงชาที่ทำจากผลไม้แห้งโดยไม่มีใบชาผสมเลย แม้แต่ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นก็ไปขลุกอยู่ร้านชาในเกียวโตเสียนาน ด้วยความหลงใหล... แต่ไม่ว่าเวลาและฝีมือในการชงชาของหนูดีจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ดื่มชาแล้วจะลืมคำสอนของครูที่ว่า ชีวิตคู่ที่ดีก็เหมือนถุงชาร้อนนั่นเอง บางอย่างแสดงออกมา แต่บางอย่างก็เก็บไว้ภายใน ไม่จำเป็นต้องพูดทุกสิ่งที่คิดเสมอไป


เรื่องของ ความรัก...ช็อกโกแลต...และน้ำเปล่า

จบเรื่องถุงชาในคลาสต่อมาคุณครูก็เปิดหนังเรื่อง Like Water for Chocolate (เสมือนน้ำสำหรับช็อกโกแลต) ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่หนูดีเคยดูมา เป็นเรื่องราวของลูกสาวคนเล็กที่แม่ไม่ยอมให้แต่งงานเพราะจะเก็บไว้รับใช้กับตัว เมื่อลูกสาวมีแฟนที่รักกันมากและผู้ชายมาสู่ขอ แม่ก็ไม่ยอมยกให้ แต่บอกให้ผู้ชายแต่งงานกับพี่สาวของนางเอกแทน...และผู้ชายก็ยอมเพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ นางเอก เรื่องราวดำเนินไปอย่างน่าสงสาร เพราะทั้งคู่อกหักแต่ต้องมาอยู่บ้านเดียวกัน แฟนมีลูกกับพี่สาว หากแม่จับได้ว่านางเอกคุยกับแฟนเธอก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก เพราะแม่กลัวว่าจะสูญเสียเธอไป...สุดท้ายนางเอกมีปัญหาทางประสาทด้วยความสะเทือนใจชะตาชีวิตตัวเอง 

ตอนจบครูถามอีกเช่นกันว่า ทำไมหนังเรื่องนี้จึงตั้งชื่อแบบนี้? พวกเราคิดกันไม่ออกอีกเช่นเคย เพราะน้ำมาเกี่ยวอะไรก็ไม่ทราบ จนครูใบ้ว่า มีใครเคยทำช็อกโกแลตกินเองบ้าง? เวลาที่เราจะหลอมช็อกโกแลตให้ร้อน เราจะไม่นำไปตั้งไฟโดยตรงแต่เราจะตั้งน้ำให้ร้อนและเอาถ้วยใส่ช็อกโกแลตไปตุ๋นในนั้น เพราะถ้าช็อกโกแลตโดนกับไฟโดยตรงก็จะไหม้ไฟจนกินไม่ได้

ครูบอกว่า ความสัมพันธ์กับคนที่เรารักก็เหมือนช็อกโกแลตกับไฟนั่นเอง ที่ถ้าใกล้ไฟเกินไปนอกจากจะกินไม่อร่อยแล้วช็อกโกแลตยังอาจเสียหายไปทั้งหมดก็ได้ ในความรักการ อยู่ใกล้ กันเกินไปไม่ใช่จะเป็นผลดีเสมอไป การรู้จักให้ช่องว่างกันและกัน ให้อิสระกันตามสมควร พบว่าในระยะยาวแล้วกลับทำให้ทั้งคู่มีความสุขมากกว่า ความรักเป็นเรื่องของศิลปะว่า จะใกล้แค่ไหนที่ไม่อึดอัด จะไกลแค่ไหนที่ไม่ห่างเหิน ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่ละคู่จะต้องศึกษา พูดคุย และสังเกตกันเอง เพราะคู่ใครคู่มัน...ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่บอกได้ว่า ถ้าใกล้กันเกินไปตลอดเวลาอาจทำร้ายความรัก อย่างที่เรานึกไม่ถึงก็เป็นได้

ปีใหม่ปีนี้ พวกเราหลายๆ คนต้องอยู่ใกล้กับคนที่รักแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ด้วยกันที่บ้าน หรือการเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน เคยมีคนทำวิจัยบอกว่า ช่วงวันหยุดยาวเช่นนี้ พวกเราเครียดกันพอๆ กับวันทำงานเลยทีเดียว แต่เป็นความเครียดสะสมที่ไม่รู้ตัว โดยเฉพาะถ้าเราต้องเตรียมงานปาร์ตี้หรือวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง...อาจมีหงุดหงิดอึดอัดบ้างกับคนใกล้ตัว แล้วเผลอระบายอารมณ์ใส่กันโดยไม่ตั้งใจ

ถ้าบังเอิญเรามีโอกาสได้ดื่มชา หรือกินช็อกโกแลตในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่...ช่วยระลึกถึงเรื่อง ถุงชาร้อนกับความรัก และ ช็อกโกแลตกับน้ำเปล่า แล้วหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดอะไรด้วยความหงุดหงิด ที่ทำให้เราต้องมาขอโทษกันทีหลังนะคะ ...สุขสันต์วันคริสต์มาสค่ะ


ที่มา : ฟอร์เวิร์ดเมลจ้า....
Merry Christmas and Happy New Year นะจ๊ะทุกท่าน
ขอให้ความรักของทุกท่านสดใส..จิตใจชื่นบานตลอดปี 2552 และตลอดไป
จ้า....ท่านใดยังมิมีคู่....ก็อย่าเพิ่งเหงาเศร้าใจไป  ปีหน้าฟ้าใหม่ ยังมี
เรื่องราวดีดีให้ได้พบเจอ  เป็นปีทองของคนโสดเช่นกันจ้า

ปล.31 ธ.ค.นี้ ไปเจอกันได้ที่เมืองโบราณสมุทรปราการเน้ออออ  ได้ฤกษ์
ลั่นชัตเตอร์จากเลนส์วายตัวใหม่ซ้าที....หุหุ   ตื่นเต้นๆๆๆๆ				
28 พฤศจิกายน 2551 09:27 น.

รักสุดท้ายที่ "ปาย" ฟ้า

เจน_จัดให้

วันนี้เจนขอนำเสนอราคาที่พักที่  ปาย  ดินแดนสวรรค์ของนักเดินทางจ้า
เพื่อช่วงเวลาดีดี ในหน้าหนาวนี้เผื่อใครจะไปเที่ยวพักผ่อน
อันนี้ก้อไม่ได้มีค้าจ้างหรือค่านายหน้าแต่ประการใด  เพราะได้มา
จาก Forward mail อ่ะจ้า....ครายจะไปห่มลมหนาววบ้างยกมือขึ้น....
อ่อ...ใครมีคนให้กอดแก้หนาวแล้วก้อไปได้นะจ๊ะ  จาได้ยิ่งอุ่นๆๆงัย  หุหุ


---->>ราคาคืนละ 100-500 บาทราคาคืนละ 500-1,500 บาทราคาคืนละ 1,500-10,000 บาท				
20 พฤศจิกายน 2551 08:58 น.

ปาฏิหาริย์มีขายที่ไหน?

เจน_จัดให้

ปาฏิหาริย์มีขายที่ไหน? คำถามเล็กๆ ที่รอคอยความหวัง ดังกึกก้องอยู่ภายในใจของครอบครัว เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และคนที่ได้รู้จัก "นรุตม์ มงคลศิริภัทรา" เด็กหนุ่มวัย 19 ปี ที่ป่วยเป็น "โรคมะเร็งกระดูก" ซึ่งแพทย์ระบุว่าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน 


 ใครจะคาดคิดว่าหนุ่มน้อยที่มีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดี ขี้เล่น ขยันเรียน และเป็นที่รักของทุกคน เฉกเช่น นรุตม์ กลับต้องมาผจญกับความเจ็บปวด เนื่องจากทราบผลว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งกระดูก . . . ห่างเพียงแค่หนึ่งวัน หลังจากทราบผลว่าตัวเองสามารถทำตามความฝันสำเร็จ นั่นคือการเอ็นทรานซ์สอบเข้าคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามที่ใฝ่ฝัน แต่เมื่อสอบได้แล้วเขากลับไม่เคยได้สวมใส่เครื่องแบบนิสิต และไม่เคยได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศของการเป็นน้องใหม่ เพราะเขาต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเสมอ เพื่อรักษาอาการ "โรคมะเร็งกระดูก" 


 นรุตม์ มีช่วงเวลาดีใจปลาบปลื้มกับความสำเร็จเพียงแค่ 1 วัน หลังจากนั้นเขาก็ทราบข่าวร้ายว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งกระดูกบริเวณสะโพกด้านซ้าย ถึงแม้ว่าเขาจะมีอาการปวดขามานานเป็นปีแล้ว แต่เขาก็ไปรับการรักษามาหลายโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลเอกชนและรัฐบาล ใครๆ บอกว่าที่ไหนดีเขาก็จะเดินทางไปรับการรักษาเสมอๆ ซึ่งแต่ละที่ก็สรุปผลการตรวจรักษาว่า อาการของเขาเป็นเพราะกล้ามเนื้ออักเสบ อันเป็นอาการปกติของเด็กวัยรุ่น ที่ชอบเล่นกีฬา และรับการรักษาโดยการทานยา ฉีดยา และนวดกล้ามเนื้อ ทั้งๆ ที่ นรุตม์ มีก้อนเนื้อเล็กๆ ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นบริเวณกระดูกสะโพกข้างซ้าย แต่กลับไม่มีใครเฉลียวใจ


ซึ่งวันหนึ่งอาการเขาก็แสดงออกมา โดยหลังจากที่เขากลับจากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขารู้สึกปวดขามากๆ ปวดจนทนไม่ไหว ต้องให้พี่สาวพาไปตรวจที่โรงพยาบาลทันที และจากการตรวจขั้นต้นแพทย์วินิจฉัยโรคได้แล้ว แต่ขอทำ MRI (เครื่องตรวจร่างกายโดยการสร้างภาพเหมือนจริง ของส่วนต่างๆของร่างกาย โดยใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูง และคลื่นความถี่ในย่านความถี่วิทยุ สามารถตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้) และตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้องอกที่สะโพกไปตรวจ เพื่อความมั่นใจอีกครั้ง คืนนั้นแพทย์ให้ นรุตม์ กลับบ้าน และนัดฟังผลในวันรุ่งขึ้น 

ผลจากการทำ MRI และตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้องอกที่สะโพก สรุปออกมาว่า นรุตม์ เป็น "มะเร็งกระดูก" และคำพูดคำแรกที่ นรุตม์ ได้ยินจากปากพี่ชาย คือ "ทำไม...ถึงให้เราดีใจแค่วันเดียว..." เพราะครอบครัวต่างดีอกดีใจกับข่าวดีของ นรุตม์ ที่สามารถเอ็นทรานซ์ติดเมื่อวานนี้เอง ข่าวที่โหดร้ายที่สุดสำหรับครอบครัวกำลังมีความสุขและความหวัง วันนั้นพ่อของนรุตม์ปฏิเสธการแจ้งข่าวร้ายแก่ นรุตม์ โดยพ่อยืนยันหนักแน่นว่า "ตราบที่ยังมีลมหายใจ...ชีวิตต้องมีความหวัง" ฉะนั้น จงอย่าพูดอะไรที่ตัดทอนความหวังของนรุตม์ แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็รับรู้ว่าตัวเองกำลังต้องพบเจอกับอะไร


 และผลที่ตามมาต่อจากนี้คือ ความยุ่งยากที่ต้องวิ่งวุ่น ตั้งแต่เรื่องการรักษาพยาบาล เพราะลำพังครอบครัวชนชั้นกลางของ นรุตม์ คงไม่มีหนทางหาเงินมารักษาโรคร้ายในโรงพยาบาลเอกชนได้ยาวนานนัก เพราะเพียงแค่ 5 วันในขั้นตอนของการวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกว่า 7 หมื่นบาท เรื่องการวิ่งเต้นหาทางย้ายเข้าโรงพยาบาลรัฐบาลขนาดใหญ่ เพื่อใช้สิทธิการประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะ นรุตม์ มีชื่อตามสิทธิอยู่ที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี และเรื่องการรักษาสิทธิการเรียนในคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เพราะผลการสอบที่ออกมาเป็นเพียงขั้นตอนการสอบข้อเขียน นรุตม์ ต้องไปรายงานตัวเพื่อสอบสัมภาษณ์ และตรวจสุขภาพ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้


ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ทราบผลจนถึงวันนี้ นรุตม์ต้องต่อสู้กับอาการเจ็บปวดที่ขามากๆ เขาต้องเข้ารับการบำบัดอาการปวดด้วยยาในกลุ่มมอร์ฟีนมาโดยตลอด ขั้นตอนการรักษาตั้งแต่การให้เคมีบำบัด 6 คอร์ส และฉายแสง 31 ครั้ง แต่ก็ไม่อาจทำให้ก้อนเนื้อเล็กลง กลับทำให้มันโตขึ้นมาก และเริ่มลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ทำให้แผนการผ่าตัดเอากระดูกเชิงกรานออกต้องถูกยกเลิกออกไป และที่น่าตกใจคือ แพทย์ระบุว่า นรุตม์ อาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน ทำให้สิ่งที่ทุกคนในครอบครัวหวังขณะนี้คือ การบรรเทาความเจ็บปวดให้ นรุตม์ กำลังใจ และปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่

        เพราะตลอดระยะเวลาที่ นรุตม์ เข้ารับการรักษา พ่อของเขาได้แต่มองดูอาการเจ็บปวดของลูกชายด้วยหัวใจที่เศร้าสร้อย...และนี่คือข้อความที่ถ่ายทอดความรู้สึกจากใจของหัวอกคนเป็นพ่อ พ่อที่ต้องเจ็บปวดกับอาการป่วยของลูกชายวัยรุ่นที่กำลังมีอนาคตสดใส พ่อที่ร้องไห้กับฟ้าดินว่า..ทำไมจึงให้เราดีใจแค่วันเดียว


 และนี่คือจดหมายของพ่อที่ได้บรรยายความรักของพ่อที่มีต่อนรุตม์ 

...พ่อครับ รุตม์ปวด
         ...พ่อครับ รุตม์ทนไม่ไหวแล้ว
         ...พ่อครับ รุตม์กลัว

         เป็นเสียงร้องของนรุตม์ยามปวด ซึ่งเป็นเสียงที่ทรมานใจพ่อมาก
         อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์นรุตม์ปวดมาก ทรมานมาก
         พ่อจะช่วยลูกได้อย่างไร จะทำยังไง พ่อช่วยอะไรลูกไม่ได้เลย

         มันเป็นความเจ็บปวดทรมานใจมาก
         ที่ไม่สามารถช่วย หรือทำอะไรได้เลย
         พ่อร้องไห้ทุกวัน แต่ไม่เคยให้ลูกได้เห็นน้ำตาพ่อ

         พ่อได้แต่ปลอบและให้กำลังใจแก่นรุตม์
         ทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไร เป็นยังไงเกี่ยวกับตัวโรคที่นรุตม์เป็นอยู่
         แต่ละวันที่ผ่านไปหัวใจของพ่อที่เคยพองโต
         ด้วยความรักของพ่อที่มีต่อลูก มันเหลือเพียงนิดเดียว
         พ่อรอวันที่มันจะกลับมาเหมือนเดิม

         จากพ่อที่รักลูกสุดชีวิต

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ นรุตม์ ถูกถ่ายทอดลงในบล็อกส่วนตัวของเขา ของเพื่อนๆ พี่ๆ จนกลายเป็นเรื่องเล่าปากต่อปาก ทำให้ตลอดเวลาที่ นรุตม์ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จะมีผู้คนรอบข้างทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก นอกเหนือไปจากครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ พี่ๆ เดินทางมาเยี่ยมเยือนถามไถ่อาการของเขาเสมอๆ หรือแม้แต่จากเพื่อนของญาติ พ่อแม่ของเพื่อน จากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน หลายคนแวะเวียนมาทักทาย มาคอยพูดคุยให้กำลังใจ จนกลายเป็นความสนิทสนม ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน 


แต่จู่ๆ วันหนึ่งรายการเจาะใจ ก็ได้พา "เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์" ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของ นรุตม์ พร้อมทีมงานรายการเจาะใจมาเซอร์ไพรส์ที่โรงพยาบาล เพื่อให้กำลังใจ นรุตม์ พร้อมกันนี้ เคน ยังได้มอบไม้ตีกลองให้แก่ นรุตม์ เป็นของขวัญ และบอกกับนรุตม์ว่า "ขอให้นรุตม์รีบหาย แล้วมาตีกลองให้พี่เคนฟังอีก" เพราะ เคน สืบทราบมาว่า นรุตม์ ชอบตีกลองมาตั้งแต่เด็ก ทำให้วันนั้นมีรอยยิ้มปรากฎอยู่บนใบหน้าของ นรุตม์ ตลอดเวลา


เพียงแค่กำลังใจเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต่างมอบให้ ก็สามารถยื้อชีวิตที่กำลังมีอนาคตที่สดใส ให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เพื่อทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จ และมีแรงต่อสู้กับโรคร้าย ... ติดตามและเป็นกำลังใจให้กับ "นรุตม์ มงคลศิริภัทรา" ในรายการ เจาะใจ วันที่พฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายนนี้ เวลา 22.10 น. ทางช่อง 5 

....ชีวิตคนเราก็เท่านี้เอง....

ที่มา : forward mail จ้า				
5 พฤศจิกายน 2551 16:42 น.

เรื่องเลนส์...ที่ไม่ใช่เล่นๆหุหุ

เจน_จัดให้

ตอนนี้เจนซื้อกล้องD-SLR ตัวใหม่มาและกะลังว่าจะซื้อเลนส์อ่ะจ้าเลยนั่งหาข้อมูลอันนี้น่าสนใจเลยเอามาโพสเผื่อใครที่เล่นเหมือนกันจะได้เอาไปใช้ตัดสินใจได้....

ปล.มีใครที่เล่นกล้องและชอบถ่ายรูปมั่งจ๊ะ วันหลังนัดกันไปถ่ายรูปดีเป่า หุหุอยากได้นางแบบนายแบบง่ะ กะลังหัดถ่ายPROTRAIT อ่ะจ้า หุหุและหากเพื่อนท่านใดมีประสบการณ์ใช้เลนส์ตัวไหนอยู่ก้อมาแชร์กันได้น๊ะ  ต้องการข้อมูลมากๆๆอ่ะจ้า

แนะนำเลนส์ถ่ายพร๊อตเทรทให้หน่อยซิ?...
ก็พอดีโดนถามมาอย่างนี้ 

เลยหาข้อมูลจากในเนตไปตอบเค้า

เลยได้ข้อมูลมาเผื่อเหลือเผื่อขาดเพื่อนๆ ด้วยน่ะคร๊าบ

ความต้องการเท่าที่ดูมาต้องการออกแนวสีหวานๆ เนียนๆ ก็ต้องใช้เลนส์ของยี่ห้อกล้องแล้วล่ะครับ 
เลนส์ที่นิยมใช้ถ่าย portrait ของแคนนอนเองก็จะมีแบ่งเป็น 
เลนส์ฟิกซ์ 
50/1.8 ราคา 3900 คุณภาพดีเกินราคา แต่ถ้าอยากให้ฉากหลังละลายต้องเลือกฉากหลังนิดนึง 
50/1.4 USM ราคา15500 คุณภาพเยี่ยมสมราคา ความคมเหนือตัว 1.8 พอสมควร แต่ต้องเลือกฉากหลังเหมือนกัน แต่โฟกัสเร็วกว่าและ Shift Focus ได้ 
85/1.8 USM ราคา 15000 คุณภาพเกิดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่ต้องมีพื้นที่ยืนมากหน่อยเวลาถ่ายครึ่งตัวหรือเต็มตัว 
85/1.2L USM ราคา 89000 ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคุณภาพตัวนี้ไม่มีใครสู้ได้ 
100/2 USM ราคา 17800 คุณภาพยอดเยี่ยมแต่ต้องถอยห่างแบบมากทีเดียวถ้าจะถ่ายเต็มตัว 
135/2.8 Soft Focus ราคา 18200 คุณภาพยอดเยี่ยม Soft ได้สวยมากจัดว่าเป็ฯเลนส์ยอดนิยมของช่างภาพยุดฟิลม์ 
135/2L USM ราคา 35000 คุณภาพเยี่ยมคมจัดสีหวาน เนียนนุ่มเป็นรองแค่ 85/1.2 เท่านั้นแต่ถ้าจะถ่ายครึ่งตัวต้องถอยห่างซักสิบเมตร 

เลนส์ซูม 
24-85/3.5-4.5 USM ราคา 13000 คุณภาพพอใช้ได้ในเรื่องความคม สีหวานสวย แต่ฉากหลังจะเบลอไม่ค่อยสวยต้องเลือกฉากหลังหน่อย แต่โฟกัสเร็วและแม่นยำ 
28-70/3.5-4.5 II ราคาประมาณ 4-6000 หาได้แต่มือสองความคมเหนือ24-85เล็กน้อย สีสวยหวานพอๆกัน แต่โฟกัสช้าและมีเสียงดัง 
24-70/2.8L USM ราคา 48000 คุณภาพไว้วางใจได้ สีสวยหวานฉากหลังนุ่มเบลอสวยงามโฟกัสเร็วใช้งานสะดวก 
70-200/4L USM ราคา 29000 คุณภาพสมคำล่ำลือ สีหวานสวยเนียนแน่นอน หลังเบลอกระจาย ถอยห่างจนเกือบต้องตะโกนคุยกัน 
70-200/2.8L USM ราคา 47000 ความคมเหนือกว่า 4L เพียงเล็กน้อย สีสันพอกันแต่ที่ 2.8 โฟกัสตาหูอาจจะเบลอได้ 

มาที่บทสรุปดีกว่า 
ถ้าเพื่อการลงทุนที่คุ้มค่าแล้ว ถ้าเป็นการถ่ายที่มีเวลาเตรียมตัวมาก พื้นที่ในการถ่ายไม่บังคับ EF50/1.8 II เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดใช้งานได้ตั้งแต่การถ่ายหมู่ 2-3คน ไปจนถึงถ่ายครึ่งตัว แต่ถ้าเป็น EF85/1.8 USM จะได้โฟกัสที่รวดเร็วแม่นยำ ให้ระยะหวังผลได้ดีกับการถ่ายครึ่งตัว และ โคลสอัพเต็มหน้า 

แต่ถ้าเป็นการถ่ายภาพที่พื้นที่ค่อนข้างจำกัด มีเวลาเตรียมตัวน้อย EF24-85/3.5-4.5 USM เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสะดวกที่สุดในการใช้งาน แต่ความคมจะเป็นรอง เลนส์ฟิกซ์อยู่ในระดับนึง และต้องระวังช่วง 24-30 ถ่ายใช้ถ่ายกลุ่มหลายๆ คน คนที่อยู่บริเวณขอบภาพจะดูแปลกๆ เล็กน้อย เนื่องจากความบิดเบือนของภาพ 

ขอให้ลองดูแนวทางการถ่ายภาพของตนเองว่าส่วนมากจะเป็นแบบไหน แล้วเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการครับ จะได้ไม่ลำบากมากนัก 

คราวนี้ลองมามองเลนส์ค่ายอื่นที่ราคาไม่แพง ที่ไม่ช่ายของกล้องบ้างน่ะครับ 

Tamron 70-300F4-5.6 LD Macro ตัวนี้เป็น Tele Zoom ยอดฮิตเพราะราคาถูกแล้วให้คุณภาพเกินราคา ให้สีดี คอนทราสระดับกลางๆ ไม่สูงมาก ความนุ่มนวลของสีผิวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเกินตัวพอสมควร แต่ความคมนั้นโดยเฉพาะที่ 200 - 300 ภาพจะไม่ค่อยคมเท่าไหร่ การโฟกัสถือว่าค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ขอดีอีกอย่างถ่าย Macro ได้ด้วย 

Sigma 70-300mm F4-5.6 II APO MACRO SUPER ตัวนี้เป็น Tele Zoom ยอดฮิตอีก 1 ตัวที่ให้คุณภาพมากอีก 1 ตัว ให้สีดี คอนทราสสูง ความนุ่มนวลของสีผิวอยู่ในเกณฑ์ดี ความคมช่วง 200-300 อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โฟกัสเร็ว ตัวชิ้นงานของเลนส์วัสดุดีกว่า Tamron น้ำหนักเบา ขนาดไม่ใหญ่มาก ถ่าย Macro ได้ 

Tokina 28-70F2.8 ProSV ตัวนี้เป็น Normal Zoom F2.8 ราคาประหยัดให้สีสวย แต่ไม่สด ความอิ่มตัวของสีไม่สูงมาก คอนทราสกลางๆ ความนุ่มนวลของสีผิวอยู่ในระดับกลางๆ ที่ F2.8 ไม่ค่อยคมเท่าไหร่ ต้องประมาณ F4 ขึ้นไปถึงจะคม เลนส์ตัวนี้แพ้แสง Flare ง่าย การโฟกัสความเร็วอยู่ในระดับกลาง 

Tamron 28-75F2.8 ตัวนี้เป็น Normal Zoom F2.8 ยอดฮิต ราคากลางๆ คุณภาพสูงให้สีสวย ใส ความอิ่มตัวของสีอยู่ระดับกลางๆ คอนทราสกลางๆความนุ่มนวลของสีผิวอยู่ในระดับดี F2.8 คมพอสมควร ถ้า F3.2 จะดีกว่า ตัวนี้แพ้แสงเหมือนกันแต่น้อยกว่า Tokina โฟกัสเร็ว เบา ถ่าย Macro ได้ใกล้มากๆๆ เลนส์ตัวนี้ให้คุณภาพเกือบเทียบเท่ากับเลนส์ L ในราคาที่ถูกกว่ากันถึง 4 เท่า 

เสริมอีกนิด 

EF-S 18-55 เลนส์แถม ของดีที่โลกลืม 55555+ 
เป็นเลนส์ที่อยู่ช่วงเหมาะกับ Digital ให้สีสวย ความคมอยู่ในระดับกลาง น้ำหนักเบามาก ทนไม้ทนมือ การไล่โทนของสีผิวทำได้ดี โฟกัสความเร็วอยู่ในระดับกลาง ถือว่าเป็นเลนส์ที่คุ้มค่ามากตัวหนึ่งทีเดียว 

ที่มา : http://teletuppy.multiply.com/journal/item/6?&item_id=6&view:replies=reverse				
Calendar
Lovings  เจน_จัดให้ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจน_จัดให้
Lovings  เจน_จัดให้ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจน_จัดให้
Lovings  เจน_จัดให้ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเจน_จัดให้