29 เมษายน 2553 13:23 น.
เจน_จัดให้
แม่พระวนศาสตร์ ป้าเล็ก เจือจานอาหารนิสิตขัดสน (ไทยโพสต์)
"ใครไม่มีเงินซื้อข้าว มากินฟรี" อุดมการณ์ประจำร้านข้าวแกงใจบุญในรั้วคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรฯ แม่ค้าใจดีเผยให้ทุนอาหารแก่นิสิตยากจน โดยไม่หวังผลตอบแทน ทำมานานกว่า 30 ปีแล้ว
มีเรื่องราวน่าประทับใจเกิดขึ้นภายในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) บางเขน ท่ามกลางสังคมที่ผู้คนแห้งแล้งน้ำใจลงทุกวัน หากในมุมหนึ่งของสังคมไทยยังมีแม่ค้าข้าวแกงที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อนิสิตนักศึกษา โดยในแต่ละปีการศึกษาแม่ค้ารายนี้จะรับอุปการะผู้เรียนที่มีฐานะยากจนหลายคน ได้กินอาหารฟรีไปจนกว่าจะสำเร็จการศึกษา และยินดีที่เป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ
แม่ค้าใจบุญคนนี้มีชื่อว่า นางศรีสอาด หนูใจคง หรือป้าเล็ก วัย 73 ปี เจ้าของร้าน "กาสะลอง" โรงอาหารคณะวนศาสตร์ มก. เล่าให้ฟังว่า เริ่มเข้ามาขายข้าวแกงที่คณะวนศาสตร์เมื่อ 40 ปีก่อน เพราะสามีเป็นข้าราชการอยู่ที่นี่ โดยตั้งเต็นท์ขายข้าวแกงเพียงร้านเดียว ช่วงนั้นนิสิตมีจำนวนน้อยและเป็นผู้ชายทั้งหมด ซึ่งต้องไปฝึกภาคปฏิบัติในป่า ตนต้องเดินทางไปทำอาหารให้พวกเขากินในป่าด้วย ทำให้รับรู้ถึงสภาพชีวิตและฐานะความเป็นอยู่ของเด็กแต่ละคน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราเป็นเหมือนโรงครัวของนิสิตนักศึกษา หากคนใดไม่มีเงินซื้อข้าว ก็จะให้กินฟรี บางคนไม่กล้าบอกว่ายากจน ก็จะมีรุ่นพี่พามาหาเราเช่นกัน
"เด็กหลายคนไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ก็ยังเกรงใจป้า ไม่กล้าเข้ามากิน ป้าก็เลยไปคุยกับอาจารย์ให้คัดเลือกเด็กที่ยากจนและมีความประพฤติดี เข้ามารับทุนอาหารฟรีตลอดจนจบปริญญาตรี รุ่นละ 15 คน แต่ที่จริงก็มีจำนวนมากกว่านั้น เด็กบางคนไม่อยากบอกอาจารย์ แต่มากินข้าวฟรีเป็นบางมื้อก็มี หลายคนยังมาช่วยป้าขายข้าว ตักข้าว ตักน้ำให้ลูกค้า โดยที่ป้าไม่ได้บอกให้ช่วย เพราะสิ่งที่เราทำนั้นไม่ได้หวังผลตอบแทน หากแต่เป็นความอิ่มอกอิ่มใจส่วนตัวที่ได้เห็นเด็กอิ่มท้องก็มีความสุขแล้ว" ป้าเล็กเผย
ป้าเล็กบอกอีกว่า ให้ทุนอาหารแก่นิสิตวนศาสตร์มานานกว่า 30 ปีแล้ว แต่ไม่เคยนับปริมาณคนว่ามีเท่าไหร่ คนที่เรียนจบแล้วก็ออกไปทำงานตามวิชาความรู้ และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีทั้งอาจารย์และข้าราชการในกรมป่าไม้ หากพวกเขามีเวลาว่างก็จะกลับมากินข้าวที่ร้านป้า และช่วยเหลือกันบ้างพอสมควร วันรับปริญญาของทุกปีก็จะมีบัณฑิตชักชวนป้าไปถ่ายรูปฉลองความสำเร็จอย่างเป็นกันเอง ทั้งนี้ ลูก ๆ ของป้าก็สนับสนุนในสิ่งที่เราทำและเป็นแบบอย่างของครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องการให้โดยไม่คิดถึงผลตอบแทน และไม่คิดเรื่องขาดทุนแต่อย่างใด
สำหรับกิจวัตรประจำวัน ป้าเล็กตื่นนอนเวลา 01.00 น. แล้วไปจ่ายตลาด และมาถึงร้านประมาณ 03.00 น. เพื่อเตรียมทำกับข้าววันละประมาณกว่า 10 อย่าง เปิดร้านตอน 07.00 น. ขายจนถึง 13.00 น. ก็ปิดร้านและเก็บกวาดร้านให้สะอาดเรียบร้อย ก่อนจะกลับบ้านและเข้านอนราว 22.00 น.
"ทุกวันนี้ไม่เคยรู้สึกเหนื่อย แม้จะมีอายุมาก แต่ป้าก็ไม่มีโรคประจำตัว เพราะสบายใจและภูมิใจในสิ่งที่ทำ วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่เคยหยุดเลย ปิดร้านเฉพาะวันหยุดนักขัตฤกษ์ ขณะนี้เป็นช่วงปิดเทอม เด็ก ๆ ไปออกภาคสนามในต่างจังหวัด ป้าก็ยังทำน้ำพริกเผาขวดใหญ่ๆ ให้ไปกินด้วย มีคนถามว่าป้ารวยหรือเปล่าที่ทำแบบนี้ได้ ป้าบอกเลยว่าไม่รวย แต่มีความตั้งใจกับสองมือที่อยากจะเป็นผู้ให้เป็นสมบัติส่วนตัว" ป้าเล็กกล่าว
ด้านอาจารย์ปิยวัฒน์ ดิลกสัมพันธ์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มก. กล่าวว่า สมัยที่เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 ก็เคยมากินข้าวฟรีที่ร้านป้าเล็ก และมีความรู้สึกผูกพันกันมาก เพราะป้าเล็กมีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับผู้อื่น แม้สังคมทุกวันนี้จะเห็นแก่ตัวมากขึ้น มักคิดถึงตัวเองก่อนผู้อื่น แต่ป้าเล็กกลับคิดถึงสังคมส่วนรวม ตนคิดว่าการเป็นผู้ให้ของป้าเล็กทำให้สังคมเราน่าอยู่มากขึ้น
18 มีนาคม 2553 19:35 น.
เจน_จัดให้
ไม่รู้ว่าคุณใส่เสื้อสีอะไร แต่รู้ว่าคุณคือคนไทย
เรืองนี้ ตอนแรกๆๆ ก็คิดว่าเป็นเหมือนๆๆเมลล์แกล้ง พูดถึงพระราขดำรัสต่างๆ ของในหลวง ของปวงชนชาวไทย
แต่พอทราบมา ว่า จริง ตามที่เมลล์แจ้งมา
ตอนที่ ในหลวงทรงประชวน ที่ รพ.ศีริราช ในหลวงเรียกพระที่ในหลวงนับถือและเลื่อมใส เข้าไปพบ และตรัสกับพระองค์นั้น
ว่าทุกวันนี้ ท่านทรงท้อ ท่านตรัสว่า ทุกวันนี้ท่านพูดอะไร ตรัสอะไร ไม่มีใครฟังท่านเลย ในหลวงร้องให้ และท้อใจกับเหตุการณ์ทุกวันนี้
และวันนี้ มีโอกาส ใด้รับเมลล์ โดยการ ฟอเวิด จาก... จำชื่อไม่ได้นะ แต่รู้ว่าเป็นกรมตำรวจ ระดับสูงเลยอะนะ ในเมลล์กล่าวว่า
ในหลวงทรงท้อ และ ทรงตรัสเสมอ ว่า ระบบราชาธิปไตย คงจบลงที่รัชการที่ 9 คือรัชการของพระองค์เอง
ระบบราชาธิปไตย ปกครองชาติไทยมาแล้ว 600 ปี แต่น่าใจหายที่จะสิ้นลงที่ รัชกาลของพระองค์
เพราะคนไทย ลืมหน้าที่ของตัวเอง ลืมหน้าที่ที่ต้องทำในฐานะของประชาชนคนไทย
ปล่อยให้อำนาจเงิน และ ข่าวที่ผิดๆ มาชักจูง โดยอาศัยความเชื่อส่วนตนเป็นตัวตัดสิน
ต่อมาคุยเรื่อง อดีตนายกบ้าง ที่ไปด่าชาติบ้านเกิด ด่าในหลวง ลบหลู่ระบอบพระมหากษัตริย์ ว่าถ่วงความเจริญของบ้านเมือง ผ่านทาง CNN
แม้ถ้อยคำที่พูดจะไม่ได้สื่อออกมาตรงตรง แต่ก็หมายความถึงเช่นนั้น วันนึงข้างหน้า ชาติไทย จะไม่แค่รับศึกนอกบ้าน อย่างพม่า ที่มีคนหนุนหลังแบบทักษิณ
ที่พลาดท่าเสียทีฮุนเซ็นเข้าแล้ว ถ้าวันนึงชาติไทยต้องทำสงครามหรือกระทบกับพม่า สหประชาชาติต้องออกมาแสดงบทบาท
แล้วถ้าฮุนเซ็นบอกกับสหประชาชาติ เกี่ยวกับข้อมูลหรือแผนการที่ไทยทำ ว่าคนที่ให้ข้อมูล คือทักษิณอดีตนายกของเราเอง คนที่ปกครองบริหารประเทศ
คิดว่าสหประชาชาติจะเชื่อใคร เมื่อพม่ามีอดีตนายกเป็นคนให้ข้อมูลและสามารถเอาข้อมูลจากบ้านเราไปให้เขาได้อย่างง่ายดาย เพราะมีเครือข่ายมากมายในประเทศเรา ต่อมายังต้องเจอกับการแบ่งชนชั้นแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายที่จะ รุนแรงขึ้น เรื่อยๆ จากผู้เสียผลประโยชน์ทั้งหลายที่ผลักดันให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา
แผนการของประชาธิปัตย์ คือ ดึงเกมส์ให้นานที่สุดด้วยความคิดที่ว่าวันนึงเมื่อเงินหมดทรัยพ์สินหมดเขาจะหยุดและหมดทางเอง
ที่มา บทความของสุทธิชัย หยุ่น จากเดอะเนชั่น
--------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะพี่ที่รัก
ขอบคุณที่พี่ ส่งเมลล์มาให้ subject said that เขาบอกใครไม่ส่งต่อไม่ใช่คนไทย น้องเลยส่งใหญ่เลย
น้องขอบอกว่า เหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็น แบบนี้ ไม่เคยมีมาก่อนในรอบก่อน 7 ปีที่ผ่านมา
Concerned to the subject:
ในหลวงท่านแปรพระราชฐานไปทางใต้บ่อยมาก ท่านทรงใช้เวลากว่า 10 ปีที่ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายประสานให้เกิดความรักสามัคคี จนมีพระที่นั่งทักษิณราชณิเวศน์ สมัยนั้น พี่น้องไทยพุทธมุสลิมอยู่ร่วมกันไม่มีแบ่งแยก แล้วใครล่ะที่ตัดเรื่อง อบต ออกไป จำเรื่องกรือเซะ ตากใบได้ไหม เด็กหนุ่มลูกหลานมุสลิมที่ตายในรถตู้ขากรรไกรหัก กระดูกซี่โครงหัก กระโหลกศรีษะยุบ เพราะถูกทุบด้วยของแข็ง แขน ขา หัก คอหมุนกลับรอบได้ แต่รัฐบาลว่าพวกเขาขาดอากาศหายใจตายเพราะอัดกันมาในรถตู้ ร่างกายอ่อนเพลียช่วง เดือนถือศีลอด แล้วเรื่องการยิงเข้าไปฆ่าหมู่ในมัสยิด เรื่องการฆ่าตัดตอน
รู้ไหม ใครที่เปลี่ยนคำว่า "ข้าราชการ" เป็น "เจ้าหน้าที่รัฐ" ใครที่ทำผิดแล้วไม่เคยรับผิด ใครที่เอาคำว่า "ประชาชนของข้าพเจ้า" จากที่พระองค์ทรงเคยตรัสว่า "ที่ๆข้าพเจ้าอยู่แล้วมีความสุข คือการได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า" มาเลียนเป็น "ประชาชนของผม" มันช่างสามหาวนัก !
คุณ พลากร สุวรรณรัฐ เคยเป็นตำแหน่งใหญ่ๆในเชียงใหม่สมัยหนึ่ง ทักษิณไปขอให้เขาทำเรื่องไม่ธรรมดา โกงชาติ จึงถูกปฏิเสธไป ทักษิณแค้นมาก พอสมัยต่อมา คุณพลากรย้ายไปดูแล อบต ทางใต้ จดหมายร้องเรียนจากคุณพลากร ถึงนายกทักษิณไม่เคยได้รับงบประมาณหรือการพิจารณาดูดำดูแดงแม้แต่น้อย จนมีการยกเลิกระบบ อบต ทิ้งไป และให้ผู้ว่ารายงานตรงต่อ นายก และเขี่ยคุณพลากรออกไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งคุณพลากรขึ้นเป็น องคมนตรีในวันรุ่งขึ้น ทันที
ประเพณีแต่โบราณมา พระพุทธรูป มีแต่แบบ สุโขทัย อยุธยา หรือ รัตนโกสินทร์ แต่บางคนกล้าปั้นพระพุทธรูปหน้า 4เหลี่ยม และ ตั้งชื่อว่า พระชินวัตรมุณี (พี่กราบลงไหม ถามหน่อย)
ประเทศของเราได้รับการดูแลจากพ่อหลวง ท่านเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เองทุกพื้นที่ คนที่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ เรื่องระบบชลประทานดีที่สุดในประเทศ คือพระองค์ท่าน ท่านสอนให้เกษตรกร ทำนา ปลูกข้าว ทำการเกษตรแบบยั่งยืน ไม่ใช่การสร้างภาพ ทำทัวร์นกขมิ้น แล้วเอาเงินภาษีประชาชน ไปแจกเป็นแบงก์ 1000 และทำเป็นเงินของตัว ทำได้แบบจูบแผ่นดิน สนามบินสุวรรณภมิ ที่มันสูบโกงไปมากมาย ทั้งๆที่ ที่ตรงนี้ ในหลวงท่านทัดทานเรื่องการก่อสร้างตั้งแต 15 ปีที่แล้ว เพราะเป็นที่ลุ่มน้ำ
มันผู้ใดที่สร้างความแตกแยกในหมู่คนไทยพี่น้องไทยด้วยกันที่เคยรักกันเป็นหนึ่งเดียว ให้มี สีเหลือง สีแดง สีขาว ทำไมเราทะเลาะกันเพียงเพราะมีความเห็นต่าง หรือถูกยุ หรือรับเงินมาแล้วไป ตีเขาจนเลือดอาบ อีกสีต่างพวกกันทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่มีอาวุธ เกิดอะไรขึ้น ที่อุดร จำได้ไหม แล้วทำไมตำรวจจับใครไม่ได้ ทั้งหมดเป็นคนไทยด้วยกัน
ทำไมที่ศรีษะเกษปลดรูปในหลวงออก ??? !!!
ทำไมไทยเสียดินแดน
ทำไมจักรภพพูดจา จาบจ้วงแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น
ทำไมมีระเบิดกลางกรุง มีคนตาย แล้วตำรวจจับใครไม่ได้
ทำไมรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศแล้วไม่มีที่นั่งทำงาน (ลองไปนึกดูลึกๆนะ)
ทำไมพันธมิตร ออกชุมนุมกันตั้งนาน ประท้วงอดทนจริงๆ
ดูอะไร ต้องดูให้ถ่องแท้
มองปัญหา ต้องมองให้ถึงต้นตอ
พี่คิดดูเมื่อก่อนประเทศไทยเราเคยเป็นแบบนี้หรือพี่ สมัยเราเด็กๆเมืองไทยร่มเย็นออก
อย่ามาว่ากันว่าวันนี้ ทำอะไรกันอยู่ ทำไมวุ่นวายจัง รถติด หุ้นตก นี่มันปลายเหตู มองย้อนไปหน่อยเถิด ว่าระบบ ระบอบ อะไรกัน ทำให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้
ทุกคนชอบเงิน อันนี้เรื่องจริง แต่ต้องอยู่ในศีลธรรม ด้วย
อย่ามาว่ากันที่ปลายเหตู ไม่ใช่ปลายเหตุ
มีเรื่องอีกมากมายที่อีกหลายๆคน ยังไม่รู้ หรือ ไม่พยายามรู้ ดาวเองรู้น้อย แต่พอแยกออก ว่าอะไรดี อะไร ชั่ว บาปกรรม คืออะไร
จริง คนไม่รู้ความจริงเพราะสื่อถูกปิดกั้น ระเบิดลง คนตายแต่ตำรวจบนดาษฟ้า บชน ยืนกอดอกยิ้ม เพราะมันซื้อไปหมดทุกอย่าง มันซื้อคน ซื้อสื่อต่างๆ ถ้าสื่อไหนไม่ ไปตามแนวโน้มด้านมัน มันสั่งเปรี้ยะเดียว ห้ามบริษัทในเครือของมันทั้งหมดกว่า 200 บริษัท ลงโฆษณา แค่นี้ก็อยู่ไม่ได้แล้ว มันซื้อทุกตำแหน่งในกระทรวง ทะบวง กรมต่าง ให้อยู่ภายใต้คำสั่งมัน ผู้ว่าราชการจังหวัด ถูกเปลี่ยนเป็นคนของมันเสร็จแล้ว 38 จังหวัด มันซื้อ ฑูต รายนามการแต่งตั้งฑูตแต่ละประเทศ มันจัดการโยกย้ายเอง ฑูตท่านไหนที่ไม่ต้อนรับมัน มันแก้แค้น เปลี่ยนหมด เช่น ทูตไทยในอังกฤษ และ ญี่ปุ่น มันซื้อ ข้าราชการในข้าพระบาท ที่ดูแลในวังไปแล้วกว่าครึ่ง มันโอนเงินให้ทุกเดือนๆละ 500 000 บาท อย่างลูกคุณ ขวัญ... วัชโร... ที่คอยยกหูโทรศัพท์ รายงานความเคลื่อนไหวในวังให้มันรู้อยู่ทุกเช้า
ใครที่ว่าราชสำนักใช้เงินเยอะน่ะ ขอโทษ ไม่ได้โกงใครมาเหมือนบางคน ราชสกุล มหิดลนั้น ค้าขาย ประหยัด อดออม มาแต่รัชกาลก่อนๆ และมีที่ประชาน้อมเกล้าน้อมถวายด้วยรัก และศรัทธานะคะ
ไม่เหมือนบางคนที่สร้างระบบทุนสามานย์ ให้หลายๆคนที่ได้ประโยชน์ตอนขาขึ้นหลงคิดว่าดีจริงๆ
เมื่อวานมันไปให้ข่าวอะไรกับ Arabian news ?!!! มันอ้างถึงพระองค์ได้อย่างไร บังอาจนัก ทำไมมันไม่พูดถึงความผิดของมัน แล้วใครใช้ให้มันเดินทางหนีออกนอกประเทศ มันไปของมันเอง อีทีพอจะกลับ ดันทะลึ่งไปละลาบละล้วง ส่วนเรื่องมันว่าศาล กระบวนการยุติธรรมอีก ว่าเป็นยุติความเป็นธรรม
ระบอบการปกครอง มี อำนาจ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการใช่ไหม ถ้าบริหารก็ต้องทำให้ดี อยู่ในขอบของกฎหมาย นิติบัญญัติ ทีนี้ถ้ามีปัญหา ก็จะมี อำนาจท้ายสุด คือ ตุลาการมาตรวจสอบ ผ่านทางศาล แต่คนบางคนก็กลับว่าศาล และไม่เคยรับผิด ไม่เคยมี หิริโอตัปปะ
ดาวพิมพ์ภาษาไทยด้วยความยากลำบากและช้ามาก แต่กระทู้นี้ ที่พี่ ส่งต่อมา ว่า ในหลวงทรงร้องไห้ ใครไม่ส่งต่อคงไม่ใช่คนไทย
ดาว ในฐานะประชาชน ที่มีจิตสำนึกรักชาติยิ่งชีพ มั่นใจว่าอยู่ใน ศีลธรรมอันดี และ เถิดทูนระบบกษัตริย์ไว้เหนือเกล้า อยากให้พี่ๆ เพื่อนๆของพี่ใน เมลล์ฉบับนี้ได้โปรดเข้าใจสักนิดเถิดค่ะคุณพี่ ว่า ใครกันที่ ทำลาย ทุกอย่างลง ทุกอย่างที่พ่อของพวกเราใช้เวลา 60 ปี สร้างขึ้นมา ระบบ ระบอบ อะไร ทำไมท่านร้องไห้
มันทำลาย แม้กระทั่ง ศีธรรม จรรยา และ มันกำลังจะฆ่าเด็กที่ยังไม่มีแม้แต่โอกาสจะลืมตาดูโลก และแม้ว่าเด็กจะเป็นเลือดเนื้อ เชื้อ ไข ของมันเอง ก็ตาม
พี่ๆ โปรดช่วยกันดูแลพ่อหลวงของเราด้วย ถ้าพี่ๆ ทราบว่าท่านทรงกรรแสง เพราะอะไร และเราแบ่งแยกกันเพราะต้นเหตุจากใคร
จริง วันนี้เราทำอะไรกันอยู่ ? ? ?
Repeated:
ดูอะไร ต้องดูให้ถ่องแท้
มองปัญหา ต้องมองให้ถึงต้นตอ
หากผิดพลาดประการใด ก็ขอโทษด้วย แต่ดาวมั่นใจว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ด้วยสำนึกรัก ใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แบบที่พ่อแม่ สอนฉันมาตั้งแต่จำความได้
I wrote this mail with a good intention and I also love all my friends but if anyone feel annoyed about my message, I will not say any sorry laka.
LOVE
ดาว จังคศิริ
เมื่อวันที่ 8 มีนา ที่ผ่านมาผมได้ไปงานที่โรงเรียน
เหมือนเช่นทุกปีตอนกลับเดินมาตามตึกยาวเพื่อจะกลับมาทางประตูด้านเพาะช่าง ยังไม่ถึงบริเวณเศาลหลวงพ่อปู่ พบอาจาร์ยท่านหนึ่งนั่งอยู่
จำได้ว่าเป็นอาจารย์สุธี ท่านเกษียณไปแล้ว ไม่รู้คุณรู้จักรึเปล่า กราบอาจารย์ท่านแล้ว สังเกตุเห็นว่าอาจารย์ร้องไห้อยู่ ท่านบอก เพิ่งได้พบกับรุ่นพี่ที่มาในงาน รุ่นที่เท่าไหรก้อไม่ได้ถาม เป็นนายทหารราชองครักษ์ชั้นผู้ใหญ่ เค้าเล่าให้อาจารย์ฟังว่า
**** ในหลวงทรงร้องให้เห็นบ่อย ****
'ทรงเสียใจที่เมืองไทยจะสิ้นในรัชกาลของท่าน แล้วกระนั้นหรือ'
ผมอยากจะตอบอาจารย์ไปว่า คงไม่หรอก ถ้าคนไทย รู้จำคำว่าว่า'หน้าที่'มากกว่า'สิทธิ'
เราเคยชินกับการเป็น..ผู้รับ....จากคนคนหนึ่งที่เกิดมาเป็น..ผู้ให้...ให้มาตลอด เคยชินจนลืมไปว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วรึยังที่ เราควรจะผู้ให้แก่พระองค์ท่านบ้าง... ผมลาอาจารย์เรียบร้อยร้อย กลับไปตามตึกยาว ไปไหว้ พระผู้ให้กำเนิดโรงเรียน อธิฐาษขอให้พระองค์ท่านช่วยคุ้มครองให้หลานท่านทรงมีแต่ความสุข..ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง...เพียงแค่ไม่อยากได้ยินว่า
..ในหลวงทรงร้องไห้
ความสุขของพระมหากษัตริย์
หนึ่งปีที่ผ่านมา
เราใส่เสื้อเหลืองเราใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง
คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาทีวันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเราได้ แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์ จักรี และ พระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย
.....สิบสองปีที่ผ่านมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไปในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระราชชนนี
ไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือ ม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่ ยังจำกันได้ไหม?
...... 34 ปีที่ผ่านมา
วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516
เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด
วันนั้น นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้นตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า
' คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง '
คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า 'คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน'
และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า 'เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น?' ผมไม่ได้ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น 'SOUL OF THE NATION' หรือ'จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ' ยังจำกันได้ไหม?
แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่
เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด
เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส
เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ 'สิทธิ
' แต่ลืมคำว่า 'หน้าที่'
เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้
เราสร้าง 'กฎหมู่' ให้เหนือ 'กฎหมาย'
เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย
เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน
และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่
เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
จะทรงเสียพระทัยเพียงใด?
แล้วสิ่งที่เราทำไปในวันเฉลิมพระชนมพรรษาคืออะไร การที่เราใส่เสื้อเหลือง สายรัดข้อมือ ที่ว่า Long life The King เราทำเพื่ออะไร
มันเป็นแค่ผักชีโรยหน้าที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคุณรักพระมหากษัตริย์เพียงใดเท่านั้นนะเหรอ
80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์
พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ
ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้
ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ล้อม
ด้วยข้าราชบริพาร
หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ
เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน
รู้จักความ พอเพียง และมีสติ-เพียงเท่านี้เอง
แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?
หรือนี่คือการแสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของเรา
2 ธันวาคม 2552 14:17 น.
เจน_จัดให้
ช้อนยาวหนึ่งเมตร
มีชาวเดนมาร์คคนหนึ่งนอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน
........... มีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก
เขาก็ตกลงไปด้วย
นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่ง แล้วบอกว่า " ถึงนรกแล้ว "
ที่นั้นเป็นห้องใหญ่ ๆ มีโต๊ะยาวๆ
บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีตอร่อยมีคุณค่าทุกประเภท
............ มีคนนั่งอยู่หลายคนนางฟ้าก็บอกว่า "นี่สัตว์นรก"
คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก
แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร
........... นางฟ้าบอกว่าที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดี ๆได้
แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ
ต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรตักอาการกินเท่านั้น
เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข! ้าปากตัวเอง
คนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที
............ ........... ......... ..... อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด
เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก
.......... จึงผอมโซเพราะอดอาหาร
ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ
............ ... แต่ไม่สามารถเอาเข้ามาถึงในปากของตนเองได้
นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่งแล้ว บอกว่า " ถึงสวรรค์แล้ว "
............ ห้องที่สองนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ
มีโต๊ะอาหารยาว ๆ อาหารประณีตหลาย ๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรก
............ มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าบอกว่า
" นี่เทวดาบนสวรรค์" !
.............. . แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย
ดูว่าเขากินอาหาร อย่างไร ทั้งๆที่เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกับที่นรก
......." เอ...ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก ?
ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง แข็งแรง"
พอดูดี ๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์
............ คือคนข้างหนึ่งของโต๊ะ เขาตักอาหารด้วยช้อนยาว ๆ เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม
............ . คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้ ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย
สรุปว่า ที่นรกนั้น..... คนคิดแต่จะได้อย่างเดียว
คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง
............ .. คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ โดยไม่คิดถึงคนอื่น
แต่ที่สวรรค์นั้น..... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
............ ......... คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน ............ .......... ....
ตื่นขึ้นมาแต่ละวัน อย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม แต่จงถามให้มากว่า.....
จะให้อะไรกับสังคม ?? ?
ขอขอบคุณสาระดีดี จาก....ธรรมะดิลิเวอร์รี่...
จากฟอร์เวิร์ดเมลจ้า....
ความยืนยาวของชีวิตนี่มันก็เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้จริงๆ...เมื่อได้มีลม
หายใจอยู่คงต้องใช้ชีวิตกับความเป็นจริงให้มาก...ฝันได้บ้างแต่ยังงัย
ก็คงต้องอยู่กับความเป็นจริง สิ่งใดๆที่ทำ...ทำดี=ดี ทำชั่ว=ชั่ว .....ยิ้มและ
ร่าเริงในทุกๆวัน....จะทุกข์กันไปทำไมให้มากมาย จะอยากได้ อยากเป็น
อะไรกันให้มากมาย เพราะสุดท้าย ก็เท่านี้เท่านั้นเอง....
17 ตุลาคม 2552 20:49 น.
เจน_จัดให้
เมื่อต้นเดือนก่อน...เจนได้รับอีเมลฉบับนึง เป็นเมลโปรโมทหนังเรื่อง
หนึ่ง หลังจากได้อ่านแล้ววว ก็ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า
ยังงัยก็ต้องดูหนังเรื่องนี้ให้ได้นั้นคือ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ...
และแล้ววันนี้ที่รอคอยก็มาถึงหลังจากที่โหลด teaser หนังเรื่องนี้ดูเป็นรอบที่10 เห็นจะได้...และมันก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ....และที่สำคัญเป็นการนัด
ดูหนังที่มีเพื่อนมาดูด้วยกันมากที่สุด (จองตั๋วยกแถวเลยอ่ะจ้างานนี้)
ประทับใจมากมายยย
สำหรับหนังเรื่องนี้...นับว่ามีอะไรให้แปลกใจเยอะเหมือนกัน จากที่คิดว่า
เฮฮาปาร์ตี ไม่มีเสียน้ำตาอย่างแน่นอน ก็ดันมีคำพูดโดนๆให้แอบน้ำตา
ซึมซะได้ อาทิ
1. แฟนไม่ได้มีไว้อยู่ด้วยตลอดเวลา แต่มีไว้ให้รู้ว่ายังมีคนที่รักเราอยู่
2.ถึงแม้กล้องจะพัง แต่เมมโมรี่ยังอยู่
3.ถ้ามีแฟนแล้วต้องทำอะไรคนเดียว ไม่ได้เจอกัน แล้วจะมีไปทำไม
ฯลฯ อีกมากมาย...นอกจากนี้บางฉากยังถ่ายทอดถึงอารมณ์ของความเหงา
ออกมาได้อย่างกินใจ (ครั้งหนึ่งเราก็เคยเป็นแบบนี้เลยยย) แต่แม้จะ
ทำให้เศร้าบ้างแต่ก็กลายเป็นข้อคิดสะกิดใจในเรื่องของความรักด้วย
เช่นกัน มันมีมุมที่เป็นเหตุและผลไม่ใช่แค่อารมณ์เพียงอย่างเดียว
ในฉากเฮฮา ขำขัน ก็ทำได้ดี ฮากันได้แม้คนเส้นลึก...
(หัวเราะดังกว่าเราอีกกก) หุหุ
ในเรื่องนี้ถ้าสังเกตกันดีดี นอกจากตัวแสดงหลักอย่างพี่เคน ธีรเดช
คริส หอวังและ แพท อังศุมาลิน แล้วตัวประกอบเกือบทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนที่เราๆเคยคุ้นหน้าคุ้นตา ไม่ว่าจะพรีเซนต์เตอร์โฆษณา ดารานักแสดง
ยันผู้กำกับหนังกันเลยทีเดียว...สุดๆไปเลย
หุหุ วันนี้ก็เลยเป็นวันดีดีของเจนอีกเช่นเคยที่ได้ไปดูหนังสนุกๆ
พร้อมเพื่อนมากมาย ก็เลยแอบมายิ้มๆพิมพ์วิจารณ์เล็กน้อย
เผื่อเพื่อนๆบ้านกลอนจะไปดูหนังไทยดีดีเรื่องนี้...รับรองว่าคุ้มจ้า
ปล.ขออนุญาตเว็บมาสเตอร์ด้วยนะคะ หุหุ ขอใช้พื้นที่เล็กๆนี้
สนับสนุนหนังไทยดีดีอ่ะจ้า
2 ตุลาคม 2552 23:11 น.
เจน_จัดให้
ในหลวง คุณยายไข่ และไม้กวาดทางมะพร้าว
ณ โรงพยาบาลศิริราช ราว ๆ ใกล้เที่ยงของวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 ... ภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์สีชมพูกำลังเสด็จพระราชดำเนินกลับพระราชวังหลังจากที่ทรงฟื้นพระวรกายจากอาการประชวร คงจะเป็นภาพแห่งความทรงจำของชาวไทยทุกคน ประชาชนจำนวนมากที่มาชมพระบารมีของพระองค์ท่านที่โรงพยาบาลศิริราชต่างน้ำตานองหน้าด้วยความดีใจ เสียงตะโกนว่า "ทรงพระเจริญ" ดังกึกก้องโรงพยาบาล
ใครจะรู้บ้างว่า ขณะที่ทุกคนกำลังปลาบปลื้มใจอยู่นั้น ณ มุมเล็ก ๆ ตรงนั้น ยังมี คุณยายไข่ หม่อมสระ...หญิงแก่อายุ 77 ปี จากดินแดนที่ราบสูงกำลังซับน้ำตาแห่งความยินดีหลังจากที่คุณยายปักหลักเอาใจช่วยพระองค์ท่านอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 9 วัน
เรื่องราวเริ่มต้นจาก ณ บ้านโคกหมากเหลี่ยม ต.หนองคูขาด อ.บรบือ จ.มหาสารคาม คุณยายไข่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์แล้วได้ยินข่าวว่า ในหลวงทรงพระประชวร ด้วยความเป็นรักและเป็นห่วงในหลวง น้ำตาของคุณยายเริ่มกลั่นออกมาทันที
ที่หลังบ้านของคุณยายมีต้นมะพร้าวอยู่ 6 ต้น คุณยายได้ใช้ให้ลูกชายไปตัดทางมะพร้าวเพื่อนำมาเหลาเป็นไม้กวาด คุณยายได้เหลาทางมะพร้าวทีละก้าน ๆ เหลาไปน้ำตาไหลไป เพราะใจนึกถึงแต่ในหลวงตลอดเวลา จนในที่สุด คุณยายได้ไม้กวาดทางมะพร้าวเล็ก ๆ 4 ด้าม
คุณยายไข่เชื่อว่า เวลามีใครป่วย ถ้ามีญาติพี่น้องไปเยี่ยมเยียน ผู้ป่วยจะมีกำลังใจต่อสู้กับอาการป่วยไข้นั้นได้
คิดได้ดังนั้น คุณยายจึงเก็บเสื้อผ้าใส่ลังแล้วตัดสินใจเข้าไปกรุงเทพ เพื่อไปร่วมให้กำลังใจในหลวงพร้อมกับไม้กวาดทั้ง 4 ด้ามนั้นทันที
แม้ว่าลูกหลานจะทัดทานไม่ให้ออกเดินทางไปเมืองกรุง ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ เพราะคุณยายไข่ยังเจ็บหลังอยู่จนต้องใช้ผ้ารัดไว้ตลอดเวลา รวมไปถึงเวลาเดินไปที่ไหนคุณยายก็เดินลำบากต้องใช้ไม้เท้าเสมอ แต่ถึงอย่างไร คุณยายไข่ก็เดินทางโดยรถไฟจากมหาสารคามไปยังกรุงเทพแล้ว
หลังจากที่ไม่เคยมาเมืองฟ้าอมรแห่งนี้กว่า 30 ปีแล้ว ตีห้าของวันที่ 30 ตุลาคม รถไฟสายอีสานขบวนหนึ่งจอดที่ปลายทาง นั่นคือ สถานีรถไฟหัวลำโพง หญิงชราค่อย ๆ ลงมาจากรถ แล้วมองหาพาหนะที่จะพาตนเองไปยังโรงพยาบาลศิริราช
คุณยายไข่ตัดสินขึ้นรถตุ๊กตุ๊กด้วยราคารับจ้างที่ตกลงกันไว้ว่า 50 บาท สารถีของรถตุ๊กตุ๊กคันนี้ได้พูดคุยกับยายไข่ในระหว่างทางโดยสาร จนได้ทราบถึงความมุ่งหมายอันแรงกล้าของหญิงชราหัวใจแกร่งผู้นี้
เมื่อถึงโรงพยาบาลศิริราช คนขับรถตุ๊กตุ๊กกลับไม่คิดเงินกับคุณยายไข่สักบาท แถมยังช่วยยกสัมภาระส่วนตัวของคุณยายไปยังเต็นท์สำหรับคนมาเฝ้าในหลวง ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นคนอีสานเหมือนกัน และเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นก็คือ เขาทั้งสองมีความรักในคนคนเดียวกัน นั่น คือ "ในหลวง" นั่นเอง
คุณยายไข่จึงขอยึดพื้นที่เล็ก ๆ ภายในเต๊นท์ เพื่อเป็นรังนอนชั่วคราวเพื่อเอาใจช่วยจนกว่าในหลวงจะหายจากอาการประชวร
ไม่ใช่ว่าคุณยายมาอยู่ที่โรงพยาบาลโดยไม่ทำอะไรเลย เพราะในทุกเช้า คุณยายจะช่วยกวาดเศษใบไม้ใบหญ้าในบริเวณนั้น ตามแต่กำลังจะอำนวย ด้วยไม้กวาดทางมะพร้าวของยาย แล้วทั้งวัน กิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงถวายพระพรหรือสวดมนต์ ยายไข่จะเข้าร่วมด้วยเสมอ
หลายวันเข้า คนที่มาร่วมเอาใจช่วยในหลวงเริ่มคุ้นเคยกับคุณยายผู้นี้ แล้วมิตรภาพดี ๆ ก็เกิดขึ้น อย่างเช่น เวลามีแจกอาหาร ตำรวจจะหยิบอาหารมาให้คุณยายไข่เสมอ เพราะคุณยายเดินลำบาก บางคนรู้ว่าคุณยายโปรดปรานอาหารอีสาน ถึงกับกลับบ้านเพื่อไปทำอาหารอีสานมาให้ นอกจากนี้ หลายคนก่อนกลับบ้าน มักจะมาไหว้คุณยายก่อนเสมอ
และแล้ววันที่ 9 ของการอยู่ที่โรงพยาบาลของคุณยายไข่ คำอธิษฐานของคุณยายก็เป็นจริง ในหลวงมีพระวรกายที่แข็งแรงขึ้น จนสามารถกลับพระราชวังได้แล้ว
คุณยายไข่อธิษฐานว่า ถ้าในหลวงแข็งแรงดีแล้ว คุณยายจะนำไม้กวาดทั้ง 4 ด้ามไปทำบุญให้กับโรงพยาบาลศิริราช วัดมหาธาตุ (ท่าพระจันทร์) วัดพระแก้ว และวัดระฆัง โดยที่คุณยายจะช่วยกวาดเศษใบไม้ใบหญ้าในสถานที่แห่งนั้นด้วย
ในวันที่ในหลวงออกจากโรงพยาบาล ผู้เขียนได้พาคุณยายไข่ไปส่งที่วัดมหาธาตุ คุณยายตั้งใจจะอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งเพราะมีคนที่คุณยายรู้จักอยู่ที่วัดนี้ แล้วคุณยายจะค่อย ๆ เดินทางออกไปทำบุญทีละวัด ๆ เพื่อทำความดีถวายในหลวง
หวังว่าภาพของหญิงชราที่ค่อย ๆ กวาดเศษใบไม้ใบหญ้าคงจะกระตุ้นให้หลายคนอยากจะทำความดีในวันนี้ขึ้นมาบ้าง
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/42097
"เรา ก็รู้ พ่อต้องเหนื่อยสักเพียงไหน ต้องลำบากใจกาย ไม่เคยสิ้น. เพราะพ่อรู้ พ่อคือ พลัง แห่งแผ่นดิน ให้เรา พออยู่พอกิน กันต่อไป .หากจะหา ของ ขวัญ ให้พ่อ สักกล่อง เราทั้งผอง จะพร้อม กันได้ไหม. บวกกันเป็น ดินเดียว ให้พ่อ ได้สุขใจ ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป อย่างที่เป็นมา "