23 เมษายน 2546 12:08 น.
เจนนี่
**********************************************************************
***********************************************************************
************************************************************************
***************************************************************************
*************************************************************************************************************************************************************************
*********************************************************************
*************************************************************************************
**********************************************************************
******************************************************************************
***********************************************************************************
*********************************************************************************
**************************************************************************
**********************************************************************************
************************************************************************
**********************************************************************************************
******************************
************************************************************************************
**********************************************************************************
*********************************************************************
**********************************************************************************
****************************************************************************************
**********************************************
**************************************************************************
************************************************************************************
23 เมษายน 2546 12:04 น.
เจนนี่
เรื่องราวความรักของฉันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
รู้เพียงแต่ว่าในสมุดบันทึกประจำวันของฉัน
มีชื่อเขาตั้งแต่วันมอบตัวทีเดียว
คงเพราะความบังเอิญที่ทำให้เราสองคนมักจะได้ทำอะไรด้วยกันเสมอ
ได้เล่นละครด้วยกัน ได้นั่งคู่กันในห้องทดลองวิทยาศาสตร์
หรือแม้กระทั่งไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง
แต่เรากลับไม่ได้ใกล้ชิดกันเท่าที่ควร ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
จนวันหนึ่ง
"มีนอยากวาดรูปเหรอ เราสอนให้ก็ได้นะ"
นี่แหล่ะประโยคสำคัญที่ทำให้เราสองคนได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากขึ้น
เขารีบกระวีกระวาดไปหากระดาษกับดินสอมาวางไว้ตรงหน้าฉัน
ไม่รู้ว่าวิญญาณครูไปสิงอยู่กับชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เขาลากเส้นเป็นตัวอย่างแล้วให้ฉันลองทำตามไปช้าๆ
ลมที่พัดแรงทำให้ผมของฉันปลิวจนยุ่งไปหมด "ขอโทษนะ"
เขาพูดแล้วเอื้อมมือมาหยิบปอยผมของฉันที่ปลิว
เพื่อเหน็บหูของฉันไว้อย่างเดิม "ขอบคุณนะเฟิร์ส" ฉันพูดเขินๆ
ใบหน้ากลายเป็นสีแดงระเรื่อ เขายิ้มบางๆเหมือนกับจะบอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากทนนั่งดูฉันลากเส้นที่ดูไม่ได้เอาเสียเลยมาเป็นเวลานาน
เขาก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้ว ส่ายหน้าไปมาอย่างหดหู่
"แย่กว่าเราตอนฝึกวาดใหม่ๆซะอีก"
เขาทำท่าทางเหมือนครูที่กำลังดุนักเรียนอยู่ยังไงยังงั้น
"ก็คนมันไม่เก่งนี่นา" "ไม่ต้องสอนก็ได้นะ"
ฉันบ่นเบาๆแล้ววางดินสอลงแรงๆ "เอาเหอะฝึกต่อไปละกันฮะ "
"วาดรูปน่ะไม่ยากหรอกถ้ามีคนสอนดีๆอย่างเรา"
เขาบอกยิ้มๆ ฉันส่ายหน้ากับความหลงตัวเองของเขา
หลงตัวเองจริงๆนะนายเฟิร์สจอมเก๊ก
เราสนิทกันมากขึ้นทุกที
สนิทท่ามกลางเสียงแซวและวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อน
"ไม่เว้นแม้แต่ในคาบเรียนสวีทกันจังเลยคู่นี้"
เสียงเพื่อนๆที่ดังมาจากด้านหลังห้องทำให้ฉันต้องวางดินสอลงอายๆ
"เฮ้ย! เธออย่าแซวซิ" "เราไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นสักหน่อย"
เฟิร์สแก้ตัวให้ เพื่อนๆทำสีหน้าไม่เชื่อ
แต่พอเห็นหน้าตาเอาเรื่องของฉันก็เลยจำใจ
ต้องสงบปากสงบคำแล้วเดินหนีไปคุยกันที่ อื่นแทน "ช่างเขาเหอะ"
ฉันพูดเบาๆแล้วก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่อไป "มีนเรามีอะไรจะบอก"
เขาพูดท่าทางเขินๆ อารายเหรออออ" ฉันเงยหน้าขึ้นมอง
แล้วพูดลากเสียงยาว "เราชอบผู้หญิงคนหนึ่งนะ"
สีหน้าอายๆของเขาทำให้ฉันแอบหวังอยู่ลึกๆว่านี่
คงจะเป็นวิธีการบอกรักทางอ้อมของเขา แต่. "คนนั้นไง"
ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปที่เพื่อนร่วมสถาบันคนหนึ่งที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
ฉันหันไปยิ้มล้อ
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลยจนนิดเดียว
อาจจะเป็นเพราะว่าฉันไม่เคยหวังให้เขามารัก
แค่รู้สึกรักเขาอยู่ฝ่ายเดียวก็พอ เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น
ฉันวางดินสอลงโดยอัตโนมัติ "เรากลับแล้วนะ" ฉันบอกเบาๆ
"ขอบคุณสำหรับการสอนวาดรูปและทุกๆอย่างนะ"
"มีนพูดเหมือนสั่งลาเลย" เขาพูดติดตลก
"อย่างกับเราจะไม่ได้สอนมีนอีกอย่างนั้นแหละ"
"ใครจะไปรู้ล่ะ ชีวิตมันไม่แน่หรอกเฟิร์ส"
ฉันพูดทีเล่นทีจริง แล้วเดินไปปิดกระจก
และประตูห้องเรียน เขาเดินมาช่วยอีกแรงหนึ่ง
"วันเสาร์เจอกันที่เรียนพิเศษแล้วกันนะ บ๊ายบาย"
เขาบอกลาแล้วโบกมือให้ ฉันยิ้มรับแล้วโบกมือตอบไป
"กลับบ้านดีๆนะจ้ะหนูมีน" เสียงตะโกนของเขาที่ดังตามหลังมา
ทำให้ฉันแอบอมยิ้มบางๆอย่างมีความสุข
ฉันนั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเขา
นับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน ตลอดเส้นทางกลับบ้าน
ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายที่แสนจะธรรมดาคนนี้จะกลายมาเป็น
คนสำคัญของหัวใจ ถึงจะรู้ว่าเขามีคนที่เขาชอบอยู่แล้ว
แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไรเพราะฉันก็ยังคงมีความสุขที่จะรักเขา
ที่จะได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะของเขา
มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันคนนี้แล้ว
ฉันหยิบภาพเหมือนของฉันที่เขาวาดให้ตอนวันเกิดขึ้นมาดู
"สุขสันต์วันเกิดนะครับ"
ฉันยังจำเสียงใสๆของเขาที่บอกตอนเช้าตรู่ในวันสำคัญของฉัน
"มีความสุขมากๆนะครับมีน"
รอยยิ้มจริงใจของเขาในวันนั้นยังบันทึก
อยู่ในความทรงจำ ของฉันเสมอมา.ไม่เคยลบเลือน...
"โครมมมมมมม!!!!!!" เสียงดังขึ้นที่ถนนสายหนึ่ง
บรรดาไทยมุงต่างพากันมามุงดูเหตุการณ์รถคว่ำ
ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกหามออกมา
กระดาษวาดเขียนตกลงมาจากมือที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดของเธอ
ชายแก่คนหนึ่งหยิบขึ้นมาดู เห็นหยดเลือดเปรอะไปทั่วแผ่นกระดาษนั้น
แต่ก็พอจะมองเห็นลางๆ ว่าเป็นภาพวาดของหญิงสาวที่กำลังยิ้มสดใส
ในชุดนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดัง
มีลายมือที่เขียนไว้ใต้ภาพอย่างสวยงามว่า
"เพียงความทรงจำเฟิร์ส"
ชายแก่คนนั้นทิ้งภาพไว้ที่เดิมอย่างไม่ใคร่สนใจใยดีนัก
ลมเริ่มพัดกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนทำให้กระดาษแผ่นนั้นปลิวตกลงไปบริเวณลำคลองริมถนน
และค่อยๆจมหายลงไปใต้ผืนน้ำนั้น
ผมได้สมุดเล่มนี้มาจากเพื่อนสนิทของเธอ
ผมเลยขอเขียนเรื่องนี้ให้จบด้วยมือของผมแทน
เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมไปเรียนพิเศษก็นึกแปลกใจอยู่ตะหงิดๆ
ว่าทำไมเธอถึงไม่มาเรียน เพราะปกติเธอไม่ใคร่จะชอบหยุดเรียนนัก
ก็บังเอิญผมไปพบเพื่อนสนิทของเธอเข้าพอดิบพอดี
"เฟิร์สรู้เรื่องมีนหรือยัง"
เขาถามผมทันทีที่พบกัน สีหน้าของเขามีแววเศร้าๆปรากฏอยู่
ตาก็ดูบวมแดงผิดปกติ "ยังครับ มีนทำไมเหรอ" ผมถามยิ้มๆ
เธอก็คงไม่สบายแต่อาจจะหนักหน่อยถึงยอมขาดเรียนวันนี้ผมคิด
"มีนรถคว่ำ" "ตอนนี้อยู่ห้อง ICU โรงพยาบาล."
เขาบอก ผมอึ้งไปสักพักใหญ่ๆ พอได้สติอีกทีก็มายืนอยู่หน้าห้อง ICU
โรงพยาบาลแห่งหนึ่งข้างๆเพื่อนสนิทของเธอคนเดิม
เขาจัดการเป็นธุระไถ่ถามพยาบาลถึงเตียงของเธอ
เพราะไม่เห็นเธออยู่ที่เตียงเดิม
"เสียใจด้วยนะคะ คุณมีนาหัวใจล้มเหลวเมื่อ 15 นาทีที่แล้วค่ะ"
หูผมอื้อไปหมดจนไม่ได้ยิน เสียงพยาบาลที่พูดอธิบายเรื่องราวต่อจากนั้น
ถ้าจะถามผมว่าวินาทีนั้นผมรู้สึกเช่นไร ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
รู้เพียงแต่ว่าน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาท่วมใบหน้าของผมตั้งแต่ได้รับรู้ว่า
"เธอจากไปแล้ว ...."
ผมอ่านบันทึกเล่มนี้หลังจากที่ร่างของเธอฌาปนกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผมเพิ่งรู้ว่าเธอรักผม
แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้เลยว่าคำพูดที่ผมพร่ำบอกกับเธออยู่บ่อยครั้งว่า
"รักกับชอบแตกต่างกัน" มันคือสิ่งที่ผมอยากให้เธอรับรู้
ผู้หญิงคนที่ผมเคยชี้ให้เธอดูคือคนที่ผมชอบ
แต่ผู้หญิงคนที่ผมรักคือ "เธอคนนี้"
เธอคนที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ผมอยู่เสมอ
เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าผมคิดอย่างไรกับเธอ
ถ้าผมสามารถขอพรวิเศษใดๆได้
ผมอยากจะขอแววตาคู่นั้นที่เคยจ้องมองผม
ด้วยความรู้สึกดีๆอยู่เสมอ รอยยิ้มที่เคยมีให้เวลาผมท้อแท้
เสียงหัวเราะที่เคยทำให้โลกทั้งโลกดูสดใส
ผมอยากจะขอให้เธอกลับคืนมา เธอคือรักครั้งแรกของผม
อาจต้องใช้เวลามากสักหน่อยในการทำใจว่า
ต่อจากนี้จะไม่มีเธออยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว....
ไม่มีคนที่เข้าใจและคอยห่วงใยผมตลอดมา
แต่ผมรู้เสมอว่าเธอจะคอยจ้องมองผมอยู่ห่างๆเหมือนอย่างเคย
เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอเรียกมันว่าความสุข
และเธอจะรอผมอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
ตรงดินแดนแห่งความรักที่สร้างไว้สำหรับเราเพียงสองคน
สักวันผมจะไปหาเธอ หลับให้สบายนะครับมีน
หลับตาเถอะนะแล้วเราก็จะพบกันอาจเป็นเพียงฝันก็พอใจ
หลับตาเถอะนะถึงตัวเราจะแสนไกลห่างกันเพียงไหนก็ใกล้เธอ
ชีวิตขีดเส้นทางไว้ให้เราเจอกันขีดทางที่ผกผันให้มีวันห่างไกล
หลับตานานนาน
คิดถึงวันเก่าจะยังมีเราสองคน
หลับตาเถอะนะคนดี
23 เมษายน 2546 11:49 น.
เจนนี่
มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน..
ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทราย...
ระหว่างทาง..เกิดโต้เถียงขัดแย้งไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่ง...พลั้งลงมือ...ตบหน้าอีกฝ่าย !!!
คนถูกทำร้าย...เจ็บปวด...แต่ไม่เอ่ยวาจา
กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า....
"วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"
พวกเขายังคงเดินทางต่อ...กระทั่งถึงแหล่งน้ำ
พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย...
พลันคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ...
เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เข้าช่วยชีวิต...
คนรอดตาย...ยังคงไม่เอ่ยวาจา..
กลับสลักลงไปบนหินใหญ่...
"วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้"
อีกคนไม่เข้าใจ...ถามว่า...
"เมื่อถูกฉันตบหน้า...เธอเขียนลงทราย..
แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบนหิน"
อีกคนยิ้มพราย...กล่าวตอบ
"เมื่อถูกเพื่อนรักทำร้าย...
เราควรเขียนมันไว้บนทราย
ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย...
จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบล้างไม่เหลือ
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย...บังเกิด
เราควรสลักไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ
ซึ่งจะไม่มีสายลมแรงเพียงใด...ลบล้างทำลาย...."
21 เมษายน 2546 12:04 น.
เจนนี่
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากเพื่อนรุ่นพี่ของเราคนหนึ่ง เป็นนักร้อง
> ค่ายเทประดับยักษ์ใหญ่ เป็นเรื่องของเขาเอง เขารับรองว่าเป็นความ
> จริง
>
> เย็นวันหนึ่ง หลังจากผมไดร์ฟกอล์ฟที่สนามไดร์ฟย่านชานเมือง
> แห่งหนึ่งขณะที่ผมขึ้นรถเตรียมจะกลับบ้าน ก็มีเด็กสาวอายุราว 15-16
> ปี
> วิ่งมาเกาะที่ประตูรถผมพร้อมกับถามว่า
>
> เด็กสาว "พี่ๆเอาหนูไหมคะ ไม่แพง"
>
> ผมรู้สึกงุนงงกับคำถาม จึงถามเธอกับไปว่า
>
> ผม "อะไรนะ"
>
> เด็กสาว "พี่จะเอาหนูไหม ไม่แพง รับรองสะอาด หอมด้วย"
>
> ผมมองดูเด็กสาวคนนั้นอย่างพิจารณา "น่ารักแฮะ" ใจผมคิด
> อย่างนั้น พร้อมกับดูรูปร่างของเธอ "ไม่เลว รูปร่างดีเหมือนกัน"
> จึงถามเธอกลับไปว่า
>
> ผม "เท่าไหร่ล่ะ"
>
> เด็กสาว "ร้อยเดียวค่ะ พี่"
>
> "โอ้โห ถูกเป็นบ้า" ใจผมคิดอย่างนั้น ผมจึงหยิบเงินให้เธอ พร้อม
> กับถามเธอว่า
>
> ผม "เอ่อ......ที่ไหนดีล่ะ"
>
> เด็กสาว "ตรงนี้ก็ได้ค่ะพี่ รอแป็บเดียวนะคะ"
>
> "ตรงนี้เลยเหรอ" ผมนึกในใจ แล้วเด็กสาวก็วิ่งไปที่พุ่มไม้ใกล้ๆ
> ส่วนผมก็นั่งรอด้วยใจระทึก
> สักครู่เธอก็วิ่งกลับมาพร้อมกับถือถุงบางอย่าง
> มายื่นให้ผม
>
> เด็กสาว "ขอบคุณค่ะ"
>
> เธอกล่าว แล้วเธอก็วิ่งกลับไปที่พุ่มไม้เดิม ผมจึงเปิดถุงออกดูด้วย
> ความสงสัย แล้วผมก็เห็น หนูครับหนู หนูจริงๆ มันคือหนูนาย่าง 3 ตัว
> ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเต็มรถ ราว10นาทีหลังจากนั้นผมจึงออกรถกลับบ้าน
> พร้อม
> กลับความงุนงงว่า
>
> "อะไรกันวะ"
17 เมษายน 2546 16:46 น.
เจนนี่
กาลหนึ่งนานมาแล้ว นานเท่าไหร่ไม่รู้ พ่อมักจะเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ทุกครั้ง
มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง เจ้าหญิงคนนี้เป็นคนขยัน ทำอาหารเก่ง ชอบทำงานบ้านเสมอ ๆ
เจ้าหญิงของพ่อมักจะเป็นคนที่ขยันเสมอ ๆ ...
เจ้าหญิงได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในสวนดอกไม้ข้าง ๆ ปราสาท
ในขณะที่เจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้
ผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียหมด
หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง
แต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนไปสักอย่าง
ทั้ง ๆ ที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับในวันพรุ่งนี้แล้ว
แย่จริง ๆ สมาธิหายไปไหนหมดนะ
บรรยากาศ ภาพความหลังในวัยเด็กหายไปไหนหมดนะ
- - นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าหนอ? - -
ที่รับงานเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพ่อมา
ก็เพราะคำว่า พ่อ นี่แหละที่ทำให้ผมเขียนไม่ออก
ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะพ่อไม่เคยอยู่ในความทรงจำของพ่อ
หรือเป็นฮีโร่เยี่ยงอย่างพ่อคนอื่น ๆ จนบางครั้งผมมีความรู้สึกราวกับว่า
พ่อกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่ต่างวัยและบังเอิญมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
พ่อยังเป็นคนทำลายครอบครัว ทำลายความรักที่แม่มีต่อพ่ออย่างหมดสิ้น
จนแม่ทนไม่ไหวต้องหย่าร้างกันไปในที่สุด และพ่อยังจะทำลายความฝันของผมอีก
ผมอยากเรียนหนังสือ ผมชอบงานเขียนหนังสือ
ผมบอกกับพ่อในวันที่พ่อบอกให้ผมเลิกเรียนหนังสือ
และออกมาช่วยกันทำงานที่โรงกลึงของตนเอง..
แกจะเรียนไปทำไมนักหนา กิจการของพ่อก็มี
แล้วไอ้ความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของแกอีก
ผมทิ้งมันไม่ได้ ผมทิ้งความฝันของผมไม่ได้หรอกพ่อ ผมเถียง
แต่แกต้องทิ้งมัน แกต้องมาช่วยฉันทำงาน พ่อขึ้นเสียงตอบกลับมา
พ่อ มันหมดสมัยที่พ่อจะบังคับลูกแล้วนะ
แต่ฉันจะบังคับแก พ่อยืนคำขาด
พรุ่งนี้แกต้องไปลาออก
ผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดความคิดโง่ ๆ ของพ่อ
เกลียดการกระทำของพ่อ
ที่วัน ๆ มัวแต่นั่งทำงานงก ๆ พ่อไม่เคยสนใจผม
พ่อไม่เคยถามผมสักคำว่าผมต้องการอะไร เอ๊ะอะอะไรพ่อก็บังคับผม ผมเกลียดพ่อ
ฝ่ามืออันหนักอึ่งของพ่อกระทบลงบนใบหน้าแก้มข้างขวาของผมอย่างจัง
แกออกไปแกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่ใช่ลูกฉัน
ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ผมหันมาบอกน้องชายที่ยืนอยู่ห่าง ๆ
ก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกจากบ้านหลังนั้นมา
ด้วยความเครียดแค้นที่สุมรุมอยู่ในหัว
นับจากวันนั้นมา ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าหลังหนึ่งตามลำพัง
ยังดีที่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเกือบหมื่น ซึ่งมันก็พอจะเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้บ้าง
แต่ผมก็ยังเฝ้าหางานทำอยู่หลายที่
แต่มาตกอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบ
หรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า ตัวประกอบ เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อย
แต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอก
ผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่ง
จนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์
ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้น
เมื่อความฝันของผมเป็นจริง
หนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จเป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว
ผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริง ๆ
นี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับ
เอ้า!นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อน ๆ
ถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน พี่ใหม่หยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่อง
ขอบคุณมากครับ พี่ใหม่
ผมรับเช็คค่าความคิด ค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
แต่ที่แน่ ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิ
มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน
ผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่าในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จ
ผมละภาพความหลังเก่า ๆ
ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้ำ
สายน้ำแห่งเจ้าพระยายังคงไหลเวียนไม่ขาดสาย
ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ
เรือลำน้อย เรือลำใหญ่แล่นว่ายอย่างเช่นเคย
ที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้ง
และมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอ ๆ
วันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน
เสียงเรียกเครื่องเพจเจอร์ทำลายความเงียบนั้นลง
พ่อถูกรถชน พี่รีบมาด่วนนะ ผมกดข้อความจากน้องชายอ่านซ้ำไปมา
ใจหนึ่งลังเลจะไปดีหรือไม่ดี แต่ขาน่ะสิรีบก้าวออกไปก่อนโดยไม่รอคำตอบ
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ผมถามน้องชายเมื่อไปถึงโรงพยาบาล
ก็พ่อน่ะสิ ทำหนังสือหล่นกลางถนน เลยหยุดเก็บ ก็เลย
น้องชายพูดเสียงสั่นเครือ
แค่หนังสือเนี๊ยนะ เอามาแลกกับชีวิต พ่อนี่บ้าหรือเปล่า
ผมยังวายหยุดว่าพ่อ
ถ้าไม่ใช่หนังสือของพี่ พ่อก็คงไม่เก็บหรอก
คำพูดของน้องชายทำเอาผมอึ้งไปพูดไม่ออก
หนังสือของผม
เพราะหนังสือของผมเหรอ
พอพ่อรู้ว่า หนังสือของพี่วางแผง พ่อก็รีบไปซื้อทันที
พ่อบอกว่าไม่ซื้อไม่ได้ นี่ผลงานของลูก นี่ความฝันของลูก
และพ่อยังบอกอีกว่าพ่อจะซื้อหนังสือของพี่ทุกเล่ม
มาถึงตรงนี้หยาดน้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตา
พี่รู้ไหมพ่อคิดถึงพี่มากแค่ไหน พ่อคิดถึงพี่เสมอนะ
พ่ออยากให้พี่กลับมาอยู่ด้วย
พ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะไม่บังคับอะไรลูก ๆ อีกแล้ว
ชีวิตเป็นลูกพ่ออยากให้ลูกเลือกเดินเอง
แต่พ่อจะคอยอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ในยามที่ลูกเหนื่อยลูกท้อ
พ่อยังบอกอีกว่าพ่อเชื่อว่าลูกสามารถทำความฝันของตนเองเป็นจริงขึ้นได้อย่างมั่นคง
คำพูดของน้องชายทำเอาน้ำตาที่เต็มไหลอาบแก้มเมื่อครู่ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว
ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้
ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้
ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้ง
จะนานแค่ไหนไม่รู้
จะนานกี่ชั่วโมงไม่รู้
กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออก
แล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้ง
และครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอน
ผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า นิทานของพ่อ
พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเอง ให้ผมเข้มแข็ง
ให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน สองแขนสองขาของตัวเอง
ผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน
และผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก