10 กันยายน 2547 05:36 น.
เงาพระจันทร์
ฉันเคยแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่งเขาไม่ใช่คนที่หน้าตาดีอะไรนัก แต่เขาเป็นน่ารัก ขี้เล่นและมีความเป็นคนอารมณ์ดีอยู่มากมาย มากมายพอที่จะทำให้คนที่ไม่รู้จักเขาก็ยิ้มได้เมื่อแอบมองเห็นเขาคุยเล่นอยู่กับใครสักคนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันในความเป็นเขาก็มีภาวะแห่งความเป็นผู้ใหญ่อยู่มากมายเช่นเดียวกัน ดูอบอุ่นจริงใจ แล้วแบบนี้จะไม่ไห้ฉันแอบรักเขาได้อย่างไร
ในครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับเขา ฉันไม่กล้าที่จะพูดคุยกับเขา เมื่อเขาทักทาย (ซึ่งเขาก็ทักทายทุกคนเหมือนกันน่ะแหละ) ฉันก็ทำได้แค่เพียงยิ้มตอบ อ้อ! ฉันลืมบอกไปว่าฉันอายุน้อยกว่าเขานะ ก็ไม่มากหรอก เขาอายุมากกว่าฉันประมาณ 4 ปี เราพบกันในการไปค่ายประจำปี เป็นค่ายเฉพาะวันรุ่น เขาก็ค่อนข้างโดดเด่น อาจเป็นเพราะด้วยความเป็นคนมีอารมณ์ขันเหลือเฝือมั้ง ตลอดเวลา 5 วันของการไปค่าย ฉันทำได้แค่เพียงแอบมองและได้พูดคุยกับเขาเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงปล่อยให้โอกาสและเวลาผ่านเลยได้ถึงเพียงนี้ แต่ฉันก็ไม่กล้าจะเข้าไปพูดคุยจริงจริงนะ
จากวันแรกจนถึงวันแห่งการอำลา ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขามาก ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงการทักทายเท่านั้น และวันสุดท้ายก็เป็นการจากลาที่แสนจะธรรมดา เสียดายไหมหล่ะ ฉันเฝ้าถามตัวเองตลอดที่นั่งรถกลับ แม้กระทั้งตอนกลับที่เขาขอขึ้นรถมาด้วยแล้วจะขอแยกลงที่หลัง เราอยู่กันคนละจังหวัดกัน ฉันยังไม่ได้คุยอะไรกับเขาสักคำได้แต่แอบมอง ไม่มีอะไรแตกต่างจากตอนที่อยู่ในค่ายเลย มีแค่ความเสียดาย กับความเสียดายจริงๆ หลังจากนั้น ฉันก็ทำได้แค่นั่งคิดถึงเขาไป วันละหลายๆครั้ง ก็ไม่ได้คิดถึงมากมายอะไรนะ แต่ก็คิดถึง มีครั้งหนึ่งที่ฉันลองโทรศัพท์ไปหาเขา ฉันขอที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์เขาไว้ เผื่อว่ามีวันไหนที่กล้าพอจะได้โทรไปคุยกับเขา แต่ก็ไม่มีใครรับโทรศัพท์ ฉันจึงให้ความตั้งใจครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายและเป็นครั้งเดียวด้วยที่โทรหาเขา
จากนั้นผ่านไปหนึ่งปีแล้ว การเดินทางของค่ายเวียนกลับมาอีกครั้ง ฉันก็ได้แต่หวังว่า ปีนี้เขาก็จะมาร่วมค่ายอีกครั้ง แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเขาไม่มา ฉันลองถามหาเหตุผลจากพี่ๆที่เป็นเพื่อนกับเขาว่า ทำไมเขาถึงไม่มาค่ายปีนี้ ได้ความมาว่า เพราะแฟนมันไม่มาไง มันก็เลยไม่มา เหมือนหัวแม่เท้าจะขึ้นมาจุกอยู่ที่ลิ้นปี่ ออกอาการอึ้งไปนิดหน่อย(หรือเปล่าอาจจะอึ้งมากก็ได้นะ) ฉันก็แสดงอาการรับรู้อย่างงงๆ อ้อ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจ เข้าใจ แล้วฉันก็เดินจากพี่คนนั้นไป
ฉันก็เริ่มอาการทำใจ ทำใจเถิดว่า เขามีแฟนแล้วนะ อย่ารู้สึกอะไรให้มากกว่าคำว่าปลื้มเลยนะ เดี๋ยวผิดศีลข้อ 3 นะ ฉันก็คิดไปถึงนั่น ฉันก็เลยทำการตกลงกับหัวใจตัวเองว่า ฉันจะขอแค่เป็นน้องสาวของเขาก็แล้วกันนะ
จากที่ได้รับรู้ความเป็นจริงในส่วนนี้แล้ว น่าแปลกที่การเจอเขาในครั้งต่อไปหลังจากนั้น ฉันกลับกล้าพูด กล้าคุย ล้อเล่น หยอกล้อ กวนอวัยวะเบื้องล่างได้อย่างสบายใจ เราได้เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น โอกาสต่างๆ นำพาเรามาพบกันบ่อยครั้งขึ้น ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน เราได้พูดจาหยอกล้อกัน บางครั้งก็ได้คุยอะไรที่ออกแนวจริงจัง แต่เมื่อเขาพูด น่าสงสารนะที่ฉันกลับหัวเราะได้ทั้งๆที่บางเรื่องก็ออกจะเศร้าเคล้าน้ำตาอยู่ เป็นความสามารถเฉพาะตัวจริงๆนะ
การไปค่ายในครั้งที่ 3 ของฉัน ปีนี้เขาก็มาด้วย และแฟนของเขาก็มาด้วย แฟนเขาไม่ได้เป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักอะไรมาก แต่ก็จัดว่าน่ารักใช้ได้เลย แต่ฉันว่าสิ่งที่สำคัญคือ คู่นี้นอกจากเขาจะมีความรักให้แก่กันแล้วมันยังเห็นถึงความเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกันดีระหว่างคน 2 คน
ไม่นานเท่าไหร่แต่ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนหลังจากการไปค่ายในปีนั้น ฉันก็ได้ข่าวการแต่งงานของเขา ฉันก็ขอยินดีด้วยจากใจจริง ถามว่าฉันเสียใจไหม บอกตามตรงเลยว่าใหม่ เพราะเขาเหมาะสมกันขนาดนั้นแล้วฉันจะเกี่ยวอะไรได้ แต่ถ้าถามฉันว่าฉันเสียดายไหม ตอบได้คำเดียวเลยว่า มาก โธ่! เป็นใครจะไม่เสียดายบ้างหล่ะ ผู้ชายที่ตรงใจขนาดนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ขอเป็นน้องสาวต่อไปแล้วกันนะ
การมาค่ายครั้งที่ 4 เดินทางมาถึงแล้ว ฉันก็ไปของฉันอยู่ทุกปี แต่ทุกปีก็ขอแอบมีความหวังว่าเขาจะมา แต่ปีนี้เริ่มไม่หวังแล้ว ก็แต่งงานแล้วนี่นา! ปีนี้เขามา และมาคนเดียว ภรรยาของเขาไม่ได้มาด้วย และปีนี้เขาไม่ได้เป็นลูกค่ายอีกต่อไปแล้ว เขาอยู่ในฐานะของพี่เลี้ยง ในค่ายปีนี้เรามีโอกาสได้เดินสวนกันบ่อยครั้ง และทุกครั้งเขาจะทักทาย พูดจาหยอกล้อ แอบแกล้งกันไปมาบ้างตามประสาเขา ฉันก็มีความสุขใจ บางครั้งก็แอบมีความรู้สึกที่เกินเลยอยู่ แต่ก็สามารถที่จะควบคุมได้ บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าไม่อยากจะเดินผ่านเขาเลย กลัวการที่เขาเล่นด้วย กลัวความรู้สึกตัวเอง
ในคืนก่อนวันสุดท้ายของการไปค่ายครั้งนี้ เขาจะต้องกลับก่อน เพราะอีกวันจะต้องมีงานหรืออะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาต้องรีบกลับ ขณะที่ฉันยังทำการแลกเปลี่ยนที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์กันตามธรรมเนียมอยู่นั้น ก็มีน้องเดินมาบอกฉันว่าทำนองว่าพี่เขาจะกลับแล้ว พรุ่งนี้เขามีธุระเลยต้องรีบกลับ เขาให้มาตามพี่ไปลาเขาด้วย ฉันก็งงๆ แต่ก็รีบไป เมื่อเจอฉันเขาก็ทำตัวเป็นเด็ก เขาพูดประมาณว่า เค้าต้องกลับแล้วนะ และก็พูดอีกหลายอย่างฉันก็ไม่แน่ใจว่าเรียบเรียงประโยคว่าอย่างไร เพราะฉันมัวแต่ขำสำบัดสำนวนที่ฟังดูเสี่ยวๆของเขา มันดูหวานหยดเกินไป ฉันคิดว่าเขาก็คงพูดเล่นขำขำ อย่างไม่มีอะไร หรือฉันคิดมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่ามันไม่มีอะไร แต่สิ่งที่น่าแปลก และฉันไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองก็คือ เขาพูดแบบนั้นกับฉันคนเดียว กับน้องคนอื่น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากขนาดนี้ ฉันก็ไม่เข้าใจนะว่าเพราะอะไร แต่ฉันก็ไม่พยายามค้นหาเหตุผลอะไรมาก ฉันสรุปเอาเองว่า เขาเล่นๆกับฉันแบบนี้ได้ เพราะ หนึ่งเขาคงไม่รู้ว่าฉันเคยแอบหลงรักเขามาเป็นเวลาหนึ่ง สอง เพราะเขาคิดว่าฉันเป็นคนที่สามารถล้อเล่นอะไรแบบนี้ได้โดยที่ฉันจะไม่ได้คิดอะไรมาก หรือ ขอแอบสรุปเข้าข้างตัวเองนิดหนึ่งว่า เขาก็คงชอบฉันอยู่เล็กๆ อาจแค่อยากกุ๊กกิ๊กด้วยนิดหน่อยแต่ไม่ถึงขนาดว่าให้ผิดศีลธรรมอะไร เป็นความชุ่มชื่นของหัวใจ เหมือนได้อยู่กับคนที่ถูกใจ คุยกันถูกคอ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็คือข้อสรุปของฉันเพียงคนเดียว ไม่เคยไปถามเจ้าตัวหรอกว่า คิดอย่างไร ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้หรอก
ครั้งหนึ่งที่เจอกัน..เขาก็ขอเบอร์โทรศัพท์ของฉันไป แต่เขาก็ขอของน้องคนอื่นๆที่รู้จักกันด้วยนะ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ เมื่อเวลาที่เขาขอเบอร์โทรศัพท์ของน้องคนอื่นๆ เขาก็จะแค่บอกขอเบอร์เก็บไว้หน่อย เพื่อว่างๆหรือมีอะไรจะได้โทรหาได้ แต่สำหรับฉัน เขาก็จะพูดประมาณว่า เค้าขอเบอร์ตัวเองหน่อยนะ เผื่อเวลาคิดถึงเค้าก็จะได้โทรมาหาได้ไง ฉันฟังแล้วก็ขอขำนะ ลองนึกว่าถ้าเขายังไม่มีแฟน ไม่ใช่สิ เอาเป็นว่าถ้าเขายังไม่มีภรรยาแล้วมาพูดกับฉันแบบนี้ฉันอาจจะดีใจเป็นบ้าเป็นหลังไปแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็เหมือนหาเรื่องมาเที่ยวที่จังหวัดฉันบ่อยขึ้น ไม่ได้โทรมาคุย แต่ทุกครั้งที่โทรมาก็บอกว่าคิดถึง และบางครั้งก็พูดด้วยถ้อยคำที่หวานจนฉันเองก็แอบเผลอคิดไปหลายครั้ง ระหว่างฉัน กับเขา ดูเป็นความคลุมเครือที่หาข้อสรุปไม่ได้ เป็นความสัมพันธ์ที่ฉันไม่อาจแน่ใจได้ว่าบริสุทธิ์ใจกันทั้งสองฝ่ายหรือเปล่า เขาแค่ล้อเล่นกับฉันหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องถือเป็นการล้อเล่นที่ค่อนข้างรุนแรงกับความรู้สึก หรือเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ฉันพยายามจะไม่คิดมาก พยายามที่จะไม่คิดอะไร แต่ยิ่งพยายามว่าจะไม่คิดอะไร คำถามมันยิ่งกลับประดังถามเข้าอย่างไม่หยุดยั้ง ที่น่าเศร้าคือ เป็นคำถามที่ฉันไม่อาจหาคำตอบได้ เป็นคำถามที่ลำบากใจจะคิด ลำบากใจจะตอบ และฉันก็ไม่รู้ว่าฉันควรจะทำอย่างไรดี
แต่วันนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นแค่เพียงว่า
ฉันเคยแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่ง ในครั้งหนึ่ง แต่เมื่อ ณ เวลาที่ได้ตัดใจจากเขาแล้วเพราะเขามีคนที่เขารักจนสามารถตกลงใจที่จะแต่งงานได้ กลับกลายเป็นเขาเองที่เข้ามาทำให้หัวใจของฉันหวั่นไหว สับสน เกิดความไม่แน่ใจในความรู้สึกของตนเอง และของเขา ฉันยังไม่รู้ว่าสำหรับวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป ฉันคือ อะไรสำหรับเขา ฉันจะอยู่ในฐานะใดในความคิดของเขา ฉันเป็นใครในความเข้าใจของเขา ฉันเป็นส่วนใดหรือไม่เป็นส่วนใดเลยในชีวิตของเขา เพียงแต่ว่าทุกความทรงจำที่แสนดีนั้นฉันจะเก็บมันไว้
และให้เขาเป็นเพียง
ผู้ชายที่ฉันเคยแอบหลงรัก
พี่ชายที่แสนดีของฉันในวันนี้และวันต่อๆไปของฉัน
ส่วนหนึ่งของความคิดคำนึง แต่ไม่ใช่ส่วนของความคะนึงหา
เท่าที่เขาควรเป็นในความคิดของฉัน
7 กันยายน 2547 02:01 น.
เงาพระจันทร์
การเดินทางในวันเปล่าไร้ ช่างทรมานเหลือเกิน เหมือนการเดินทางกลางทะเลทราย ภายใต้แสงแดดอันแรงกล้า ในยามเที่ยงวัน ในวินาที่ที่เหมาอนว่าแสงแดดจะละลายร่างของเราเหมือนกับที่ละลายช็อคโคแลต
บางครั้งก็เหมือนการเดินทางท่ามกลางพายุหิมะ ที่เหน็บหนาว และขาวโพลน เสียงลมพายุพัดโหมและหวีดหวิว ราวกับคำสาปแช่งที่โหยหวน บาดเจ็บและทรมาน สีขาวที่ดูบริสุทธิ์ของหิมะนั้น เหมือนต้องการโอบอุ้ม แล้วปิดหน้าเราไว้บนพื้นหิมะ อย่างสงบเงียบ โดยไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่ที่แห่งไหน
บางครั้งก็เหมือนการเดินทางท่ามกลางสายฝน หนาวเหน็บ หยาดฝนแต่ละหยด ตกลงกระทบอย่างหนักหน่วง เหมือนเข็มนับพันเล่มทีทิ่มแทงให้เราสะดุ้งเจ็บ เสียงระงมงึมงำของสัตว์ในยามนั้น ก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเสียงบ่นว่า กร่นด่าในลำคอ รู้สึกถึวความตำหไนติติงอยู่รอบกาย เย็นชาจนไม่รู้สึกถึงน้ำตา ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่หรือไม่
ได้เพียงแต่หวัง ว่าสวักวันฉันจะถึง
แล้วฉันจะร้องไห้ ฉันจะรับรู้ถึงน้ำตา แห่งความยินดี
ฉันจะมีวันนั้น
6 กันยายน 2547 03:15 น.
เงาพระจันทร์
แต่ละคนต่างก็มีนิยามรักของตัวเองแตกต่างกันไป แล้วแต่ความความรักในความคิดของแต่ละคนจะเป็นเช่นไร บางคนก็ว่า
ความรัก คือ การให้ (อย่างไม่หวังอะไรตอบแทน)
ความรัก คือ สิ่งสวยงาม
ความรัก คือ สีชมพู
ถ้าให้คนสักร้อยคนมาให้นิยามกับคำว่ารัก เป็นไปได้ว่าอาจมีนิยามของคำว่ารักถึงร้อยความหมายเลยก็เป็นได้
สำหรับฉันนิยามความรักของฉัน
รัก คือ รัก
ความรักเป็นสิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วในตัวของมันเอง อย่างอื่นนั้นเป็นเพียงร้อยส่วนประกอบที่มีอยู่ในรัก ไม่ว่าจะเป็น การให้อย่างไม่หวังอะไรตอบแทน สิ่งสวยงาม หรือ สีชมพู หรืออีกนานับนิยามคำว่ารัก
รัก คือ รัก
ความรักไม่ใช่การครอบครองคนรัก ความรักไม่ใช่การถูกครอบครองด้วย เมื่อฉันยังไม่ประสีประสานักในความรัก ฉันเข้าใจว่า ความรักคือการได้ครอบครองคนที่เรารัก ทำให้เขาเป็นของเราเขาต้องเป็นของเราคนเดียวเท่านั้น แต่เมื่อฉันเติบโตขึ้นฉันจึงได้เข้าใจว่า การคิดอย่างนั้น การกระทำเช่นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับที่เรามองคนที่เรารักเป็นเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่งที่มีค่า มีความหมาย และอยู่ในการครอบครองของเรา
แล้วจะพูดได้อย่างไรว่าเรารักเขา เมื่อเรายังเห็นเขามีค่าเท่าเทียมกับสิ่งของ ไม่ใช่คน
ความรักที่สมบูรณ์ ต้องไม่มีความกลัวถ้าเขาหรือเธอคนนั้นมีหัวใจที่รักเราจริง เราก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมีใครที่นอกเหนือจากเรา เพราะความกลัวนั้นแหละที่ทำให้เราทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาหรือเธอ ทำให้เขาหรือเธออึดอัด คงไม่มีใครหรอกที่อยากถูกติดตามพฤติกรรมตลอดเวลา แค่จากพ่อแม่ของเขาหรือเธอก็เพียงพอแล้ว
ปล่อยให้เขามีชีวิต ในแบบของเขาบ้าง
ปล่อยให้ตัวเรามีชีวิต ในแบบของตัวเองบ้าง
ให้อิสระแก่ชีวิตของตัวเอง และตัวคนที่เรารักบ้าง อย่ากักขังเขาไว้ด้วยคำว่ารัก อย่าใช้คำว่ารักเป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบชีวิตของอีกฝ่าย
.ขอให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้มีความรักอย่างรัก